Masukมีพี่ชายเป็นหมอ อาการของเด็กสาวดีวันดีคืน ผ่านมาเจ็ดวันร่างกายก็ฟื้นตัวเต็มที่ เจียงชิงหว่านที่ใช้ชีวิตแค่ในห้องนอนรู้สึกเบื่อหน่ายประดาแล้ว เมื่อพี่รองมอบถ้วยยาชุดสุดท้ายให้ นางก็ดีใจแทบหลั่งน้ำตา
เจียงเจิ้งฮ่าวยิ้มเอ็นดูยื่นมือไปลูบผมน้องสาวเบาๆ “อย่างไรก็อย่าออกไปถูกแดดถูกลมมากนัก”
“ใครว่าล่ะ ควรถูกแดดถูกลมบ้างต่างหาก” ชิงหว่านยื่นปากใส่ “อยู่แต่ในห้อง ข้าจะกลายเป็นผักเหี่ยวๆอยู่แล้ว”
“พูดจาไม่น่าฟังเลย” เขาส่ายหน้าแต่มุมปากมีรอยยิ้ม “เจ้าแข็งแรงดีก็ไปกินข้าวกับท่านพ่อท่านแม่บ้าง”
ชิงหว่านเลิกคิ้วประหลาดใจ ตั้งแต่ฟื้นมาในร่างนี้นางยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไปจากห้องนี้เลย แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ก็มาเยี่ยมทุกวัน
“ที่ผ่านมาข้าไม่ได้กินข้าวกับท่านพ่อท่านแม่หรือเจ้าคะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจ แต่หลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่ามีบางเรื่องราวที่นางสับสนหรือจำไม่ได้ จากที่เคยอ่านบันทึกตำราแพทย์มาเป็นไปได้ว่าเกิดจากการจมน้ำหรือเพราะพบเรื่องสะเทือนใจมากเกินรับได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยอมรับที่นางถามแปลกๆ เช่นนี้ได้
“ก็เจ้าตื่นสาย ตื่นเมื่อใดก็กินเมื่อนั้น พวกเราตามใจเจ้าจึงไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันนัก แต่เจ้าก็เห็นตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงเจ้ามาก หากเป็นไปได้ เจ้าไปกินข้าวกับท่านแม่ท่านเถิดนะ”
“ได้เจ้าค่ะ” ชิงหว่านคลี่ยิ้มสดใส เรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลย เด็กสาวที่เติบโตมาท่ามกลางคนรักและเอาใจก็กลายเป็นคนเอาแต่ใจตนเองได้ นางที่เคยเป็นคณิกามาก่อนผ่านโลกมามากพบเจอผู้คนหลากหลายย่อมเข้าใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ในชาติก่อนนางเป็นเพียงเด็กกำพร้าต้องเพียรทำทุกสิ่งเพื่อ ‘ถูกรัก’ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลยสักคราเดียว
เห็นน้องสาวรู้ความก็ได้แต่ยิ้ม เจียงเจิ้งฮ่าวลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “พี่ต้องไปโรงหมอแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากต้องดื่มยาขมๆ อีก ก็อย่าดื้อรั้น เชื่อฟังที่พี่เตือน”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ พี่รองรีบไปทำงานเถิด” ชิงหว่านยิ้มจนดวงตาเป็นประกาย ระหว่างที่ได้แต่นั่งๆนอนๆ ก็พอรู้มาบ้างว่า พี่รองหรือเจียงเจิ้งฮ่าวเป็นหมอหนุ่มอนาคตไกล มีปณิธานสูงส่ง เขาไปตรวจชาวบ้านที่เจ็บป่วยที่โรงหมออี้เหรินถัง เดิมทีเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านหมออี้ เพราะชื่นชมท่านหมอที่อุทิศตนเพื่อช่วยชีวิตชาวบ้านที่ยากจน หลังจากศึกษาอยู่หลายปีตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นหมอที่ได้รับความนับถือผู้หนึ่งเลยทีเดียว
หญิงสาวส่งยิ้มให้พี่ชายคนรองจนลับสายตาแล้วจึงเรียกสาวใช้เข้ามา
“ ชุนจี้ ช่วยเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ข้าหน่อย” นางอยากออกไปเดินเล่นชมตระกูลเจียงเสียหน่อย และที่สำคัญต้องไปคาวระท่านพ่อท่านแม่ด้วย”
ชุนจี้เป็นสาวใช้อายุสิบแปดปี แต่ท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ชิงหว่านได้แต่พยายามฉีกยิ้มอย่างเป็นธรรมดาเพราะเจ้าของร่างนี้เคยดุด่าทำร้ายสาวใช้ผู้นี้บ่อยครั้ง ชุนจีถูกมารดาขายเป็นสาวใช้ตั้งแต่ห้าปีก่อน ต่อให้ออกไปจากสกุลเจียงก็ไม่มีที่อื่นให้ไป เมื่อถูกเจียงชิงหว่านทำร้ายอย่างไรก็ได้แต่ก้มหน้าอดทน ชิงหว่านจึงพยายามทำดีกับชุนจี้ให้มาก แต่จะให้จู่ๆ เปลี่ยนนิสัยไปทันทีก็เกรงว่าคนรอบข้างตกใจ จึงพยายามค่อยเป็นค่อยไป แก้ไขไปที่ละเรื่อง
สาวใช้นำอาภรณ์งามหรูมาให้คุณหนูเลือก ชิงหว่านกวาดตามองแล้วทำตาปริบๆ เพียงแค่นั้นชุนจี้ก็กลัวจนตัวสั่นขึ้นมา
“ถ้า...ถ้าคุณหนูไม่ชอบ..บ่าวไปนำมาให้เลือกใหม่เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องๆ ข้าไปเลือกเอง” ชิงหว่านวาดเท้าลงจากเตียงเดินไปเลือกดูเสื้ออาภรณ์ของเจียงชิงหว่าน นางไม่แปลกใจที่พบเสื้อผ้างดงามมากมาย ทว่าสีสันนั้นฉูดฉาดเกินไป เด็กสาวย่อมต้องชื่นชอบอาภรณ์สีสันสดใส แต่...สีสดมากเกินไปย่อมไม่งาม นางเลือกแล้วเลือกอีกจนได้สีเหลืองอ่อนมาหนึ่งชุด สีหน้านางคงบอกชัดว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง ชุนจี้จึงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“หากคุณหนูไม่ชอบ จะให้เชิญช่างตัดเย็บมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“หือ?” ชิงหว่านเอียงคอเล็กน้อย “ถ้าข้าไม่ชอบก็ตัดใหม่เลยรึ”
ชุนอี้ทำตาโตแล้วพยักหน้ารับ “ใช่เจ้าค่ะ ปกติถ้าคุณหนูไม่ชอบก็แค่ตัดชุดใหม่ ตระกูลเจียงมีร้านผ้าใหญ่โต เสื้อผ้าของคุณหนูมาจากที่นั้นเจ้าค่ะ”
เสื้อผ้าสีฉูดฉาดมากเกินไป เจ้าของร่างคงเลือกตามความถูกใจไม่ใช่ความถูกต้องเหมาะสม และยิ่งเป็นแก้วตาดวงใจของนายท่านใหญ่ คงไม่มีใครกล้าขัดใจหรือตักเตือน
“ร้านผ้าสกุลเจียง” ชิงหว่านพึมพำนึกคุ้นๆ นางมาอาศัยร่างเจียงชิงหว่าน ได้ความทรงจำเจ้าของร่างมาด้วย แต่...ดูเหมือน เอ่อ ไม่สิ เจียงชิงหว่านไม่ได้สนใจเรื่องในครอบครัวเลยสักนิด ใครทำอะไร หรือที่บ้านมีกิจการใด ไม่อยู่ในหัวของนางเลยสักนิด เรื่องเดียวที่ชัดเจนก็คืออดีตคู่หมั้น ‘ก่วนหมิง’ เขาเป็นชายหนุ่มตระกูลก่วนตระกูลเก่าแก่รับราชการมาสามรุ่น เด็กสาวถูกความรักบังตาหารู้ไม่ว่าที่ก่วนหมิงสนใจนางนั้นเพียงเพราะเงินทองของตระกูลเจียงช่วยพยุงฐานะตระกูลก่วนที่ดีแค่เปลือกเท่านั้น เรื่องนี้ชิงหว่านรู้ดีเพราะนางในชาติก่อนคือคณิกาไป๋ลู่ คอยสืบเรื่องราวของแต่ล่ะตระกูลแล้วแจ้งคนผู้นั้น...
นึกถึงตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มเยาะตนเอง นางกับเจียงชิงหว่านจะต่างอะไรกันเล่า เจ้าของร่างบูชาก่วนหมิงดุจเทพเซียนประจำกาย ส่วนนางนั้น...ก็ไม่ต่างกัน สุดท้ายก็จบชีวิตเพราะบุรุษที่ตนเทิดทูนบูชา
“เอาล่ะ ข้าใส่ชุดนี้ แล้วเดี๋ยวค่อยตัดชุดใหม่”
เสียงพรู่ลมหายใจของสาวใช้เต็มไปด้วยความโล่งอก ชุนอี้ช่วยคุณหนูผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แม้แปลกใจอยู่บ้างเพราะปกติแม้อยู่ในเรือนก็ยังปักปิ่นระย้า แต่ครั้งนี้กลับใช้ปิ่นหยกไม่กี่ชิ้นทว่ากลับขับเน้นใบหน้าให้ชวนมองอ่อนใสสมวัย และเมื่อสวมอาภรณ์สีอ่อนก็ยิ่งทำให้งดงามเปล่งปลั่ง
“เป็นอะไรไปรึ” ชิงหว่านถามยิ้ม เรื่องแต่งกาย แต่งหน้าทำผม เรื่องพวกนี้นางเชี่ยวชาญนัก
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” ชุนอี้ส่ายหน้ารัวๆ
“นำทาง ข้าจะไปพบท่านพ่อท่านแม่”
มีพี่ชายเป็นหมอ อาการของเด็กสาวดีวันดีคืน ผ่านมาเจ็ดวันร่างกายก็ฟื้นตัวเต็มที่ เจียงชิงหว่านที่ใช้ชีวิตแค่ในห้องนอนรู้สึกเบื่อหน่ายประดาแล้ว เมื่อพี่รองมอบถ้วยยาชุดสุดท้ายให้ นางก็ดีใจแทบหลั่งน้ำตา เจียงเจิ้งฮ่าวยิ้มเอ็นดูยื่นมือไปลูบผมน้องสาวเบาๆ “อย่างไรก็อย่าออกไปถูกแดดถูกลมมากนัก” “ใครว่าล่ะ ควรถูกแดดถูกลมบ้างต่างหาก” ชิงหว่านยื่นปากใส่ “อยู่แต่ในห้อง ข้าจะกลายเป็นผักเหี่ยวๆอยู่แล้ว” “พูดจาไม่น่าฟังเลย” เขาส่ายหน้าแต่มุมปากมีรอยยิ้ม “เจ้าแข็งแรงดีก็ไปกินข้าวกับท่านพ่อท่านแม่บ้าง” ชิงหว่านเลิกคิ้วประหลาดใจ ตั้งแต่ฟื้นมาในร่างนี้นางยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไปจากห้องนี้เลย แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ก็มาเยี่ยมทุกวัน “ที่ผ่านมาข้าไม่ได้กินข้าวกับท่านพ่อท่านแม่หรือเจ้าคะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจ แต่หลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่ามีบางเรื่องราวที่นางสับสนหรือจำไม่ได้ จากที่เคยอ่านบันทึกตำราแพทย์มาเป็นไปได้ว่าเกิดจากการจมน้ำหรือเพราะพบเรื่องสะเทือนใจมากเกินรับได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยอมรับที่นางถามแปลกๆ เช่นนี้ได
“ทำการค้า? เจ้าสนใจจริงๆรึ” พี่ใหญ่ทำตาโต แค่สอนน้องสาวดีดลูกคิดนางยังไม่เอา ท่านพ่อท่านแม่ส่งไปเรียนสำนักศึกษาหญิง นางก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย สุดท้ายต้องเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ยังดีที่เจ้าสามรักการเรียนเลยช่วยสอนน้องเล็กอ่านออกเขียนได้ ไม่เช่นนั้นแม้แต่ชื่อตนเองยังเขียนไม่ได้ ทำอย่างไรได้เล่า คนในบ้านมีใครทนเห็นน้ำตาของชิงหว่านได้ที่ไหน บิดารักใคร่มารดาเพียงหนึ่งเดียว ไม่รับหญิงอื่นมาเป็นทั้งภรรยารองหรืออนุ ท่านพ่อท่านแม่อยากได้บุตรสาวสักคน แต่หลังจากเขาเกิดก็คลอดลูกชายมาสองคน หลังจากนั้นก็แท้งบุตรไปหนึ่งครั้ง ไม่คิดว่าจะมีบุตรได้อีก กระทั่งมารดาตั้งครรภ์อีกครั้งก็คลอดบุตรสาวสมใจ พวกเขาเป็นพี่ชายเอ็นดูรักใคร่น้องเล็กสุดหัวใจ เห็นตั้งแต่นางอยู่ในครรภ์มารดาจนกระทั่งนางเกิดและเติบโต นางเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามทำให้พวกเขาไม่มีใครทนเห็นนางต้องเสียใจหรือทุกข์ใจได้เลยสักครั้ง ซึ่งนั้นทำให้นางติดนิสัยเอาแต่ใจไปสักเล็กน้อย “จริงสิ” หญิงสาวพยักหน้ายืนยันแล้วทำปากยื่นใส่ “พี่ใหญ่ไม่เชื่อข้าหรือ?” “เชื่อๆ พี่ย่อมเชื่อเจ้าอยู่แล้ว” พี่รองกับพี่สามลอบสบตากั
“คุณหนู คุณชายรองมาเยี่ยมเจ้าค่ะ” “รีบเชิญ” ชายหนุ่มอายุประมาณสิบแปดปี เขาสวมชุดสีเขียวใบไผ่ดูเรียบง่ายและสงบนิ่ง เขาก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มทำให้ใบหน้ายิ่งอ่อนโยนลง เขานั่งที่เก้าอี้กลมข้างเตียงนอนของน้องสาว แล้วยกมือขึ้นอังหน้าผากของนาง ทั้งสี่หน้าและแววตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ชาติก่อนนางไม่เคยมีครอบครัว เอ่อ จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ถูกนัก ครอบครัวของนางคือหญิงคณิกาที่หอระบำจันทร์ ซึ่งเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ภายนอกเหมือนรักใคร่กันอย่างพี่สาวน้องสาว ภายในแก่งแย่งกันขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง นางอายุมากที่สุดแต่ยังครองตำแหน่งได้นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว ทั้งเสน่ห์เล่ห์มารยาทล้วนต้องฝึกฝนเรียนรู้ ควบคู่กับศิลปะทุกแขนง เพลงพิณ วาดภาพ เดินหมากล้อม ชงชารวมทั้งเตรียมกำยาน คำว่าเชี่ยวชาญนั้นไม่เกินเลยสักนิด “ดีจริง ไข้ลดแล้ว” เจียงเจิ้งฮ่าวค่อยโล่งใจขึ้น “ข้าก็บอกพี่รองแล้ว ว่าข้าดีขึ้นแล้วจริงๆ” นางยิ้มน้อยๆ ชีวิตในชาติก่อนก่อกรรมไว้มากไม่คิดว่าจะมีคุณงามความดีหลงเหลือได้มาอยู่ในครอบครัวที่ดีพร้อมเช่นนี้ได้ สงสารก็แต่แม่นา
สาวใช้หยิบหมอนหนุนหลังให้หญิงสาวเอนหลังพิงหัวเตียง ชิงหว่านซึบซับการถูกเอาใจใส่พลางคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ก่อนเป็นคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงที่ผู้คนรู้จักในนามไป๋ลู่ ชื่อเดิมของนางคือชิงหว่าน เจ้าของร่างนี้ก็ชื่อเดียวกัน นางพบชิ่งหว่านที่แดนปรโลก หลังจากดวงวิญญาณของนางหลุดออกจากร่างของคณิกาไป๋ลู่ไปแล้ว หลุดพ้นจากความทรมานเพียงพริบตาก็มาสู่แดนปรโลก ดอกปี่อั้นสีแดงเลือดแบ่งบานต้อนรับวิญญาณทั้งหลาย นางเพียงถอนหายใจเบาๆ สำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองทำไว้ เพียงเพื่อช่วยให้บุรุษผู้หนึ่งสมปรารถนา นางจึงยอมทำทุกสิ่งแม้ต้องใช้ร่างกายก็ตาม แม้นางคือหญิงคณิกาแต่หัวใจเพรียกหารักแท้ แต่สุดท้ายเขากลับส่งนางไปบำเรอกามขุนนางโฉดทรมานนางจนสิ้นใจ ซ้ำยังเอาศพไปทิ้งในป่าราวกับเป็นสัตว์ชั้นต่ำตัวหนึ่ง นางทำผิดต่อผู้คนมากมาย แม้กระทั่งบุรุษที่ชื่อซ่งอวี้หาน แต่เขากลับเป็นคนที่ยอมสละเสื้อคลุมกันฝนคลุมร่างให้นาง ในชีวิตนางได้พบคนที่ดีก็เมื่อลมหายใจสุดท้ายมาเยือน เพียงพริบตานางมาสู่แดนปรโลก ระหว่างที่จะไปนสะพานไน่เหอ ว่ากันว่าใต้สะพานจะเป็นแม่น้ำสีเลือดที่เต็มไปด้ว
แนะนำตัวละครชิงหว่าน : คณิกาไป๋ลู่ มีชื่อเดิมว่าชิงหว่าน เป็นหญิงนางโลมที่หอระบำจันทร์ อายุ24ปี เมื่อตายด้วยน้ำมือ วิญญาณมาอยู่ในร่างของ ‘เจียงชิงหว่าน’ บุตรสาวตระกูลพ่อค้าอายุเพียง15ปีซ่งอวี้หาน : ผู้บัญชาการซ่ง ผู้บัญชาการสำนักประจิม สำนักประจิม เป็นหน่วยที่ตั้งขึ้นเพิ่มเติมเพื่อคอยตรวจสอบและสอดส่ององครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาอีกทอดหนึ่ง มีอำนาจในการสังหารผู้ที่เป็นภัยได้ทันที อายุ24ปีเฟิงเยี่ยนหลง : รัชทายาท ผู้ต้องการนั่งบัลลังก์มังกรโดยสนใจวิธีการแม้แลกมาด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ เจียงเจิ้งเหวิน,เจียงเจิ้งฮ่าว และ เจียงเจิ้งหย่วน : พี่ชายของเจียงชิงหว่านรักน้องสาวยิ่งชีวิตบทนำ พายุฝนโหมกระหน่ำชะล้างคราบเลือดไหลนองบนพื้นและช่วยทำให้ร่างของหญิงงาม เสื้อผ้าถูกฉีกขาดเปิดเผยผิวกายที่บัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผล รอยฟอกช้ำ ที่ข้อมือและข้อเท้ายังมีเชือกมัดไว้ ดวงตาไร้แววคู่นั้นยังเบิกโพลงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานเจ็บปวดและเคียดแค้น จุดจบของคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ช่างอนาถยิ่งนัก แสงแปลบปลาบทำให้ราตรีมืดมิดมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น บุรุษผู้หนึ่งอยู่บนหลังอา







