LOGIN“ข้าอยากได้ผ้าสีกลับบัว สีเขียวบงกชแล้วก็ สีฟ้านี่ก็สวย เอาให้ข้าอย่างละพับ เอาขึ้นรถไว้เลยนะ”
“ขอรับคุณหนู”
ผ่านไปครึ่งชั่วยามเจียงเจิ้งเหวินออกมาพร้อมหลงจู๊ ดวงตาคมเบิกกว้างแล้วมองไปรอบร้านก่อนจะหยุดสายตาที่น้องสาวที่ยืนอยู่กลางร้าน
“หว่านวาน เจ้าทำสิ่งใด?”
“ขออภัยพี่ใหญ่ หว่านวานเห็นในร้านไม่มีลูกค้าจึงใช้เด็กๆ ช่วยกันจัดร้านเสียใหม่ ผ้าของร้านเราสวยงามนัก แต่วางไม่สะดุดตา ในห้องก็ทึบแสงไปนิดทำให้มองสีผ้าผิดเพี้ยนไป พี่ใหญ่คงไม่โกรธข้ากระมัง”
“จะโกรธได้อย่างไร เจ้าทำได้ดีมากจริงๆ”
หญิงสาวยิ้มกว้าง “ข้าเจอผ้าถูกใจ เลยให้เด็กในร้านเอาขึ้นรถม้าเอากลับบ้านด้วย”
“เจ้าอยากได้สิ่งใด ก็ให้สั่งเด็กในร้านให้เอาไปส่งที่คฤหาสน์ได้”
“พี่ใหญ่ใจดีที่สุดเลย” รอยยิ้มประจบก็ตามมา เจียงเจิ้งเหวินไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้ เขายังต้องไปตรวจร้านอื่นต่อจึงชวนนางออกจากร้าน
จิงหว่านอดอู้อยู่ในบ้านมาหลายวัน นางอยากเดินเล่นเป็นทุนเดิม เมื่อเดินออกมานอกร้านก็อยากไปดูนั้นดูนี้ ฝั่งตรงข้ามร้านมีคนขายขนมถังหูลู่ ชาติก่อนแต่ละวันถูกเคี่ยวกรำฝึกฝนเพื่อเป็นคณิกาอันดับหนึ่ง แค่ขนมถังหูลู่อยากกินก็ไม่ได้กิน มาชาตินี้นางจึงอดใจไม่ไหวกระตุกแขนเสื้อพี่ใหญ่แล้วชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม
“พี่ใหญ่ หว่านวานจะกินถังหูลู่”
“เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังจะกินถังหูลู่อีกรึ” ปากว่าน้องไปเช่นนั้นแต่กลับหัวเราะในลำคอ
“ข้าจะกิน!” นางทำปากยื่นใส่แล้วเดินถลาไปฝั่งตรงข้ามร้านทันที
ทว่า เสียงผู้คนโหวกเหวกขึ้นมาและม้าตัววิ่งตรงมาทางนางทำให้ร่างบอบบางชะงักอยู่กลางถนน นางหันไปมองอย่างตกใจยังไม่ทันดูให้ชัดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ชิงหว่านมองเห็นม้าตัวหนึ่งยกเท้าขึ้นหน้าขึ้นตะกุยในอากาศทำให้นางนิ่งงันไปทันที
“หว่านวาน!”
เสียงของพี่ใหญ่ทำให้หญิงสาวได้สติ ชิงหว่านกำลังจะหมุนตัวหลบทว่ามือแกร่งข้างหนึ่งคว้าเอวบางโอบรั้งนางไว้อย่างปกป้อง กลิ่นกายบุรุษเพศผสานกลิ่นหอมของไม้กฤษณา หญิงสาวขืนตัวออกตามสัญชาตญาณ แต่มือข้างนั้นกลับเพิ่มแรงกดจนทำให้ร่างของนางแนบชิดกับร่างกำยำ เสียงกระบี่ปะทะกันดังขึ้นข้างหู ชิงหว่านจึงเข้าใจในทันทีว่าคนผู้นี้ต้องการช่วยนางจึงไม่ฝืนเกร็งผ่อนคลายร่างกายเคลื่อนไหวไปพร้อมกับบุรุษผู้นี้
เจียงเจิ้งเหวินรีบเข้าไปช่วยน้องสาวจากคนสวมชุดดำกลุ่มหนึ่ง แม้เป็นพ่อค้าแต่ฝึกวรยุทธ์อยู่บ้างจึงพอรับมือกับคนเหล่านั้นได้ บุรุษที่สวมชุดสีน้ำเงินเหลือบดำผู้นั้นสามารถใช้มือเพียงข้างเดียวรับกระบวนท่าจากฝ่ายตรงข้ามได้ แต่เพราะต้องปกป้องคนในอ้อมกอดทำให้ไม่สามารถติดตามผู้ที่โจมตีเขาได้ เป็นจังหวะเดียวกับทหารสำนักประจิมกรูเข้ามา เขาจึงหยุดมือแล้วสั่งการด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“จับเป็น! นำพวกมันไปไต่สวน!”
“รับทราบ!”
เสียงที่ก้องดังอยู่ข้างหูทำเอาชิงหว่านตะลึงงัน แต่กระนั้นก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมอง เพราะร่างกายนี้อายุเพียงสิบห้า เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของบุรุษร่างสูงใหญ่ทำให้นางเห็นเพียงปลายคางของเขา ทว่าเส้นโครงหน้าที่คุ้นตาทำให้นางจำได้ในทันที
เป็นเขา...
“หว่านวาน!” เจียงเจิ้งเหวินรีบเข้าไปหาน้องสาว แต่ทหารขวางทางไว้ “น้องสาวข้า!”
มือแกร่งคลายวงแขนแล้วปล่อยให้ดรุณีน้อยยืนด้วยตนเอง เขาก้าวถอยหลังห่างจากร่างเล็กหนึ่งก้าวแล้วยกมือส่งสัญญาให้ทหารเปิดทาง ทำให้เจียงเจิ้งเหวินเข้ามาถึงตัวเด็กสาวได้ พี่ใหญ่ยื่นมือที่สั่นเทาไปจับไหล่น้องสาวที่ยืนตะลึงงันอยู่ราวกับถูกตะปูตอกตรึงเท้าไว้
“หว่านวาน บาดเจ็บหรือไม่ พี่ใหญ่อยู่ที่นี่แล้ว”
ซ่งอวี้หานปรายตามองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา เพราะเขามั่นใจในความสามารถของตนปกป้องไม่ให้เด็กสาวได้รับบาดเจ็บ ชิงหว่านพยายามสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกมา เรียกสติให้มั่นคง ไม่คิดว่าโชคชะตาจะนำพาให้นางได้พบผู้มีพระคุณเร็วถึงเพียงนี้ ดวงตาร้อนผ่าวกว่าจะรู้ตัวหยดน้ำหยาดใสก็รินไหลไม่รู้ตัว
“หว่านวานไม่ต้องกลัว พี่ใหญ่อยู่นี่แล้ว” เจียงเจิ้งเหวินร้อนร้นแทบคลั่ง เขารีบร้อนจะพาน้องสาวไปจากสถานการณ์เลวร้ายนี้จนลืมไปสิ้นว่าตนอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการสำนักประจิม
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” ชิงหว่านได้สติรีบพูดขึ้น นางหลุบตาลงแล้วยอบกายแสดงความขอบคุณบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า ขอบคุณที่เขาช่วยนางในครั้งนี้และในชาติก่อน
“ขอบคุณใต้เท้าซ่งที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
ดวงตาคมดุดันหรี่มอง หญิงงามเมื่อหลั่งน้ำตาชวนให้ผู้คนปวดใจ เดิมทีซ่งอวี้หานไม่เคยหวั่นไหวกับสตรีนางใด แต่กับดรุณีน้อยผู้นี้ เขาเห็นความเข็มแข็งในท่าทีที่อ่อนแอ ขณะที่เขาประมือกับคนร้ายนางก็ไม่ได้กรีดร้องออกมาแม้ครึ่งคำ
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เขาโบกมือไม่ใส่ใจ
ครู่หนึ่งทหารกุมตัวคนร้ายมาได้ มันพยายามดิ้นรนจนถูกทหารกระชากเสื้อจนขาดรุ่ย รวดเร็วเกินกว่าจะคาดคิดคนร้ายกลืนยาพิษฆ่าตัวตายต่อหน้าผู้บัญชาการซ่งอวี้หาน ร่างนั้นแน่นอนใกล้ปลายเท้าของชิงหว่าน ดวงตายังมีน้ำตาเอ่อคลอเบิกกว้างขึ้นที่เห็นรอยสักสีแดงรูปนกบนแผ่นอกด้านซ้าย ร่างกายนางเย็นเยียบไปทั่วร่าง ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดซวนเซเจียนล้มลงเสียตรงนั้น โชคดีที่เจียงเจิ้งเหวินสังเกตุน้องสาวอยู่ก่อนแล้ว เขายกมือขึ้นปิดดวงตาของน้องสาวเพราะคิดว่านางตกใจกลัวกับสิ่งที่เห็น
“อย่ามอง พี่จะพาเจ้ากลับบ้าน”
ด้วยการปกป้องของพี่ใหญ่ ความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับในชาติก่อนทำให้ชิงหว่านสงบใจได้รวดเร็ว นางเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วผินหน้าเข้าหาพี่ชาย เจตนาไม่ต้องการให้ใครเห็นสีหน้าของนางในเวลานี้แต่ผู้อื่นมองว่าเด็กสาวอยู่ในอาการหวาดกลัว เจียงเจิ้งเหวินสนใจเพียงน้องสาว เขารีบพานางขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็วโดยลืมแม้แต่จะขอบคุณผู้บัญชาการซ่ง
ซ่งอวี้หานมองรถม้าเรียบง่ายคันนั้นเคลื่อนออกไปอย่างเงียบเฉียบ แล้วมองเลยไปยังด้านหลังเขาจำได้ว่าหญิงสาวออกมาจากร้านร้านผ้าไหมสูจิ่น ระหว่างรอทหารเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ เขาสั่งทหารข้างกาย
“สืบดูว่าสองคนเมื่อครู่เป็นใคร”
“ขอรับผู้บัญชาการซ่ง”
“เรื่องที่ควรทำก็ควรทำ เรื่องที่ควรรู้ก็ควรศึกษา ผู้น้อยไม่นับว่าเก่งกาจอะไร หลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา ผู้น้อยเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้นเจ้าค่ะ”สารถีวางบันไดเรียบร้อยแล้ว ชิงหว่านจึงยุติบทสนทนา มือเรียวยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อก้าวขึ้นบันไดอย่างสะดวก ทว่าเท้าเล็กๆของนางเกิดพลิกอย่างไม่ทันตั้งตัว ซ่งอวี้หานหูตาไวยืนมือไปโอบแผ่นหลังไว้ได้ทันก่อนที่ร่างของนางจะหล่นลงมา ร่างสูงใหญ่ประชิดหญิงสาวรวดเร็ว การใกล้ชิดที่ไม่ได้ตั้งใจทำชิงหว่านสัมผัสได้ถึงฝ่ามือแข็งแกร่งที่ประคองแผ่นหลังของนางไว้ เดิมทีนางเก็บสีหน้าตนเองได้มิดชิด แต่เหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมนี้ทำให้ใบหน้าหวานแดงเรื่อ ดวงตากลมเบิกกว้างและแทบลืมหายใจเมื่อใบหน้าของเขาอยู่ใกล้นางมาก ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะเรียกสายตาของคนในบริเวณนั้นให้หันไปมอง ตั้งแต่สถานที่เฝ้าประตูไปอย่างคนที่สัญจรไปมา แน่นอนว่าทุกคนรู้จักผู้บัญชาการซ่งเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมีใจช่วยเหลือสตรี เช่นนี้ ทำให้ทุกคนสนใจหญิงสาวเป็นอย่างมาก“ไม่น่าเชื่อว่าพญายมซ่งจะใส่ใจสตรีเช่นกัน”เสียงหยอกล้อนั้นทำให้ชิงหว่านได้สติ นางรีบทรงตัวให้ยื
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเรื่องนี้” ซ่งอวี้หานเอ่ยถาม ดวงตาคมกริบจ้องมองไม่ปรานี น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความคาดคั้น ผู้อื่นได้ยินก็คงถึงกับเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้นแล้ว ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับไม่หลบสายตาและยังมองเขากลับด้วยท่าทีสงบนิ่ง “แม้ผู้น้อยจะจดจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งช่วยชีวิตผู้น้อยไว้ ทำให้ได้กลับมาท่านพ่อพ่อท่านแม่พี่และพี่ชายทั้งสามอีกครั้ง” ชิงหว่านไม่หลบตาเพราะไม่คิดว่าตนเองโกหก สำหรับนางแล้ว ‘เจียงชิงหว่าน’ คือผู้มีพระคุณของนางที่ทำให้นางได้ใช้ชีวิตใหม่ที่ดีในชาตินี้ และจากที่นางลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอาการหวาดกลัวขั้นรุนแรงทุกครั้งที่พบเจอรัชทายาทเฟยเยี่ยนหลง นางเชื่อสุดใจว่าการที่เจียงชิงหว่านถูกลักพาตัวไปในครั้งนั้นย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเฟยเยี่ยนหลงอย่างแน่นอน ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกแล้วพยักหน้าเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดไว้เหมือนกัน เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ได้ “ข้าเคยพูดแล้วว่า ข้าไม่สามารถพูดเรื่องคดีนี้กับเจ้าได้หรือแ
หลินอีฉู่เห็นสายตาขององค์รัชทายาททอดมองเพียงเจียงชิงหว่านก็ทำให้หัวใจน้อยๆ ของนางร้อนรุ่มขึ้นมาทันที แม้นางถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายา แม้รู้ดีว่าตำแหน่งนี้ต้องแลกกับสิ่งใด และในอนาคตนางต้องปกครองวังหลังต้องสู้รบกับสตรีอีกนับไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้แค่เห็นเฟยเยี่ยนหลงสนใจสตรีอื่น นางก็อยากฉีกคนสตรีนางนั้นแล้ว โดยเฉพาะสตรีที่ชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นเจียงชิงหว่าน นางรึตั้งใจฉีกหน้าทำให้สตรีชั้นต่ำนั้นรู้ว่ามาอยู่ผิดที่ แม้เพลงที่นางบรรเลงไม่ได้โดดเด่นแต่ก็ทำให้ผู้อื่นรู้ว่าก็มิได้อ่อนด้อยให้เยาะเย้ย“ฮ่องเต้ทรงพระราชทานชาเข็มเงิน อย่างไรก็ร่วมชิมชากันสักหน่อยเถิด” ลี่กุ้ยเฟยเชื้อเชิญทุกคน แม้นางประหลาดใจที่เห็นผู้บัญชาการซ่งในที่นี่ด้วย เพราะเคยส่งเทียบเชิญให้คนผู้นั้นนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยมาร่วมงานเลยสักครั้ง“เกรงว่ากระหม่อมจะอยู่ร่วมมิได้แล้ว มีภารกิจต้องไปทำพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งอวี้หานเอ่ยเพื่อขอตัวออกมา อย่างไรเขาก็ไม่คุ้นชินกับงานเหล่านี้ และไม่ได้มีแผนจะมาร่วมงานตั้งแต่แรก“ใจ้เท้าซ่งจะกลับแล้วรึเจ้าคะ” ชิงหว่านถามขึ้นมาทันที เรียกสายตาของผู้อื่นในให้จ้องมองมาทางนางซ่งอว
เพียงได้ยินบทเพลงที่หลินอีฉู่บรรเลงก็ทำให้สีหน้าของชิงหว่านเปลี่ยนไป วาจาเรียกพี่สาวน้องสาวแต่บรรเลงบทเพลงที่ต้องใช้ความชำนาญมากเป็นพิเศษนั้น เท่ากับตั้งใจสังหารในดาบเดียว หญิงสาวจ้องมองไปยังหลินอีฉู่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่แววตาเยาะเย้ย ชิวหว่านเข้าใจจุดประสงค์ของหลินอีฉู่ นางลอบมองไปยังลี่กุ้ยเฟยที่แสดงสีหน้าพอใจเต็มเปี่ยม ตำแหน่งว่าที่พระชายาคงเป็นสกุลหลินที่หมายตาเช่นเดียวกับตระกูลอื่น งานชมบุปผาครั้งนี้เหล่าหญิงงามจึงงัดทุกความสามารถออกมาประชันกัน ชิงหว่านไม่ได้ต้องการตำแหน่งนี้ ทว่าจะแสร้งทำเป็นเล่นไม่เป็นก็เกรงว่าจะเสียหน้าไปถึงตระกูลเจียงของตน อย่างน้อยก็อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนว่าเป็นเพียงบุตรสาววาณิชไร้ความสามารถ อย่างน้อยผู้อื่นก็รู้ว่าคุณชายสามสกุลเจียงเลื่องชื่อศาสตร์ศิลป์ หญิงสาวตั้งสติแล้วหลุบตาลงมองพิณเจ็ดสายตรงหน้า พลันภาพเก่าๆ หวนคืน บุรุษผู้หนึ่งวาดลงแขนคล้ายอ้อมกอด คล้ายกักขังแล้วร่วมบรรเลงพิณเดียวกับนาง กลิ่นไม้กฤษณาอันเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับกลิ่นกายบุรุษเพศ ทำให้จิตใจปั่นปวนยากจะสงบใจได้ ‘เหตุใดวันนี้ลูกศิษย์ข้าจึงไ
น้ำเสียงหวานใสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกระจ่างราวกับไม่เคยผ่านเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัส หลิ่วอิงเองก็เคยได้ยินเรื่องที่พี่สาวน้องสาวพูดถึง เพราะช่วงนั้นทุกบ้านถึงกับปิดประตูลงกลอนแต่หัววันเพราะเกรงคนชั่วจะมาจับบุตรสาวในบ้านของตนไป นางเองก็ถูกจำกัดบริเวณทั้งที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด แต่นั้นก็เพราะความหวังดีของบิดามารดา “เหอะ! สมกับเป็นบุตรสาวพ่อค้า เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ยังกล้าพูดออกมาได้” “เหตุใดข้าต้องอับอายด้วยเล่า” ชิงหว่านเอียงคอเล็กน้อยแสร้งทำหน้าไร้เดียงสาก่อนจะค่อยๆ คืนสีหน้าสงบนิ่ง“คนที่ทำความผิดควรเป็นผู้ละลายต่อการกระทำของตน ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยต้องเป็นฝ่ายอับอาย ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาวบ้านหรือผู้สูงศักดิ์ก็ล้วนมีศักดิ์ศรีในตนเองทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่ความผิดของข้า หากข้าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านทำตัวอ่อนแอก็ยิ่งเท่ากับว่าทำให้คนชั่วช้าได้ใจ พวกนั้นยิ่งเหิมเกริมย่ามใจลงมือกับสตรีที่ไร้ทางสู้ แม้สองมือของข้าไร้เรี่ยวแรงแต่ข้าก็จะสู้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งไม่ให้ผู้ใดมาย่ำยีได้เด็ดขาด” ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ฟังต่างนิ่งงันไป นางเป็นเพียง
ซ่งอวี้หานไม่สนใจสายตาผู้อื่น ใบหน้าของเขาสงบนิ่งเป็นทุนเดิม มีเพียงสายตาที่ทอดมองไปยังกลุ่มสตรีเหล่านั้น กวาดสายตามองหาครู่หนึ่งก็พบหญิงสาวรูปร่างอรชร นางแต่งกายเรียบง่ายแต่เป็นผ้าไหมเนื้อดีสีสันไม่โดดเด่นเน้นที่การตัดเย็บประณีตปักลายดอกท้องดงาม เจียงชิงหว่านยืนรวมกลุ่มกับสตรีผู้อื่น นางได้รับคำเชิญจากคุณหนูหลิ่วอิง หลายวันก่อนเสนอพี่ใหญ่มอบตัวอย่างผ้าและเครื่องประทินโฉมแก่คุณหนูบ้านต่างๆ พร้อมแนบเทียบเชิญเปิดร้าน “อวี้เหยียน ฟาง” ที่จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า แม้เป็นส่งเทียบเชิญที่ลงทุนไม่น้อยแต่เจียงเจิ้งเหรินเห็นดีด้วย เป็นการแนะนำร้านและสินค้าพร้อมกันทีเดียว แม้กลุ่มเป้าหมายมิใช่คุณหรูสูงศักดิ์ เป็นสินค้าที่คนทั่วไปสามารถจับจ่ายซื้อหาได้ แต่บนชั้นสองของร้านอวี้เยียนฟางก็จัดไว้สำหรับบรรดาคุณหนูตระกูลสูง ได้เลือกเครื่องประทินโฉมที่ถูกใจและยังสามารถนั่งจิบชาสนทนาตามประสาสตรีได้ด้วย สิ่งที่ชิงหว่านเสนอเจียงเจิ้งเหรินนั้น เป็นแนวการทำการค้าของบรรดาพ่อค้าที่เร่ขายสินค้าให้หญิงนางโลม ขายชิ้นหนึ่งแถมอีกชิ้น หรือซื้อสองชิ้นในราคาพิเศษทั้งที่เพิ่มราคาไปแล้ว







