LOGINเดิมทีเจียงเจิ้งเหวินคิดว่าน้องสาวคนสนใจเรื่องการค้าชั่วครู่ชั่วยาม แต่เมื่อเขาอธิบายกิจการของสกุลเจียงแล้ว เจียงชิงหว่านก็ให้ความสนใจศึกษาอย่างละเอียด และเป็นฝ่ายให้คำแนะนำเขาในบ้างเรื่อง
“ถ้าพี่ใหญ่บอกว่าบ้านเราไม่ขาดแคลนเงินทอง หว่านวานคิดว่าเราส่งสินค้าใหม่ของเราเป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆ มอบให้บรรดาฮูหยินขุนนาง ขุนนางเล็กๆที่ถูกมองข้าม เราทำดีกับพวกเขาไว้สักหน่อย วันข้างหน้าอาจได้ผูกมิตรกัน
“เป็นความคิดที่ดี ปกติพี่ก็ให้คนส่งของขวัญให้บรรดาฮูหยินขุนนาง แต่เราเข้าไม่ถึงพวกเขา”
“สินค้าของเราเป็นของดีมีคุณภาพ แต่การส่งให้พร่ำเพรื่ออาจถูกมองไม่ดี เอาอย่างนี้ เรื่องนี้ให้หว่านวานช่วยพี่ใหญ่เองเจ้าค่ะ หว่านวานรู้ว่าฮูหยินของตระกูลใหญ่ชอบสิ่งใด”
“เจ้ารู้?”
“ก็พอมีความรู้บ้าง” หญิงสาวยิ้มอ่อนหวาน “พี่ใหญ่ไม่เชื่อใจหว่านวานหรือเจ้าคะ”
ถูกน้องสาวออดอ้อนเช่นนี้ หัวใจเจียงเจิ้งเหวินแทบละลายกลายเป็นน้ำ เอาเถิด ถ้านางทำสิ่งใดไม่ถูกไม่ควร เขาคอยหาทางไปขอขมาทีหลังก็ไม่เสียหาย
“ตามใจเจ้าเถิด”
“หว่านวานรักพี่ใหญ่ที่สุดเลย” ชิงหว่านที่นั่งข้างเจียงเจิ้งเหวินเอนตัวพิงต้นแขนกำยำ เขาเป็นพ่อค้าใหญ่แต่ทุกเช้าก็เห็นฝึกเพลงยุทธ์ แม้บอกว่าไม่ได้ฝึกเพื่อไปประมือกับผู้ใด เพียงแค่ให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่จากที่นางสัมผัส กล้ามเนื้อแขนกำยำเต็มไปด้วยพละกำลัง สมกับที่เป็นผู้สืบทอดตระกูลเจียง
“เจ้านี่นะ” เจียงเจิ้งเหวินไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่เห็นน้องสาวเป็นเช่นนี้เขาก็พอใจที่เห็นนางเติบโตขึ้น ตอนที่นางยังล้มป่วยอยู่นั้น เขากลัวเหลือเกินว่าน้องสาวผู้ไร้เดียงสาจะแบกความทุกข์นี้ไว้ไม่ไหว หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านพ่อท่านแม่ก็พร้อมใจจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นเพื่อหลบเลี่ยงคำติชินนินทาต่างๆ แต่ตอนนี้...เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
เมื่อนางรบเร้าอยากไปที่ร้านขายผ้าไหมและตรงกับวันที่เขาต้องไปตรวจร้านพอดี วันนี้คุณชายใหญ่สกุลเจียงจึงนั่งรถม้ามาพร้อมกับน้องสาวสุดที่รัก รถม้าจอดนิ่งดีแล้ว เจียงเจิ้งเหวินลงจากรถม้าแล้วจึงยื่นมือไปประคองน้องสาวลงจากรถ ปกติเขาเห็นเจียงชิงหว่านสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดแต่ก็เข้าใจได้ว่าดรุณีน้อยมักชอบสีสันสดใส แต่ครั้งนี้นางสวมอาภรณ์สีอ่อนรวมกับกิริยาที่เรียบร้อยสุขุมซ่อนความซุกซ่อนในดวงตาพราวระยับ
หลงจู๊ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นว่าข้างกายเจียงเจิ้งเหวินมีดรุณีน้อยมาด้วยสีหน้าก็มีแววประหลาดใจ
“คาวระคุณชายใหญ่เจียง คุณหนูเจียง”
ชิงหว่านหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปโดยรอบ ร้านผ้าไหมสูจิ่นแม้ไม่ใช่ร้านใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่นางที่เป็นคณิกาไป๋ลู่เคยได้อยู่บ้าง เป็นร้านค้าที่สุจริตซื่อตรง ผ้าไหมนับว่ามีคุณภาพ แต่ที่ร้านขาดช่างเย็บปักมีฝีมือ ที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีแต่ไม่พอ จึงไม่มีเสื้อผ้าสำเร็จจำหน่าย
“พี่ใหญ่ หลงจู๊ ข้าอยากเดินดูในร้านสักหน่อยได้หรือไม่”
“ตามใจเจ้า พี่มีเรื่องต้องคุยกับหลงจู๊”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ชิงหว่านยิ้มน้อยๆ แล้วเดินดูในร้าน การจัดวางเป็นระเบียบแต่ดูแน่นเกินไปชวนให้อึดอัด นางมองไปรอบๆ กลางวันแต่แสงน้อยทำให้มองเห็นสีของเนื้อผ้าไม่แจ่มชัด นางวางมือลูบเนื้อผ้าไหม นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าพี่ใหญ่เดินเข้าไปด้านในแล้วจึงเรียกเด็กในร้านมาสอบถาม
“นี่คือผ้าไหมจากหนานจิงใช่หรือไม่”
“ถูกต้องแล้วขอรับ คุณหนูเจียง”
“เรียบรื่นดุจเมฆคล้อยเป็นผ้าเนื้อดีจากหนานจิงจริงๆ” นางมองในร้านอีกครั้ง ไม่มีลูกค้าอื่นใด จึงได้กล้าเอ่ยปากสั่ง “ผ้าสวยถึงเพียงนี้ อย่าวางทับกันราวกับผ้าไร้ราคา ตอนนี้ไม่มีลูกค้ามาช่วยข้าจัดวางผ้าเสียใหม่”
“ขอรับคุณหนู” เด็กในร้านเห็นคุณหนูบอบบางจึงเรียกคนอื่นมาช่วย หญิงสาวจึงทำเพียงแค่ถอยออกมายืนกลางห้องแล้วชี้นิ้วสั่งการ
“หลายวันก่อนฝนตกติดต่อกัน อากาศค่อนข้างชื้น หากำยานมาจุดในร้านไล่ความชื้นในห้องด้วยล่ะ แต่ต้องระวังอย่าให้ดี เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ”
หากไม่ใช่ว่านางเข้ามาพร้อมกับคุณชายใหญ่ คงไม่มีใครเชื่อนางคือคุณหนูเจียงชิงหว่าน พวกเขาย่อมได้ยินเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าพูดอันใด แต่เมื่อได้เห็นกับตาว่าคุณเจียงสุขสงบไร้ความหมองเศร้าก็เข้าใจว่าเรื่องที่ได้ยินมาเป็นเรื่องแต่งผสมเรื่องจริงเสียมากกว่า ใครกันเล่าผ่านเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นยังจะมีหน้าตาแย้มยิ้มเช่นนี้ได้อีก
“เรามีช่างตัดเย็บประจำร้านหรือไม่”
“มีขอรับ แต่คนของเราน้อย ร้านอื่น...เอ่อ...แย่งไปหมด”
นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ารู้จักคนผู้หนึ่งไม่รู้ว่านางยังรับงานเย็บปักหรือไม่ นางชื่อเหมยจื่อมีบุตรสาววัยสองขวบกระมัง อยู่หมู่บ้านตะวันตก ถ้าเจ้าพบนางแล้วก็บอกว่าร้านผ้าของเราเชิญนางมาเป็นช่างเย็บปักที่นี่ ข้าจะหาที่พักให้นางเอง หรือถ้านางไม่เชื่อใจก็ให้ไปพบข้าที่สกุลเจียงได้”
“ขอรับ” เด็กรับใช้ท่องจำอยู่ในใจ
“ข้าอยากได้ผ้าสีกลับบัว สีเขียวบงกชแล้วก็ สีฟ้านี่ก็สวย เอาให้ข้าอย่างละพับ เอาขึ้นรถไว้เลยนะ”
“ขอรับคุณหนู”
“เรื่องที่ควรทำก็ควรทำ เรื่องที่ควรรู้ก็ควรศึกษา ผู้น้อยไม่นับว่าเก่งกาจอะไร หลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา ผู้น้อยเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้นเจ้าค่ะ”สารถีวางบันไดเรียบร้อยแล้ว ชิงหว่านจึงยุติบทสนทนา มือเรียวยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อก้าวขึ้นบันไดอย่างสะดวก ทว่าเท้าเล็กๆของนางเกิดพลิกอย่างไม่ทันตั้งตัว ซ่งอวี้หานหูตาไวยืนมือไปโอบแผ่นหลังไว้ได้ทันก่อนที่ร่างของนางจะหล่นลงมา ร่างสูงใหญ่ประชิดหญิงสาวรวดเร็ว การใกล้ชิดที่ไม่ได้ตั้งใจทำชิงหว่านสัมผัสได้ถึงฝ่ามือแข็งแกร่งที่ประคองแผ่นหลังของนางไว้ เดิมทีนางเก็บสีหน้าตนเองได้มิดชิด แต่เหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมนี้ทำให้ใบหน้าหวานแดงเรื่อ ดวงตากลมเบิกกว้างและแทบลืมหายใจเมื่อใบหน้าของเขาอยู่ใกล้นางมาก ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะเรียกสายตาของคนในบริเวณนั้นให้หันไปมอง ตั้งแต่สถานที่เฝ้าประตูไปอย่างคนที่สัญจรไปมา แน่นอนว่าทุกคนรู้จักผู้บัญชาการซ่งเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมีใจช่วยเหลือสตรี เช่นนี้ ทำให้ทุกคนสนใจหญิงสาวเป็นอย่างมาก“ไม่น่าเชื่อว่าพญายมซ่งจะใส่ใจสตรีเช่นกัน”เสียงหยอกล้อนั้นทำให้ชิงหว่านได้สติ นางรีบทรงตัวให้ยื
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเรื่องนี้” ซ่งอวี้หานเอ่ยถาม ดวงตาคมกริบจ้องมองไม่ปรานี น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความคาดคั้น ผู้อื่นได้ยินก็คงถึงกับเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้นแล้ว ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับไม่หลบสายตาและยังมองเขากลับด้วยท่าทีสงบนิ่ง “แม้ผู้น้อยจะจดจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งช่วยชีวิตผู้น้อยไว้ ทำให้ได้กลับมาท่านพ่อพ่อท่านแม่พี่และพี่ชายทั้งสามอีกครั้ง” ชิงหว่านไม่หลบตาเพราะไม่คิดว่าตนเองโกหก สำหรับนางแล้ว ‘เจียงชิงหว่าน’ คือผู้มีพระคุณของนางที่ทำให้นางได้ใช้ชีวิตใหม่ที่ดีในชาตินี้ และจากที่นางลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอาการหวาดกลัวขั้นรุนแรงทุกครั้งที่พบเจอรัชทายาทเฟยเยี่ยนหลง นางเชื่อสุดใจว่าการที่เจียงชิงหว่านถูกลักพาตัวไปในครั้งนั้นย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเฟยเยี่ยนหลงอย่างแน่นอน ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกแล้วพยักหน้าเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดไว้เหมือนกัน เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ได้ “ข้าเคยพูดแล้วว่า ข้าไม่สามารถพูดเรื่องคดีนี้กับเจ้าได้หรือแ
หลินอีฉู่เห็นสายตาขององค์รัชทายาททอดมองเพียงเจียงชิงหว่านก็ทำให้หัวใจน้อยๆ ของนางร้อนรุ่มขึ้นมาทันที แม้นางถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายา แม้รู้ดีว่าตำแหน่งนี้ต้องแลกกับสิ่งใด และในอนาคตนางต้องปกครองวังหลังต้องสู้รบกับสตรีอีกนับไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้แค่เห็นเฟยเยี่ยนหลงสนใจสตรีอื่น นางก็อยากฉีกคนสตรีนางนั้นแล้ว โดยเฉพาะสตรีที่ชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นเจียงชิงหว่าน นางรึตั้งใจฉีกหน้าทำให้สตรีชั้นต่ำนั้นรู้ว่ามาอยู่ผิดที่ แม้เพลงที่นางบรรเลงไม่ได้โดดเด่นแต่ก็ทำให้ผู้อื่นรู้ว่าก็มิได้อ่อนด้อยให้เยาะเย้ย“ฮ่องเต้ทรงพระราชทานชาเข็มเงิน อย่างไรก็ร่วมชิมชากันสักหน่อยเถิด” ลี่กุ้ยเฟยเชื้อเชิญทุกคน แม้นางประหลาดใจที่เห็นผู้บัญชาการซ่งในที่นี่ด้วย เพราะเคยส่งเทียบเชิญให้คนผู้นั้นนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยมาร่วมงานเลยสักครั้ง“เกรงว่ากระหม่อมจะอยู่ร่วมมิได้แล้ว มีภารกิจต้องไปทำพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งอวี้หานเอ่ยเพื่อขอตัวออกมา อย่างไรเขาก็ไม่คุ้นชินกับงานเหล่านี้ และไม่ได้มีแผนจะมาร่วมงานตั้งแต่แรก“ใจ้เท้าซ่งจะกลับแล้วรึเจ้าคะ” ชิงหว่านถามขึ้นมาทันที เรียกสายตาของผู้อื่นในให้จ้องมองมาทางนางซ่งอว
เพียงได้ยินบทเพลงที่หลินอีฉู่บรรเลงก็ทำให้สีหน้าของชิงหว่านเปลี่ยนไป วาจาเรียกพี่สาวน้องสาวแต่บรรเลงบทเพลงที่ต้องใช้ความชำนาญมากเป็นพิเศษนั้น เท่ากับตั้งใจสังหารในดาบเดียว หญิงสาวจ้องมองไปยังหลินอีฉู่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่แววตาเยาะเย้ย ชิวหว่านเข้าใจจุดประสงค์ของหลินอีฉู่ นางลอบมองไปยังลี่กุ้ยเฟยที่แสดงสีหน้าพอใจเต็มเปี่ยม ตำแหน่งว่าที่พระชายาคงเป็นสกุลหลินที่หมายตาเช่นเดียวกับตระกูลอื่น งานชมบุปผาครั้งนี้เหล่าหญิงงามจึงงัดทุกความสามารถออกมาประชันกัน ชิงหว่านไม่ได้ต้องการตำแหน่งนี้ ทว่าจะแสร้งทำเป็นเล่นไม่เป็นก็เกรงว่าจะเสียหน้าไปถึงตระกูลเจียงของตน อย่างน้อยก็อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนว่าเป็นเพียงบุตรสาววาณิชไร้ความสามารถ อย่างน้อยผู้อื่นก็รู้ว่าคุณชายสามสกุลเจียงเลื่องชื่อศาสตร์ศิลป์ หญิงสาวตั้งสติแล้วหลุบตาลงมองพิณเจ็ดสายตรงหน้า พลันภาพเก่าๆ หวนคืน บุรุษผู้หนึ่งวาดลงแขนคล้ายอ้อมกอด คล้ายกักขังแล้วร่วมบรรเลงพิณเดียวกับนาง กลิ่นไม้กฤษณาอันเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับกลิ่นกายบุรุษเพศ ทำให้จิตใจปั่นปวนยากจะสงบใจได้ ‘เหตุใดวันนี้ลูกศิษย์ข้าจึงไ
น้ำเสียงหวานใสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกระจ่างราวกับไม่เคยผ่านเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัส หลิ่วอิงเองก็เคยได้ยินเรื่องที่พี่สาวน้องสาวพูดถึง เพราะช่วงนั้นทุกบ้านถึงกับปิดประตูลงกลอนแต่หัววันเพราะเกรงคนชั่วจะมาจับบุตรสาวในบ้านของตนไป นางเองก็ถูกจำกัดบริเวณทั้งที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด แต่นั้นก็เพราะความหวังดีของบิดามารดา “เหอะ! สมกับเป็นบุตรสาวพ่อค้า เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ยังกล้าพูดออกมาได้” “เหตุใดข้าต้องอับอายด้วยเล่า” ชิงหว่านเอียงคอเล็กน้อยแสร้งทำหน้าไร้เดียงสาก่อนจะค่อยๆ คืนสีหน้าสงบนิ่ง“คนที่ทำความผิดควรเป็นผู้ละลายต่อการกระทำของตน ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยต้องเป็นฝ่ายอับอาย ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาวบ้านหรือผู้สูงศักดิ์ก็ล้วนมีศักดิ์ศรีในตนเองทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่ความผิดของข้า หากข้าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านทำตัวอ่อนแอก็ยิ่งเท่ากับว่าทำให้คนชั่วช้าได้ใจ พวกนั้นยิ่งเหิมเกริมย่ามใจลงมือกับสตรีที่ไร้ทางสู้ แม้สองมือของข้าไร้เรี่ยวแรงแต่ข้าก็จะสู้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งไม่ให้ผู้ใดมาย่ำยีได้เด็ดขาด” ถ้อยคำของนางทำให้คนที่ได้ฟังต่างนิ่งงันไป นางเป็นเพียง
ซ่งอวี้หานไม่สนใจสายตาผู้อื่น ใบหน้าของเขาสงบนิ่งเป็นทุนเดิม มีเพียงสายตาที่ทอดมองไปยังกลุ่มสตรีเหล่านั้น กวาดสายตามองหาครู่หนึ่งก็พบหญิงสาวรูปร่างอรชร นางแต่งกายเรียบง่ายแต่เป็นผ้าไหมเนื้อดีสีสันไม่โดดเด่นเน้นที่การตัดเย็บประณีตปักลายดอกท้องดงาม เจียงชิงหว่านยืนรวมกลุ่มกับสตรีผู้อื่น นางได้รับคำเชิญจากคุณหนูหลิ่วอิง หลายวันก่อนเสนอพี่ใหญ่มอบตัวอย่างผ้าและเครื่องประทินโฉมแก่คุณหนูบ้านต่างๆ พร้อมแนบเทียบเชิญเปิดร้าน “อวี้เหยียน ฟาง” ที่จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า แม้เป็นส่งเทียบเชิญที่ลงทุนไม่น้อยแต่เจียงเจิ้งเหรินเห็นดีด้วย เป็นการแนะนำร้านและสินค้าพร้อมกันทีเดียว แม้กลุ่มเป้าหมายมิใช่คุณหรูสูงศักดิ์ เป็นสินค้าที่คนทั่วไปสามารถจับจ่ายซื้อหาได้ แต่บนชั้นสองของร้านอวี้เยียนฟางก็จัดไว้สำหรับบรรดาคุณหนูตระกูลสูง ได้เลือกเครื่องประทินโฉมที่ถูกใจและยังสามารถนั่งจิบชาสนทนาตามประสาสตรีได้ด้วย สิ่งที่ชิงหว่านเสนอเจียงเจิ้งเหรินนั้น เป็นแนวการทำการค้าของบรรดาพ่อค้าที่เร่ขายสินค้าให้หญิงนางโลม ขายชิ้นหนึ่งแถมอีกชิ้น หรือซื้อสองชิ้นในราคาพิเศษทั้งที่เพิ่มราคาไปแล้ว







