LOGIN“นี่อย่างไรเล่า ชุดผ้าไหมสินเดิมของมารดาที่ท่านพี่อยากได้นักหนา ท่านแม่ของข้านำไปตัดชุดเจ้าสาวให้ท่านพี่แล้ว พอท่านพี่ได้สวมใส่ก็งดงามมากทีเดียว แต่วางใจเถิดนับจากนี้ไปท่านพี่ก็จะได้เป็นลูกรักของท่านพ่อแล้ว ไปเป็นอนุของเจี้ยนป๋อเพื่อแลกกับสัมปทานรังนกห้าปีถือว่ามีความดีความชอบ ขอให้ท่านพี่คิดเสียว่าทำเพื่อตระกูลว่านก็แล้วกัน" ซืออิ่งเยาะเย้ย
คิดจะส่งข้าไปให้เจี้ยนป๋ออย่างนั้นหรือ สารเลว! ข้าไม่อยากเป็นอนุของตาแก่ตัณหากลับนั่น ใครก็ได้ช่วยที…ได้โปรด
“เกี้ยวมารอหน้าเรือนแล้ว รีบประคองนางไปขึ้นเกี้ยว”
เหมยหลินออกคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องไปก่อน ทางซืออิ่งและเมิ่งฉีก็ช่วยกันประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงเข้ามาในเกี้ยว จากนั้นพลหามก็พาเกี้ยวเคลื่อนตัวออกจากจวนโดยมีเมิ่งฉีเป็นผู้นำขบวนเจ้าสาวไปส่งที่จวนของเจี้ยนป๋อ แต่ระหว่างทางร่างกายของถิงถิงก็ค่อยๆ เย็นเฉียบลงทุกขณะ เสียงลมหายใจแผ่วเบาลงจนเริ่มติดขัด
พวกนั้นเอาอะไรให้ข้ากิน ง่วงเหลือเกิน ขยับตัวก็ไม่ได้ เหตุใดข้ารู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว
จากที่เคยมองเห็นรางๆ บัดนี้เห็นเพียงความมืดทั่วสารทิศประหนึ่งว่าเป็นยามราตรี รู้สึกราวกับว่าตนเองติดอยู่ในห้องสีดำที่ไร้ทางออก ฉับพลันหัวใจก็เจ็บปวดเหมือนมีเข็มนับสิบทิ่มแทง
นี่ข้ากำลังจะตายอย่างนั้นหรือ ตายไปก็ดี ดีกว่าตกไปเป็นอนุของตาแก่นั่น…
ช่างโชคร้ายเหลือเกิน คนที่ทำร้ายข้าข้าก็คงไม่มีโอกาสรอดกลับไปแก้แค้น หากชาติหน้ามีจริงข้าขอเกิดเป็นลูกของท่านแม่แต่ไม่ขอเกิดมามีพ่อแบบนี้แล้ว หากท่านพ่อไม่ยินดีมีหรือพวกนางสองแม่ลูกจะกล้า
ทะ…ท่านแม่ ข้าอยากเจอท่านแม่เหลือเกิน
ถิงถิงรำพันในใจก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ หยาดน้ำตาไหลรินรดชุดผ้าไหมสีแดง หูทั้งสองไม่รับรู้สิ่งใดอีก และแล้วลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็มาเยือน ทุกสรรพสิ่งล้วนจมดิ่งในความเงียบงัน…
ถิงถิง…ถิงถิง
“ตื่นรึยังนะ”
เสียงนี้ช่างคุ้นเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าข้าตายไปแล้วหรือ เช่นนั้นตอนนี้วิญญาณของข้าก็น่าจะอยู่ในปรโลกแล้วน่ะสิ เหตุใดเสียงของอาเจ็ดอาแปด[1]จึงได้หวานล้ำปานนี้เล่า
ในมโนนึกคิดของถิงถิงจดจำได้ถึงความทรมานก่อนสิ้นใจ นางพยายามขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งแต่ก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าปวดศีรษะคล้ายคนเป็นไข้ ทว่าตัวกลับอุ่นเหมือนมีผ้าห่มหนานุ่มคลุมอยู่ ฉับพลันฝ่ามือที่คุ้นเคยก็ยื่นออกมาแตะที่หน้าผากแผ่วเบาพร้อมกับเอ่ยวาจาอ่อนโยนประหนึ่งธารน้ำไหล
“เจ้าอิงเถา[2]น้อย ตื่นมากินยาได้แล้ว”
เจ้าอิงเถาน้อยอย่างนั้นหรือ ตอนเด็กข้าชอบใส่อาภรณ์สีแดง มีเพียงคนเดียวที่เรียกข้าเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นท่านแม่!
เช่นนั้นหลังจากสิ้นใจคนที่มารับดวงวิญญาณของข้าก็คือท่านแม่ ถิงถิงร่ำไห้ทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท ได้เจอท่านแม่อีกครั้งในโลกหลังความตายนั้นเป็นเรื่องประเสริฐหาใดเทียบเทียม นางอยากลืมตาขึ้นมามองหน้ามารดาอีกครั้งหนึ่ง หากแต่ไม่ว่าจะพยายามฝืนเปลือกตาเพียงใดก็ยังไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้อยู่ดี
“ดูสิ ไม่สบายจนนอนร้องไห้อีกแล้ว"
ไม่ใช่เจ้าค่ะ เจ็บที่กายข้าอดทนได้ดีมาตลอด ที่ร้องไห้เพราะข้าดีใจที่ได้ยินเสียงท่านแม่อีกครั้งต่างหาก
“เอาล่ะ เดี๋ยวแม่จะป้อนยาเจ้าก็ตื่นได้แล้ว”
สิ้นเสียงบอกให้ตื่นได้แล้ว เปลือกตากลมโตก็ค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ ภาพแรกที่มองเห็นคือรอยยิ้มหวานล้ำ ท่านแม่งดงามเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยามลมพัดปอยผมดำขลับราวสีน้ำหมึกปลิดปลิวบางเบา หยู่ถิงสวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนปักเส้นด้ายสีเงินลวดลายดอกท้อ กลิ่นกายหอมๆ ของท่านแม่ถิงถิงก็จดจำได้เป็นอย่างดี แต่ทำไมถึงไม่ได้กลิ่นที่คุ้นเคยนั้นเลยเล่า
“เมื่อวานแอบเล่นน้ำฝนกับลู่ชิงจนเป็นไข้หวัด อ้าปากเร็วเข้า เดี๋ยวแม่ป้อนยาให้แล้วเจ้าก็จะได้หายไวๆ”
ที่แท้ก็เป็นไข้หวัดก็เลยไม่ได้กลิ่น อา...วิญญาณก็เป็นไข้หวัดได้ด้วยหรือ
“เพราะไม่อยากกินยาก็เลยแกล้งหลับอีกแล้วสินะ โธ่เอ้ยเด็กโง่ ยานี้ไม่ขมเลยสักนิด เดี๋ยวกินยาหมดถ้วยแล้วแม่ก็จะป้อนบ๊วยหวานตามไป เจ้าว่าดีหรือไม่”
หยู่ถิงพูดโน้มน้าวบุตรสาวพลางใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกแก้มกลมยุ้ยออกเบาๆ ถิงถิงก็ผงกศีรษะตอบรับช้าๆ ในตอนที่ยังเป็นเด็กหลังจากที่ท่านแม่ป้อนยาแล้วก็มักจะป้อนบ๊วยหวานตามให้ทุกครั้ง นางจำได้ว่าเป็นเช่นนี้มาตลอดจึงอ้าปากรับยาที่หยู่ถิงตักป้อนจนหมดถ้วย หลังจากนั้นก็ได้กินบ๊วยดองน้ำผึ้งหวานๆ ตามไปอีกหนึ่งลูก
ณ ตรอกฉงกุ่ยสถานที่ดวงตะวันไม่เคยส่องถึง ต่างทราบกันดีว่าที่แห่งนี้มีขอทานและคนจรจัดอาศัยอยู่มากที่สุด ท่ามกลางความสลัวรางมองเห็นเงาร่างผอมโซหลายชีวิต ผู้คนทรมานจากความหนาวเหน็บไร้ผ้าห่ม บ้างเจ็บไข้ บ้างนอนขดตัวอยู่ข้างพื้นถนนเย็นเฉียบ ส่งเสียงไอกระเสาะกระแสะให้ได้ยินเป็นระยะเป็นเวลาห้าเดือนเต็มที่เจียเฉิงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดรู้จักเขา เขาก็ไม่ปริปากพูดคุยกับใครสักคำ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในมุมมืดมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง รอให้แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า เพราะความไม่สุงสิงกับใครจนบางคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบ้หูหนวก ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นรอเพียงแค่คนใจดีเอามาบริจาคกินไปพอประทังชีวิต อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง สำหรับเจียเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องปากท้องแล้ว อยู่ก็ได้ตายไปก็ไม่เป็นไร“มีคนเอาอาหารมาแจกแล้ว มีคนเอาอาหารมาแจก รีบไปรับเร็วเข้า!”ขอทานน้อยตะโกนดังไปทั่วตรอก โดยปกติเจียเฉิงไม่ได้ออกไปรับอาหารเอง เพราะได้เจ้าขอทานน้อยผู้นั้นที่เป็นคนเอามาโยนให้ถึงที่ เนื่องด้วยทุกคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบหูหนวก จึงแสดงน้ำใจรับอาหารมาเผื่อแผ่จากตรงที่เจียเฉิงนั่งอยู่สามารถม
ห้าเดือนต่อมาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าในระยะเวลาเพียงแค่ห้าเดือนเจี้ยนกั๋วก็เบื่อซืออิ่งเสียแล้ว พอสิ้นวาสนาแม้แต่เสือก็ยังถูกสุนัขรังแก แรกๆ ในตอนที่ซืออิ่งแต่งเข้าจวนได้รับการปกป้องอยู่บ้าง แต่บัดนี้เจี้ยนกั๋วพาสตรีใหม่เข้าจวนเพิ่มอีกหนึ่งคน ความโปรดปรานที่มีต่อซืออิ่งจึงลดน้อยถอยลง จากที่เคยดีด้วยอย่างถึงที่สุดก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือยามนี้เจี้ยนกั๋วปล่อยปละละเลยไม่ปกป้อง เนื่องด้วยความหัวแข็งไม่ยอมคนจึงทำให้นางใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก บางวันถูกอนุของเจี้ยนกั๋วกลั่นแกล้งให้เจ็บตัว บางวันก็ถูกหาเรื่องใส่ความยัดเยียดความผิดให้ มิหนำซ้ำยังถูกกรอกยาทำให้แท้งลูกไปแล้วครั้งหนึ่ง หมอบอกว่าภายในเสียหายจนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก เพียงแค่คิดว่าจะต้องอยู่ในจวนที่มีสภาพไม่ต่างจากคุกไปตลอดชีวิต ซืออิ่งก็ร่ำร้องอยากตายวันละหลายร้อยรอบหดหู่ สิ้นหวัง ทุกข์ระทมทรมาน นั่นคือทุกความรู้สึกที่ซืออิ่งกำลังเผชิญอยู่ฝ่ายเจียเฉิงที่ได้สัมปทานรังนกมาครอบครองแต่กลับมารู้ภายหลังว่าตนได้ครอบครองแค่ในนาม เพราะเจี้ยนกั๋วตลบหลังโกงทุกอย่างไปหมด อย่างที่ถิงถิงเคยบอกไว้ เจี้ยนกั๋วเป็นพวกเจ้าเล่ห์มากแผนการ
คุยกลับลู่ชิงเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้อง หานอี้ควนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ถิงถิงนึกว่าเขานอนต่ออย่างเช่นนางบอก จึงเดินเข้าไปกระชับผ้าห่มให้แนบแน่นขึ้น แล้วหมุนตัวคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าคันฉ่องมองเงาสะท้อนของตนเองแย้มยิ้มบางๆวันนี้เป็นวันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่ใหม่ นอกหน้าต่างท้องฟ้าสว่างสดใสไร้เมฆบดบัง เพียงครู่เดียวแสงแดดอ่อนๆ ก็ชโลมไล้พื้นดิน ถิงถิงยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างนิ่งงัน เสียงขยับตัวเบาๆ ของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงทำให้ต้องละสายตาจากทิวทัศน์งดงาม มองกลับมาเห็นหานอี้ควนนั่งหน้าตึงอยู่“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”เขาลุกเดินไปแต่งกายให้เรียบร้อย นางจึงรีบเข้ามาช่วยปรนนิบัติตามหน้าที่ภรรยาพึงกระทำ เช้านี้ไม่รู้ว่าหานอี้ควนจะออกไปที่ใดหรือไม่ แต่ดูจากลักษณะอาภรณ์ที่เขาหยิบมาสวมใส่อย่างไม่เป็นทางการก็น่าจะอยู่ติดจวนไม่ออกไปไหน“ตกลงเลือกเรือนให้ข้าได้หรือยังเจ้าคะ”“ถ้าข้าไม่ทำอย่างที่เจ้าเสนอมาล่ะ”“ข้าคิดว่าความต้องการของท่านพี่คือต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือเจ้าคะ”“ความต้องการของเจ้าก็ต่างคนต่างอยู่อย่างนั้นหรือ”“ได้ทั้งนั้น”ค
“ถิงถิง”“เจ้าคะ”“แต่งงานกันแล้วก็ทำหน้าที่ภรรยา เจ้าจะทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร” น้ำเสียงของเขาคล้ายว่ากำลังขุ่นเคืองอยู่ นางเอียงคอมองใบหน้าครึ่งเสี้ยวนั้น นิ่งและเยือกเย็นจนต้องหันกลับมาดังเดิม มองนานเกินไปคงไม่ดี เพราะเดี๋ยวจะถูกความหล่อเหลาล่อลวงเอาได้ หากคืนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็อย่ามาโทษที่ถิงถิงไม่ยับยั้งชั่งใจเป็นอันขาด“หน้าที่ภรรยาหรือเจ้าค่ะ ใช่ๆ ประมุขน้อยพูดถูก อย่าตำหนิที่ข้าไม่รู้ความเอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุงตัว”“ท่านพี่”“อะ…อะไรนะ”“เรียกท่านพี่”ตัวนางออกจะแข็งกระด้างเช่นนี้ จะให้พูดจาอ่อนหวานเรียกขานเขาท่านพี่ก็ยังรู้สึกอายๆ จึงพูดย้ำประโยคเดิมให้ฟังอีกรอบ“เอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุง เรื่องหน้าที่ภรรยาข้ารู้ตัวดีว่าต้องทำเช่นไร”พูดจบก็รีบเปลี่ยนท่านอนพลิกตัวหันหลังให้ ปิดเปลือกตาลงฝืนข่มใจให้หลับ“ไม่ เจ้าไม่รู้ตัว นี่แหละเรียกว่าไม่รู้ตัว"“แล้วเหตุใดประมุขน้อยต้องมาหาเรื่องตำหนิ ทั้งที่ข้าก็ทำตามที่ท่านเคยพูดไว้ทุกอย่าง ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่”หานอี้ควนแทบอยากทุบกำปั้นระบายอารมณ์กับกำแพง นางพูดถูกหมด เพราะทำตามคำพูดของเขาทุกอย่างก็เลยเว้นระ
เพราะตั้งใจหลีกเลี่ยงชุดเจ้าสาวสีแดงซึ่งเป็นการตีตัวเสมอภรรยาเอก ข้อนี้ซืออิ่งรับรู้และเข้าใจดีว่านั่นอาจแสดงถึงการไม่ให้เกียรติผู้ที่อยู่ก่อน ด้วยเหตุนี้เหมยหลินจึงให้นางสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูอ่อน หากวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเข้าไปอนาคตจะต้องอยู่ในจวนเจี้ยนกั๋วอย่างยากลำบาก บรรดาอนุทั้งหลายต้องเขม่นไม่ชอบขี้หน้านางตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้า“จับนางเปลี่ยนชุด”“อย่านะ! ไม่! ข้าไม่ต้องการ อย่า! พวกเจ้าเป็นใครเหตุใดทำกับข้าเช่นนี้ คอยดูข้าจะฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อของข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้าทุกคน”กรี้ดดดดดดดปลายยามซวีจบจากพิธีการที่ยุ่งยากมาทั้งวัน ถิงถิงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมในห้องหอ นางกำลังรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้ตามธรรมเนียม สักพักเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกันนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวาบเพราะผ้าคลุมถูกเปิดออก“เจ้าคงหิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน” เขาถามพลางอมยิ้มน้อยๆ“ข้าซ่อนขนมโก๋ไว้ในแขนเสื้อแอบกินไปบ้างแล้ว ประมุขน้อยไม่ต้องห่วง”“เป็นเช่นนั้นหรือ”“เจ้าค่ะ ห่วงแต่ประมุขน้อยคงดื่มมามาก เอ่อ…หน้าท่านแดง”เขาดื่มมามากจริง พวกที่ยกจอกสุราให้ก็ยุให้ดื่มไม่หยุด แล้วตอนนี้หานอ
ท่านตาชอบเล่นใหญ่อยู่เสมอ ถิงถิงถอนหายใจเหนื่อยๆ เห็นว่าเจ้านายไม่ถามอะไรต่อลู่ชิงจึงพูดอีก“คนที่เร่งรัดหาใช่ใต้เท้าหานไม่ เป็นประมุขน้อยต่างหาก”ถิงถิงชะงักค้างครู่หนึ่ง หัวคิ้วจดกันแทบเป็นเส้นตรง“ประมุขน้อยคงต้องการเป็นผู้สืบทอดหอคุณธรรมไวๆ”“ไม่คิดว่าประมุขน้อยอาจจะชอบคุณหนูก็เลยเร่งรัดงานแต่งบ้างหรือเจ้าคะ”เขาเคยบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจำเป็นต้องแต่งเพื่อเข้ารับเป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ถิงถิงก็เลยเตือนใจตนเองอยู่เสมอไม่กล้าคิดไกลไปถึงขั้นนั้น ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยบอกความในใจให้ได้ยิน แล้วอย่างนี้จะให้นางคิดทึกทักเอาเองคนเดียวได้อย่างไรว่ามีใจให้ ดีไม่ดีอาจถูกมองเป็นตัวตลกและถูกหัวเราะเอา“ไม่คิด”“วันนั้นที่คุณหนูถูกนายท่านเจียเฉิงลักพาตัวไปประมุขน้อยเป็นห่วงคุณหนูมากเลยนะเจ้าคะ ดูก็รู้ว่าประมุขน้อยชอบคุณหนู ใครๆ ก็รู้มีแต่คุณหนูที่ไม่รู้”“พอแล้วเจ้าเลิกเหลวไหล”ลู่ชิงหุบปากลงฉับแล้วอมลมไว้จนแก้มป่อง นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกันต้องรายงาน“ข้ายังมีอีกเรื่องเป็นเรื่องของตระกูลว่าน มีข่าวแว่วมาว่าคุณหนูซืออิ่งจะถูกส่งตัวไปจวนเกี้ยนกั๋วในอีกสามวัน ดังนั้นคุณหน







