تسجيل الدخولไอลวิล อิสรีพัฒน์ ยืนจิบกาแฟอยู่บนระเบียงกว้างชั้นสองทางด้านทิศตะวันออก พระอาทิตย์ยามหกโมงเช้าที่ไหนก็ไม่สวยเท่าที่เกาะแห่งนี้ ท้องฟ้าด้านตะวันออกเป็นสีทองเรื่อและกำลังเพิ่มความสว่างให้แก่โลกในทุกขณะที่เลื่อนตัวขึ้นสูง ลมทะเลพัดโชยเอื่อยเย็นสบาย ร่างสูงผึ่งผายสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน เพิ่งอาบน้ำสระผมเสร็จใหม่ คนรับใช้ผู้ชายนำกาแฟร้อนมาวางคอยตรงนี้ตามคำสั่งทุกเช้า เขาเลือกใช้ผู้ชาย เพราะไม่ชอบเห็นคนใช้ผู้หญิงมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ รู้สึกรำคาญสายตา
เรือนใหญ่ปลูกอยู่บนเนินทำให้เห็นยอดของต้นมะพร้าวอยู่ต่ำลงไปตามลาดไหล่เนินไปจนถึงชายหาด เม็ดทรายสีน้ำตาลเล็กละเอียดยามต้องแสงพระอาทิตย์เกิดแสงสะท้อนเต้นระยิบระยับเป็นประกายสีทองงดงาม ในอดีตที่ผ่านมา เขามาที่นี่ไม่บ่อยนัก ประมาณสามครั้งเท่าจำนวนที่เขามาเมืองไทย ส่วนใหญ่บิดาจะเป็นคนไปพักร้อนที่อังกฤษจึงได้ใช้เวลาด้วยกัน แต่ช่วงหลังนี้ ท่านมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะท่านอายุหกสิบปีแล้วในเวลานี้
ไอลวิลนึกถึงมารดา ไอลีน รอนสัน ที่เพิ่งจากเขาไปด้วยโรคหัวใจ แม่ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ไอลวิลลืมตามาดูโลก แม่พบกับพ่อของเขาที่อังกฤษตอนที่พ่อไปดูตลาดด้านธุรกิจ วิพัฒน์ อิสรีพัฒน์ ลูกชายมหาเศรษฐี เป็นพ่อม่ายภรรยาเสียจากอุบัติเหตุ ทิ้งลูกสาวไว้คนหนึ่ง
ต่อมาแม่ก็คบหากับพ่อจนกระทั่งท้องไอลวิล พ่อพาแม่กลับมาเมืองไทย แต่ครอบครัวใหญ่ของพ่อมีทีท่าห่างเหิน ไม่อยากต้อนรับแม่ อีกทั้งครอบครัวของทางภรรยาเก่าก็ไม่พอใจ มีเรื่องสมบัติเงินทองที่เกี่ยวข้องกันมากมายและซับซ้อนระหว่างพวกเขาเหล่านั้น แม่ซึ่งเป็นชาวตะวันตก ไม่ต้องการสร้างปัญหาและไม่ต้องการอยู่อย่างอึดอัดใจ แม่จึงตัดสินใจอย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวบินกลับอังกฤษทันที
พ่อพยายามง้อแต่แม่ใจเด็ด และมองเห็นปัญหาของอนาคตที่จะเกิดกับลูก ท่านไม่ต้องการให้เขาเกิดมาท่ามกลางความอิจฉาริษยาและความชิงชัง โลกตะวันตกเป็นอิสระจากเรื่องของครอบครัวใหญ่ ต่างไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันเมื่อเติบโตบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่สำหรับสังคมไทยดูเหมือนจะแตกต่าง ยิ่งพวกตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งร่ำรวยด้วยแล้ว จะตัดสินใจอะไรสักอย่างก็ต้องรอฟังความเห็นของคนทั้งครอบครัวด้วย แม่ของเขาไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนั้น
แม่กับพ่อจึงตกลงคบหากันแบบเพื่อน เขาไม่ได้มีปัญหาด้านจิตใจอะไรอย่างที่เด็กส่วนใหญ่เป็น เพราะแม่เป็นแม่ที่สมบูรณ์เพอร์เฟ็กต์ที่สุด เลี้ยงเขาด้วยความรักทั้งหมดที่ท่านจะให้ได้ รวมทั้งเลี้ยงเขาด้วยเหตุผลตั้งแต่เขาโตพอที่จะรับฟังเรื่องราวของผู้ใหญ่ได้ เขาคงได้รับยีนเข้มแข็งจากท่านมามาก ไอลวิลจึงเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งและไม่หวั่นไหวหรืออ่อนไหวกับอะไรง่ายๆ
แม่ตั้งชื่อให้เขาว่า...ไอลวิล เขียนภาษาอังกฤษว่า ILWILL เป็นชื่อที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก แม่บอกว่ามันมาจาก I Love Will อีกนัยหนึ่ง ไอล นั้นเอามาจากพยางค์แรกของแม่ ส่วน วิล (Will) เป็นชื่อที่แม่เรียกพ่อ สรุปว่าชื่อของเขาเป็นการผสมระหว่างชื่อแม่กับพ่อนั่นเอง มีคนถามจนเขาเบื่อที่จะตอบ แม่กับพ่อเรียกชื่อสั้นของเขาคือ วิล (Will) แม่บอกว่าแม่ชอบความหมายของคำๆ นี้ ที่แปลว่า ความมุ่งมั่น ตั้งใจ ความแน่วแน่และเต็มไปด้วยเจตจำนงค์มั่นคง เพราะเขาเกิดจากความรักความเต็มใจและความตั้งใจของพ่อและแม่
แม้ว่าแม่กับพ่อจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่แม่ไม่เคยกีดกันบิดากับเขา แถมยังส่งเสริมให้เขาเรียนภาษาไทยด้วย แม่ว่าเผื่อจะมีประโยชน์ในอนาคตข้างหน้า พ่อดีใจที่แม่เป็นคนมีเหตุผล เมื่อถึงวันเกิดของไอลวิล พ่อจะบินไปหาเขาที่อังกฤษทุกปี
ตอนที่ไอลวิลอายุได้สามปี พ่อก็แต่งงานใหม่และหนึ่งปีต่อมาก็มีลูกชายอีกคนคือ วายุ แต่พ่อกับเขาก็ยังติดต่อกันสม่ำเสมอ ท่านชวนให้เขามาอยู่ด้วย ชวนแม่มาอยู่ที่เมืองไทย จะหาบ้านให้อยู่ต่างหาก แต่แม่ก็ไม่มาเพราะท่านรักการใช้ชีวิตอิสระที่อังกฤษ ไอลวิลเติบโตและเรียนจนจบวิศวกรในเวลานี้ สรุปว่าพ่อมีเมีย 3 คนและมีลูกต่างแม่ 3 คน คือ ไอสรีย์ ไอลวิลและวายุ
ปัญหาคือ บิดากำลังป่วยและต้องการให้เขามาอยู่เมืองไทยอย่างถาวร เพื่อช่วยดูแลกิจการบนเกาะนางรังแห่งนี้แทนท่าน ไอสรีย์นั้นรับผิดชอบธุรกิจที่ออฟฟิศในกรุงเทพฯ ส่วนวายุก็เพิ่งจบไฮสกูลและกำลังจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ เขาเป็นลูกคนกลาง เขาไม่มีข้ออ้างเรื่องมารดาอีก เพราะเวลานี้ไอลวิลเหลือตัวคนเดียวที่อังกฤษ... เขารักและเคารพบิดาเสมอ ท่านไม่สบายเช่นนี้ก็มีความเป็นห่วงตามประสาลูกที่ไม่ได้เลวเกวอะไร การที่เพิ่งสูญเสียมารดาไปทำให้ไอลวิลไม่ต้องการสูญเสียบิดาไปอีกคน... แม้รู้ว่าไม่อาจห้ามกฎธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตายได้ แต่ก็ยังอยากให้ท่านอยู่กับเขาไปอีกนานๆ
"เฮ้ย...ไอ้โก้...เอ็งไปกระโดดตรงโขดหินโน้นสิโว้ย...ไอ้ก้อง...เร็วๆ เข้า ปัดโธ่...ชักช้าจริง"
เสียงแหลมใสตะโกนของเด็กดังจากชายหาดด้านตะวันตกที่เป็นด้านท้ายเกาะทำให้ไอลวิลตื่นจากความคิด เขายกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แล้วเดินตามระเบียงอ้อมไปทางทิศตะวันตก ต่ำลงไปตรงชายทะเลไกลพอสมควร แต่ลมทะเลพัดเอาเสียงมาได้ไกลจนมาถึงหูของเขา ภาพร่างเล็กๆ หลายร่างกำลังวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน กระโดดไปบนโขดหินระเกะระกะแถวนั้น เสียงสั่งแจ๋วๆ ดังกว่าเพื่อน ตรงนั้นมีโขดหินสูงเกือบสามเมตร พวกเด็กๆ ป่ายปีนขึ้นไปแล้วเสียงกระโดดตูมๆ ก็ดังให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงหัวเราะร่าเริง
ไอลวิลขมวดคิ้ว เด็กกลุ่มนี้อีกแล้ว ลูกหลานของพวกคนงาน ชอบซุกซนและเล่นเสี่ยงแบบไม่กลัวเจ็บตัวกันเลย ที่เกาะนี้บริษัทอิสรีพัฒน์ได้จัดตั้งสถานพยาบาลหรืออนามัยเล็กๆ จ้างพยาบาลมาประจำสองคน ซึ่งถ้าเจ็บป่วยพื้นฐานก็รักษากันได้ แต่ถ้าหากเป็นหนักก็ต้องส่งขึ้นแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นอำเภอชายทะเลแห่งหนึ่งของจังหวัดนี้
เด็กพวกนี้ไม่เรียนหนังสือกันหรือยังไง แล้วตื่นกันมาแต่เช้าเพื่อมาเล่นซนเนี่ยนะ...
"มะพร้าว...กระโดดเลย อย่ากลัว...ไม่มีอะไรหรอกเชื่อพี่...พี่ตะวันรับรองว่าปลอดภัย"
เสียงแจ๋วๆ ตะโกนเชียร์ ไอลวินรีบไปคว้ากล้องส่องทางไกลมาส่อง เห็นเด็กสิบกว่าคนอยู่แถวนั้น กระโดดสูงจากโขดหินลงไปในทะเล บนโขดหินสูงสุดมีร่างเด็กหญิงตัวเล็กบางยืนลังเลอยู่
"โดดเลย เร็วเข้า...พี่รอรับอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว...เอ้า พวกเรา เชียร์น้องมะพร้าวหน่อยเร้ว! มะพร้าวสู้ๆ มะพร้าวสู้ตาย มะพร้าวไว้ลาย สู้ตาย สู้ๆ"
เสียงใสตะโกนแจ้วๆ นำร่องคนอื่นๆ ซึ่งก็ตะโกนร้องตามกันเสียงดัง ไอลวิลส่องกล้องมองหาหัวโจก แต่ไม่เห็นตัว คงจะอยู่ในน้ำที่มีโขดหินใหญ่บังอยู่นั่นเอง
ร่างสูงเดินกลับเข้าไปในห้องนอน เปลี่ยนจากเสื้อคลุมเป็นเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ ก้าวลิ่วลงไปจากตัวเรือน
"เฮ้ย...ร้องไห้ทำไมกัน ไม่เอา... ห้ามร้อง ตะวันไม่ใช่คนอ่อนแอและร้องไห้ง่ายสักหน่อย...หยุดร้องเดี๋ยวนี้เลย"เขาทั้งปลอบและทั้งสั่ง...แต่ร่างบางก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ยอมหยุด ชายหนุ่มชักเริ่มใจไม่ดี ไม่อยากเห็นน้ำตาของยัยตัวดี เขาล้มตัวลงไปนอน ดึงร่างบางให้นอนซบหน้าอก ลูบแผ่นหลังบางเบาๆ"ไม่เอาน่า...หยุดร้องก่อน...คืนนี้จะเลี้ยงฉลองความสำเร็จของตะวัน แล้วมาร้องไห้แบบนี้ ตาบวม หมดสวยกันพอดี"เขาแกล้งแหย่"ไม่อยากสวย! ฮือๆ "คนไม่อยากสวยส่งเสียงโต้ตอบ กอดเอวเขาไว้แน่นแล้วก็ร้องไห้จนเสื้อเขาเปียก"เอาล่ะ...หยุดร้องก่อน... นะ""ตะวันมะโห! ฮือๆ และก็น้อยใจด้วย! นายหัวจะใจร้ายกับตะวันไปถึงไหน"เสียงสะอื้นเอ่ยตัดพ้อต่อว่า"มะโห แต่ไม่ร้องได้ไหม ฉันไม่ชอบเห็นน้ำตาของตะวัน"เสียงห้าวเอ่ยแล้ว ผลักร่างบางให้นอนหงายไปกับที่นอน จากนั้นก็ค่อยใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน พิณตะวันร้องไห้จนพอใจก็หยุด... นอนซุกหน้ากับอกกว้าง รู้สึกอบอุ่นในหัวใจที่ได้อยู่กับเขาอีกครั้ง..."หายมะโหหรือยังหือ..." เขาแกล้งถาม พลางก้มไปหอมแก้มที่เปียกด้วยน้ำตา พิณตะวันค้อนคว่ำให้เขา"ตบหัวแล้วลูบหลังเหรอ...จะมะโหต่อถ้
****พิณตะวันจัดการเก็บข้าวของที่คอนโด คุยกับวายุแล้วว่าจะย้ายออก ของใช้ส่วนตัวก็ไม่มีอะไรมาก วายุจึงให้ขนไปไว้ที่บ้านอิสรีพัฒน์ แล้วก็คืนคอนโดไปไอลวิลเดินทางมาถึงบ้านที่กรุงเทพฯ ในเวลาบ่ายคล้อย ร่างเพรียวระหงนั่งรออยู่แล้วที่สวนหย่อมหลังบ้าน พอเฮลิคอปเตอร์ลงจอด เจ้าหล่อนก็ลุกขึ้นยืนทำหน้าตื่นเต้น เมื่อไอลวิลลงจากเครื่อง ร่างเพรียวก็วิ่งเข้าไปหาทันทีจนเขาแทบจะเปิดอ้อมแขนกางรับไม่ทัน เจ้าตัวโผเข้ากอดอย่างเต็มที่และเต็มแรง โดยไม่กลัวว่าจะพากันล้ม เขาต้องตั้งหลักยืนให้มั่น"เบาๆ หน่อย จะพากันล้มกลิ้งเอา"เสียงห้าวเอ่ย รู้สึกขำที่เวลาผ่านไปสี่ปี คนในอ้อมแขนอายุย่างยี่สิบสองปีแล้ว แต่กับเขาก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง..."ดีใจที่สุด ตะวันรอนายหัวมาสองวันเต็มๆ ตะวันขนของจากคอนโดมาไว้ที่นี่หมดแล้ว ของไม่มีแยะหรอก แค่สองกระเป๋าเอง คุณท่านจัดห้องให้ตะวันห้องหนึ่ง อยู่ติดกะห้องของนายหัวด้วยล่ะ"เสียงแจ๋วเอ่ยรายงานยาวเหยียด...เงยหน้าขึ้นยิ้มกระจ่าง ใบหน้านวลปลั่งมีสีเรื่อด้วยเลือดฝาดแห่งวัยสาว ดวงตาคู่กลมโตเปล่งประกายวาวระยับเต็มไปด้วยความสุข"ตะวันช่วยแม่ครัวเตรียมอาหารสำหรับคืนน
เจ้าของวันเกิดกำลังยืนหลับตาอธิษฐานเสียงดัง"ขอให้นายหัวมีสุขภาพกายและใจแข็งแรง ขอให้นายหัวมีความสุขมากๆ ขอให้พระคุ้มครองให้นายหัวปลอดภัย ขอให้นายหัวจงเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป สาธุ๊..."เสียงแจ๋วเอ่ยขอพร"อ้าว แล้วกัน วันเกิดเรา ก็ขอให้ตัวเองสิ มาขอให้ฉันทำไม"เสียงห้าวเอ่ยทักท้วงอย่างรู้สึกขำเจ้าหล่อน"ก็นั่นแหละเป็นสิ่งที่ตะวันต้องการที่สุดสำหรับวันเกิด ถ้านายหัวมีความสุขและสุขภาพดี ตะวันก็มีความสุขยิ่งกว่าไง"คนอธิษฐานเอ่ยโต้ตอบบอกเหตุผล ไอลวิลจึงพยักหน้ายอมๆ ให้ทำตามอำเภอใจ จากนั้นเจ้าตัวก็เป่าเทียนวันเกิดที่ปักอยู่เพียงเล่มเดียวตรงกลางเค้ก มือบางจัดการตัดเค้กแล้วใส่จานเดียวกับช้อนสองคัน นั่งกินด้วยกันที่โซฟา เปิดทีวีรายการการ์ตูนคลอเป็นแบ็กไปด้วยไอลวิลมองดูคนที่กินเค้กจนพุงกาง แถมเจ้าหล่อนยังคะยั้นคะยอบังคับเขา พอเขาหยุดตักกิน ก็ลงมือป้อนให้ถึงปาก ไอลวิลรู้ทันเจ้าตัวดีที่ทำท่ากินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด"ถ้าอิ่มแล้ว ก็เก็บไว้ในตู้เย็นดีไหม ไม่ต้องฝืนหรอกมั้ง" เขาเอ่ยอย่างรู้ทัน คนอิ่มทำหน้ายิ้มแหยให้"ก็ตะวันกลัวนายหัวเสียน้ำใจนี่นา"เจ้าตัวพูดเสียงอ่อย เพราะเมื่อครู่ก่อนได้ประกาศปาวๆ ว่าจ
พิณตะวันหันไปมองลริณา"เอาไงดีริณา...จะให้คุณวาไปส่งไหม คุณแม่ของริณาจะว่าหรือเปล่าที่มีหนุ่มไปส่งแบบนี้"พิณตะวันเอ่ยอย่างที่ไม่ได้คิดอะไร แต่ทำให้ลริณาหน้าแดง และวายุก็เลิกคิ้วสูงกับคำพูดของเจ้าหล่อน"เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่รู้จักพี่ตะวันนี่คะ"สาวน้อยเอ่ยตอบน้ำเสียงอ่อน วายุไม่เข้าใจว่าเด็กสองคนนี้มาคบหาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร คนหนึ่งห้าวสุดห้าว กล้าแกร่งก็ปานนั้น อีกคนก็หวานสุดหวานและเรียบร้อยสุดบรรยายแบบนี้"แต่พี่เพิ่งเคยเห็นท่านครั้งเดียวและคุยโทรศัพท์ด้วยหนหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง แต่ก็ลองไปดู ไปเลยๆ คุณวา"คนกลางตัดสินใจทันที คนขับรถก็ทำตามโดยมีคนที่นั่งเบาะหลังเป็นคนบอกทาง วายุเอาที่อยู่ใส่ใน GPS ให้ช่วยบอกทางให้ จากนั้นก็ขับรถไปยังบ้านของลริณาคฤหาสน์หลังใหญ่มีบริเวณกว้างขวาง สมกับเป็นครอบครัวที่ทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ จากประตูรั้วต้องขับรถเข้าไปอีกประมาณร้อยเมตรเลยทีเดียว"อยู่กันกี่คนนี่ริณา"พิณตะวันถามสาวน้อย แต่ไม่ได้ทำตาโต เพราะพิณตะวันเห็นบ้านอิสรีพัฒน์จนชินซึ่งก็ใหญ่โตพอกัน แต่ที่สำคัญพิณตะวันไม่ตาโตกับสมบัติของใคร บ้านของพิณตะวันที่เกาะคือสวรรค์ที่สุดแล้วสำหรับพิณ
"หือ..."ทำเอาคนฟังต้องนิ่งชะงักไม่แน่ใจว่าเจ้าหล่อนหมายถึงอะไร"อยากเห็นนาย ... ความจริงตะวันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับวันเกิดหรอกนะ นายหัวไม่ต้องเข้ามาวันเกิดก็ได้ เพราะมันตั้งสิ้นปีโน่นแน่ะ นายหัวยกยอดมาอาทิตย์หน้าก็ได้ ตะวันไม่ถือหรอก ฉลองวันเกิดล่วงหน้าไง"คนอยากเจอเอ่ยโน้มน้าว ไอลวิลยิ้มขำ"ก็ถ้าว่าง จะเข้าไป ช่วงนี้ต้องอยู่เกาะ ตอนนี้ไม่เหมือนตอนที่ตะวันอยู่ มันมีคนแปลกถิ่นและแปลกหน้าเข้ามา พวกต่างชาติ เพื่อนบ้านไทยนี่แหละ แอบเข้ามาป้วนเปี้ยน เราเลยต้องวางเวรยามที่เกาะรังนกทุกเกาะของเรา"เขาเอ่ยเล่าความเป็นไปให้เจ้าของเกาะตัวจริงฟังนิดหนึ่ง"จริงเหรอ...ตะวันอยากกลับไปช่วยนายเร็วๆ มาเรียนทำไมก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีประโยชน์เลย ถ้าตะวันอยู่ที่โน่นกับนายคงจะมีประโยชน์กว่านี้"เจ้าตัวดีได้โอกาสก็บ่นใส่ทันที"งานพวกดูแลเกาะ ให้พวกผู้ชายเขาทำ เราเรียนบัญชีก็ดีแล้ว ต่อไปจะได้ช่วยวายุที่สำนักงานใหญ่ นั่นก็เป็นงานสำคัญ""แต่ตะวันอยากช่วยนายมากกว่านะ...อะไรกัน ไหนว่าเรียนจบแล้วจะให้กลับไงเล่า"น้ำเสียงเริ่มขุ่นและงอน"ฉันแค่เกริ่นให้ฟัง จบแล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าตะวันอยากจะอยู่ไหนและทำอะไร คิดว่าอยากจ
การเรียนเป็นไปอย่างราบรื่นและเรียบร้อย พิณตะวันเป็นคนที่ถ้าหากตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้วก็จะมีความมุ่งมั่นพยายามและไม่ไขว้เขวกับสิ่งยั่วยุ สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อหลอกให้คนในวัยศึกษาเล่าเรียนเป๋มีมากมายในเมืองกรุง แต่พิณตะวันไม่เคยเป๋เหมือนเด็กในวัยเดียวกันอีกหลายคนผู้ที่ไม่มีจุดยืนและไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนในชีวิตนั้น สามารถตกเป็นเหยื่อของสังคมแห่งวัตถุนิยมได้ง่ายๆ ดังนั้นพิณตะวันจึงรู้สึกขอบคุณบิดามารดาและสิ่งแวดล้อมที่ทำให้พิณตะวันได้รู้จักโลกที่เป็นธรรมชาติของชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่โลกจอมปลอมของมหานครกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจว่าสวยงาม แต่เบื้องหลังเบื้องลึกนั้นกลับสกปรกโสมมสำหรับพิณตะวันแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบกรุงเทพฯ เป็นผู้หญิง เมืองฟ้าอมรแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนหญิงสาวที่ไม่ได้อาบน้ำ แต่พยายามห่อหุ้มร่างด้วยเสื้อผ้าสวยงามและฉีดพรมน้ำหอมเพื่อดับกลิ่นอย่างเต็มที่ แต่งหน้าแต่งตัวเริดหรูอลังการ ทำให้คนที่ไม่รู้เบื้องลึกหลงคิดว่าสวยงามและหอมหวนทวนลมเสียเหลือทน แต่ความจริง ถ้าเปลื้องผ้าออกจะรู้ว่าร่างนั้นเหม็นสางสกปรกและหมักหมมด้วยเชื้อโรคแค่ไหน... ดังนั้นคนอย่างพิณตะวันไม่ยอมหลงเ







