LOGIN“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่อยากรู้ว่าพี่จางจิ้ง พบเจอเหตุการณ์อะไรบ้างตอนที่ได้รับดาบเล่มนั้น และที่มาของมันคล้ายกับคันฉ่องทองแดงนี่ไหม”
“ดาบเล่มนี้ได้มาจากตอนก่อตั้งศาลเจ้า มีแม่ทัพท่านหนึ่งส่งมันมาให้บรรพบุรุษเราในเวลานั้น ความบังเอิญที่มีลวดลายเหมือนคันฉ่องทองแดง ส่วนที่มาว่า คนผู้นั้นได้มาอย่างไง ไม่มีใครรู้ ส่วนความแปลกประหลาดของผู้รับหน้าที่ แต่ล่ะคนเป็นอย่างไรพี่ไม่รู้ แต่สำหรับพี่มันทำให้พี่มีพละกำลังที่มหาศาล และมีสมาธิในการเข่นฆ่า เมื่อยามที่ใช้ดาบเล่มนี้”
“ถือว่ามีความพิเศษจริง ๆ เหมาะสมแล้วที่จะถ่ายทอดกับผู้ชาย คันฉ่องนี้ก็เหมาะสมแล้วที่อยู่กับผู้หญิง”
“ก็ไม่แน่หรอกนะ ถ้าน้องฟางเฟยฝึกดาบได้ดีขึ้น พี่จะให้ลองจับดาบเล่มนี้ พักผ่อนเถอะ ส่งคันฉ่องให้พี่ พี่จะเอาไปเก็บให้"
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้ข้าง ๆ นี่ก็ได้” ฟางเฟยเอาคันฉ่องวางลงข้างหมอน โดยไม่ได้หันไปมอง มีเสียงเหมือนอะไรกระทบกับโลหะ
หญิงสาวหันไปมองว่าคันฉ่องว่างทับอะไร ปิ่นปักผมลายเมฆามงคล
“ปิ่นปักผม ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้ ซินไม่เรียบร้อยเลย ทำไมไม่เก็บของให้เรียบร้อย”
เกาจางจิ้ง บ่นสาวใช้ เมื่อมองเห็นปิ่นปักผมวางอยู่ข้างหมอน
“ไม่ใช่ความผิดซินค่ะ ฉันน่าจะเอามาวางตรงนี้เอง พี่จางจิ้งอย่าโกรธเลยนะ เวลาพี่อ่อนโยนดูน่ารักกว่าเวลาโกรธมาก” ฟางเฟยยิ้มให้ชายหนุ่ม จนคิ้วที่ขมวดคล้ายออก กลายเป็นยิ้มหวานให้กับเธอ ก่อนที่เขาจะลุกออกจากห้องไป
ฟางเฟยหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาดู ปิ่นปักผมหยกสีขาวเนื้อใสเหมือนแก้ว หญิงสาวใช้ความคิด
“ปิ่นปักผมของ ซื่อเว่ยต้าตี้” ภาพใบหน้างดงามที่มีลอยยิ้มอ่อนหวาน เส้นผมยาวดำสลวย เกล้ามวยกลางศีรษะ ปักปิ่นอันนี้ ก่อนที่เขาจะถอดมันออกมาปักที่ผมเธอแทน
“นี่ไม่ใช่ฝันงั้นเหรอ ทำไมปิ่นของท่านเทพถึงอยู่ที่นี่”
นี่มันจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว ดาบของพี่จางจิ้ง ต้องมีอะไรพิเศษมากกว่าที่เขาพูดแน่นอน เพียงแต่เขายังบอกไม่หมดเท่านั้นเอง สักพักซินก็ยกข้าวต้มเข้ามาให้เธอ หญิงสาวกินข้าวเสร็จเตรียมจะนอนพักสักหน่อย แต่ตงเจ๋อก็หิ้วถุงกับแจกันดอกไม้เข้ามา
“คุณหนูครับ ผู้กำกับเจียอี เอาของมาฝาก จะให้เขาเข้ามาหรือไม่”
“เขาอยู่ข้างนอกเหรอ งั้นให้เขาเข้ามาก่อน ให้รอแบบนั้นดูเสียมารยาทแย่”
ฟางเฟยออกไปนั่งรอที่ห้องรับแขก ทั้งที่ยังรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง แต่ก็ฝืนออกไปรับแขก เพราะคงไม่ดีถ้าจะให้เขาเข้ามาในห้องนอน เจียอีเข้ามาพบเธอโดยมี ตงเจ๋อนำทางเข้ามา และยืนประกบด้านหลังฟางเฟยตลอดการสนทนา เจียอีมีสีหน้าเป็นห่วงเธออย่างเห็นได้ชัด
“เมื่อเช้าตงเจ๋อโทรหาผม บอกว่า 3 วันนี้คุณขอลาหยุด เพราะไม่สบายหนักมาก ผมเลยมาเยี่ยมคุณ หวังว่าอาการคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะ”
“ไม่มีอะไรน่ากังวลค่ะ ฉันคงหักโหมไปหน่อย พักอีกหน่อยก็คงหายแล้วค่ะ คงทันวันถ่ายทำแน่นอนค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมห่วงคุณมากกว่า เรื่องงานมันก็แค่ส่วนหนึ่ง”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ คุณเป็นผู้กำกับอย่างไงงานของคุณก็สำคัญ ขอบคุณมากนะคะสำหรับของฝาก ถ้าอยากพบพี่จางจิ้ง เขาน่าจะยังอยู่แถวนี้ ฉันเพิ่งกินยาไปคงต้องขอตัวพักก่อน ขอโทษด้วยนะคะที่ต้อนรับได้ไม่ดีพอ”
ฟางเฟยขอตัวกลับไปพักผ่อน ปล่อยให้ตงเจ๋อพาผู้กำกับเจียอี ไปพบกับพี่จ้างจิ้งแทน เจียอีได้แต่มองตามหลังหญิงสาวที่ลุกเดินจากไป
ฟางเฟยและทุกคนหันไปมองต้นเสียงที่มาถึง เทพธิดารูปโฉมงดงามนางหนึ่งพร้อมเทพธิดารับใช้ ใบหน้ายิ้มสดใสทอดสายตาไปที่ซือเว่ยต้าตี้ “นาน ๆ ทีท่านจะกลับมาแดนสวรรค์ ไม่คิดกลับตำหนักซื่อเว่ย ไปเข้าเฝ้าองค์ฮั่นยูหวี่ ก็จะกลับแดนห้วงเวหา ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมนะ”“ข้ากำลังพานางไปเข้าเฝ้า แล้วจะกลับห้วงเวหา ไม่คิดจะพักที่นี่ ข้าทิ้งงานมาหลายวัน ข้าไม่อย่าต้องโทษมีความผิดใด ๆ ทั้งสิ้น”“ช่างใจร้ายนัก ท่านไม่คิดถึงข้าบางเลยรึ แดนห้วงเวหาท่านก็ปิดผนึกเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็เข้าออกมิได้ ข้าไปหาหลายหน ทหารยามก็ปฏิเสธทุกครั้ง จะฝ่าผนึกพลังเวทย์ก็ทำมิได้ ท่านจะหลบหน้าข้าแบบนี้ตลอดไปเช่นนั้นรึ”เทพเจ้าหนุ่มทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด "ท่านเทพไท่ไป๋จิงซิง รบกวนจัดยาให้นางแล้วให้คนไปส่งให้ข้าด้วย” ซื่อเว่ยต้าตี้หยิบชิ้นเห็ดหลินจือ ส่งให้เทพผู้เฒ่าหนึ่งชิ้น เป็นสินน้ำใจ แล้วเขาก็รีบเดินมาประคองฟางเฟย เพื่อเดินออกจากห้องปรุงยา แต่ก็ถูกเทพธิดาบริวารของนางผู้มาเยือนขวางไว้“บังอาจ” ซื่อเว้ยต้าตี้ตวาดใส่พวกนาง “พวกเจ้าเป็นแค่สาวใช้ อย่ากำเริบกับข้า”พวกนางได้แต่ก้มศีรษะตัวสั้นด้วยความหวาดกลัว“ซื่อเว่ยต้าตี้ ท่
หมอลี่จู ส่งจูบให้จางจิ้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป จางจิ้งได้แต่ขำกับท่าทีของลี่จู เธอเป็นผู้หญิงน่ารักและใจดี เสียก็แต่เขาไม่ได้ชอบเธอ จางจิ้งเดินกลับไปยืนข้างเตียงของฟางเฟย แค่คืนกับวัน ตอนนี้สีหน้าของฟางเฟยดูดีขึ้นจริง ๆ หวังว่าเธอในอีกช่วงเวลาคงปลอดภัย จางจิ้งกุมมือของหญิงสาวเอาไว้ ส่งพลังไปถึงฟางเฟย รีบกลับมานะพี่รออยู่เสียงหัวเราะเฮฮาดังออกมาจากห้องพักฟื้นบนแดนสวรรค์ เกาฟางเฟยเล่าเรื่องมากมายบนโลกมนุษย์ ณ เวลาปัจจุบันให้กับ ซื่อเว่ยต้าตี้ กุ้ยอ้ายป๋อเฉิง และมู่ตัน ฟัง ชายหนุ่มทั้งสองเล่นหมากไปดื่มน้ำชาไป และกินขนมปังกรอบที่เธอเอาติดตัวมา ฟังเรื่องต่าง ๆ ที่เธอเล่า ประหนึ่งฟังนิทานหลอกเด็ก เจ้าเด็กน้อยก็พลอยหัวเราะชอบใจไปด้วย“นี่อะไรกัน พวกเจ้าเป็นถึงเทพระดับสูง มานั่งจับกลุ่มส่งเสียงดังอะไรกัน พวกเจ้านะ พวกเจ้า เห็นสถานพยาบาลของข้าเป็นบ้านของพวกเจ้ากันรึไง”เทพไท่ไป๋จิงซิง ยืนเท้าเอวบ่นพวกเขา ซื่อเว่ยต้าตี้ถึงกับหัวเราะกับท่าทางของท่านเทพอาวุธโส“เกาฟางเฟย ซื่อเว่ยต้าตี้ ข้ากับมู่ตันกลับก่อนดีกว่า ตาเฒ่าอารมณ์เสียแล้ว ข้าเพิ่งก่อเรื่องจากตำหนักสวรรค์มาหมาด ๆ จะมาโดนเรื่องนี้อีก ค
ซื่อเว่ยต้าตี้ทำตามที่เขาบอก แล้วมองใบหน้าของฟางเฟย นับเลขในใจ เป็นอย่างที่กุ้ยอ้ายป๋อเฉิงพูด เกาฟางเฟยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าแรกที่หญิงสาวเห็นคือซื่อเว้ยต้าตี้ ที่ยิ้มกว้างเทพเจ้าหนุ่มเข้ามากอดเธอเอาไว้ด้วยความดีใจ“โอะ…โอ๊ย ๆ…ซื่อเว่ยต้าตี้ ข้าเจ็บ ข้าจะตายเพราะท่านนี่แหละ เบา ๆ หน่อย”“ขอโทษ ข้าดีใจ เจ้าเจ็บหนักมาก รู้ไหมข้ากังวลมากแค่ไหน เมื่อเช้าท่านพ่อส่งเห็ดหลินจือมาให้ ข้าให้เจ้ากินไปหลายครั้งก็ยังนิ่งอยู่ รู้ไหมข้าเริ่มใจไม่ดีแล้วนะ”หญิงสาวจับมือของเขาไว้ พร้อมส่งยิ้มให้“ข้ารู้ ท่านจะไม่ทิ้งข้า ท่านซื่อเว่ยต้าตี้ ข้าดีใจที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นหน้าท่าน กระเป๋าข้าอยู่ไหน”"อยู่นี่เจ้าต้องการอะไรบอกข้า"“ลูกอม อ้อ…น้ำตาลก้อน”“ได้ ๆ ข้าแกะให้ นี่ข้าป้อน” แค่พอเข้าปาก ฝางเฟยก็รีบคายออกทันที“เอาสีอื่น ท่านซื่อเว่ยต้าตี้ นี่มันรสกาแฟ ข้าปากคอขมไปหมด ท่านยังจะให้กินรสกาแฟอีก เอาสีแดง”“ได้ ๆ ก็ข้าไม่รู้ เจ้าขนเอามาซะเยอะเลย รสชาติไหนเป็นรสอะไรข้าจะรู้ได้อย่างไร”กุ้ยอ้ายป๋อเฉิงและมู่ตันก้มดูชายหญิงตรงหน้า ด้วยความสนใจ ในกระเป๋าของฟางเฟยนอกจากคันฉ่องทองแดงกับมีดสั้น ก็มีขนมน่าตาแปล
องค์ไท่จื่อไฉเหลี่ยงหวง หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าปอด มู่ตันคือเทพธิดาที่เขาหลงรักและพอใจ ถึงขั้นจะแต่งนางขึ้นเป็นชายา โดยไม่สนคำทักท้วงถึงความเหมาะสมคู่ควรใด ๆ แต่ในเมื่อเวลานี้ กุ้ยอ้ายป๋อเฉิงได้มาแสดงตัวถึงความเป็นเจ้าของ มีหรือที่คนหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเขา จะดื้อดึงเอาของที่มีเจ้าของมาเป็นของตน ต่อให้ต้องการมากแค่ไหนก็ตาม“ในเมื่อเจ้าพูดถึงเพียงนี้ ข้าดูไม่มีความหมายในชีวิตเจ้าเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความดีที่เจ้าแสดงต่อข้า ทุกอย่างข้าคงคิดไปเอง”ไฉเหลี่ยงหวง คุกเข่าลงต่อหน้าองค์ฮั่นยุหวี่ ผู้เป็นบิดา“ท่านพ่อ ลูกโง่เขลา ดวงตามืดบอดในรัก ขอท่านได้โปรดยกเลิกการเสกสมรสของข้า ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”องค์ฮั่นยุหวี่เงยหน้ามองเพดาห้องโถง รู้สึกสงสารบุตรชาย แต่ในเมื่อความจริงประจักษ์ชัดถึงเพียงนี้ คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามหนทางของมัน“ได้ ประกาศออกไป ข้าขอยกเลิกงานสมรส องค์ไท่จื่อไฉเหลี่ยงหวงกับเทพธิดามู่ตันแดนบุปผา การหมั้นหมายระหว่างทั้งสองถือว่าขาดต่อกัน จะไม่มีการเสกสมรสระหว่างคนทั้งสองเกิดขึ้นอีกต่อไป”“ขอบพระทัยพระเจ้าข้า” บุคคลทั้งสามกล่าวขึ้นพร้อมกันกุ้ยอ้ายป๋อเฉิงอุ้มบุตรชายเดินจูงม
“อย่ามากพิธี กลับมาแล้วรึ นางหนูตระกูลเกาผู้นี้ใช้ได้ทีเดียว งานแรกก็เจอเจ้าเล่นงานซะปางตาย ถนอมนางหน่อย หน้าที่ของนางยังไม่จบ"“ขออภัย ในเวลานั้นข้าไม่สามารถควบคุมตนเองได้ จึงพลั้งมือทำร้ายนาง และข้าไม่รู้ว่านางเป็นเพียงมนุษย์ ปิ่นเมฆาสวรรค์ของท่านซื่อเว่ยต้าตี้ ดูจะปิดบังทุกสิ่งได้มิดชิด จนข้ายังคิดว่านางเป็นเทพบนชั้นฟ้า ด้วยพลังแบบนั้นนางน่าจะรับมือได้ ไม่คิดว่าผลจะเป็นเช่นนี้"“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว นางเองตอนนี้ก็ปลอดภัยดี อยู่ในความดูแลของไท่ไป๋จิงซิง เมื่อเช้าข้าได้ส่งเห็ดหลินจือไปให้ อีกไม่นานก็จะกลับมาปกติ ว่าแต่เจ้าเถอะมีอันใดจะบอกข้าอีกหรือไม่”“ข้ามีเรื่องต้องกราบทูล ขอท่านฮั่นยุหวี่ ทรงโปรดอภัย”เทพเจ้ากุ้ยอ้ายป๋อเฉิง วาดแขนทำพิธีคารวะชุดใหญ่ แล้วคุกเข่าลงคำนับ ท่านฮั่นยูหวี่มองดูท่าคารวะแล้วรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ด้านหลังกุ้ยอ้ายป๋อเฉิง มีเทพธิดามู่ตันว่าที่สะใภ้หลวงที่กำลังอุ้มทารกน่ารักในอ้อมอก “ข้า ใคร่ขอให้ท่านช่วยเหลือ ขอทรงโปรดยุติการเสกสมรสระหว่างมู่ตันกับไท่จื่อไฉเหลี่ยงหวง ด้วยนางเป็นภรรยาของข้า จึงมิอาจแต่งไปเป็นภรรยาผู้อื่นได้”องค์ฮั่นยุหวี
“ท่านคิดทำสิ่งใด”“พูดความจริง ต่อให้ต้องถูกลงโทษ ข้าก็ต้องยอมรับมัน”“ลงโทษ ความรักระหว่างเรามีโทษด้วยเหรอ ต่อให้วันนี้ท่านไม่มา ข้าก็คิดไว้แล้วว่าวันแต่งงาน ข้าจะบอกความจริงต่อตำหนักสวรรค์ ดินแดนสูงส่งเช่นนั้น คงไม่อยากรับผู้หญิงมีตำหนิไปเป็นชายาหรอก”“ทำเช่นนั้นมิได้ ทุกชีวิตที่นี่จะเดือดร้อน ถ้าความเข้าใจกลับแปลเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง”“แล้วแบบนี้จะทำอย่างไง”“เราจะไปกันสามคน เราจะไปกันเฉพาะครอบครัวของเรา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เราสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาเราต้องจบมันด้วยตนเอง”กุ้ยอ้ายป๋อเฉินอุ้มลูกชายของเขาในอ้อมอก แขนอีกข้างก็โอบเอวมู่ตันไว้ เสกตัวเองเป็นพญานกยักษ์ บินขึ้นสู่เวหา ทหารแดนบุปผาต่างตกตะลึง กับนกยักษ์ที่โฉบเอามู่ตันกับลูกชายของนางบินขึ้นสู่ท้องฟ้า กว่าจะตั้งสติได้ง้างคันธนูยิงออกไป พญานกยักษ์ก็พาสองแม่ลูกบินไปจนลับสายตาเสียแล้วเกาจางจิ้งยืนมองดูร่างของฟางเฟย ที่ถูกโยงไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ ภาพที่ฟางเฟยสำลักเอาลิ้มเลือดออกมา ยังคงติดตาเขาจนถึงตอนนี้ เสื้อผ้าของเขายังเต็มไปด้วยเลือดของหญิงสาว แม้เขาจะผ่านการเข่นฆ่ามานับไม่ถ้วน แต่กับผู้หญิงคนนี้มันต่างกันออกไป บุ







