Masukหลายอาทิตย์ต่อมา
เรื่องในคืนนั้นกลายเป็นความทรงจำหนึ่งที่ยังติดตาตรึงใจฉัน แต่หลังจากคืนนั้นฉันก็ไม่ไปร้านเหล้าอีกเลย ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับใครอีกเลย
เราไม่ได้แลกไลน์กันอย่างที่เขาบอก จึงไม่ได้ติดต่อกัน หลังจากคืนนั้นที่เรามีอะไรกันไปหลายรอบและเขาออกจากห้องฉันไปเกือบเช้า ไม่ได้นอนที่ห้องฉัน เพราะหลังจากเสร็จกิจที่ยาวนานเขาก็กลับไปเลย
และฉันก็ภาวนาตั้งแต่วันนั้นว่าอย่าให้เราได้เจอกันอีกไม่ว่าจะพื้นที่ไหนในมหาวิทยาลัยหรือบนโลกนี้ก็ตาม
“พวกแก คืนนี้อย่าไปช้านะ ถ้าสามทุ่มไม่มีคนนั่งเขายึดเก้าอี้ที่จอง” เสียงของคะนิ้ง เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น
“เออ รู้แล้วน่า”
ตอนนี้ฉันเรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจ ชั้นปีที่สาม มีเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันสามคนนั่นคือเค้ก คะนิ้ง และต้องตา
ฉันจะสนิทกับเค้กมากกว่าคนอื่นเพราะมีอะไรฉันมักจะเล่าให้มันฟังคนแรก และนิสัยเราดูเข้ากันมากที่สุด
คะนิ้งจะเป็นพวกชอบเที่ยวหน่อย ถึงแม้จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วแต่ก็มีแอบคุยกับคนอื่นสนุก ๆ ส่วนต้องตาจะเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อยแต่ด่าทีเจ็บมาก
“เค้กมารับเราด้วยนะ” ต้องตาพูดแล้วยิ้มนิด ๆ
เรามักจะรู้สึกไม่ดีกันเสมอเวลาที่ต้องพายัยนี่ไปร้านเหล้า เพราะยัยต้องตาน่าจะเหมาะกับการไปวัดมากกว่า
“ได้เลยค่าคนสวย เดี๋ยวจะไปรับยัยเตยก่อนแล้วไปรับแก” เพราะกลุ่มเรามีแค่เค้กกับคะนิ้งที่มีรถยนต์ใช้เราจึงมักจะอาศัยพวกมันตลอด
“อาจจะมีผู้ชายไปนั่งด้วย” คะนิ้งบอกกับพวกเราแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ใครอีก กิ๊กคนที่เท่าไร” ยัยเค้กถามออกไปแบบนั้น ซึ่งทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องปกติของยัยนิ้งอยู่แล้ว
ถึงจะมีแฟนแต่เรียนคนละมหาวิทยาลัยแถมยังอยู่ห่างกันมาก ยัยนี่เลยทำตัวเป็นคาสโนวี แอบคุยกับคนนั้นคนนี้เป็นเรื่องสนุกไปเลย
ซึ่งบอกตามตรง ฉันไม่ค่อยชอบนิสัยข้อนี้ของมันเท่าไร เพราะฉันเกลียดการถูกหักหลังจากคนรักแบบนี้ แต่ก็ชินไปแล้วกับพฤติกรรมของมัน
“หนุ่มวิศวะค่ะ เดี๋ยวคืนนี้เจอ”
“ค่า อย่าไปหิ้วผัวคนอื่นมาแล้วได้พากันเตลิดเหมือนคราวที่แล้วนะ”
“ฮ่า ๆ” พวกเราพากันขำออกมาเมื่อยัยเค้กพูดจบ เพราะเคยมีครั้งหนึ่งที่ยัยคะนิ้งมันหิ้วแฟนชาวบ้านมากินเหล้าด้วย แล้วเมียเขาจับได้ วุ่นวายกันมากเพราะต้องพายัยคะนิ้งหลบไม่ให้โดนตบในร้าน
“เออ ฉันเช็กรอบคอบแล้ว คนนี้โสดแน่นอน”
@สถานบันเทิงชื่อดัง
ร้านนี้เป็นร้านดังของที่นี่เลย ไม่ว่าวันไหนคนก็แน่นร้านและต้องจองโต๊ะตั้งแต่ห้าโมงเย็นหรือไม่ก็ต้องจองข้ามวันหากเป็นวันหยุด
ที่คนเลือกร้านนี้เพราะมีเครื่องดื่มที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน เป็นสูตรที่ร้านอื่นไม่มีขาย
“เอาเหยือกใหญ่ค่ะ ขอแก้วหกใบนะคะ” ยัยคะนิ้งสั่งกับบริกรหนุ่มหล่อแล้วส่งยิ้มหวานให้อีก
“ทำไมต้องหกเหรอ” ต้องตาเป็นฝ่ายถามแทนความสงสัยของพวกเราทั้งหมด
“เดี๋ยวมีคนมานั่งด้วยไง”
ผ่านไปเกือบสามทุ่ม เครื่องดื่มของพวกเราหมดไปเหยือกหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นหนุ่ม ๆ ของยัยคะนิ้งโผล่มา โดนหลอกกลับแล้วมั้งเพื่อนฉัน
“จะสามทุ่มแล้ว ไม่มาละมั้ง” เค้กเป็นคนถาม
“มาแล้ว ๆ กำลังมา ช่วงนี้เขาทำโพรเจกต์ คงยุ่ง” รู้ดีขนาดนี้แสดงว่ามันสืบมาจริงจัง
“ปีสี่เหรอ แกก็ยังกล้าชวนเขามาเนอะ ใครยุ่งกับเด็กปีสี่นี่เหมือนเป็นพวกมารเลยนะ” เค้กต่อว่าแล้วปรายตามองเพื่อนตนเองที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
รู้สึกว่าวันนี้มันจะอาการหนักนะ ชักอยากเห็นหน้าแล้วสิว่าจะเป็นอย่างไร ทำไมดูตื่นเต้นขนาดนั้น
“พี่คิว !” แล้วยัยนั่นก็โบกมือให้ใครบางคนซึ่งอยู่ด้านหลังฉัน เลยต้องหันไปมองตาม คงจะเป็นคนแอบคุยคนใหม่ของมันนั่นละ
“!!”
จังหวะที่ฉันหันไปมองก็สบตาเข้ากับผู้ชายที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี เขาเองก็มองมาแต่ไม่ได้มีท่าทีตกใจเหมือนฉันแล้วยังยกมุมปากขึ้นด้วย ท่าทีแบบนั้นมัน...
ไม่จริงมั้ง ฉันเมาแล้วหรือ
“เป็นอะไรยัยเตย” เค้กหันมาถามเมื่อฉันยกมือขึ้นมาตบหน้าตนเองเบา ๆ
“ปะ... เปล่า” ฉันตอบแล้วยกแก้วเล็กขึ้นดื่มกลบเกลื่อน
ตอนนี้หัวใจฉันเต้นแรงมาก ไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกอะไรกับเขาหรอกนะ แต่เพราะความบังเอิญที่มันชักจะมากไปแบบนี้มันเลยทำให้ตื่นเต้นแปลก ๆ
“พวกแก นี่พี่คิวแล้วก็พี่...” ยัยคะนิ้งแนะนำผู้ชายคนนั้นให้รู้จัก
'คิว' คือผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับฉันคืนนั้น ฉันก็เพิ่งจะรู้ชื่อเขาวันนี้เพราะคืนนั้นเราไม่ได้สนใจจะถามชื่อกันด้วยซ้ำ
“แม็คครับ” พี่ผู้ชายอีกคนแนะนำตัว
“หนูชื่อคะนิ้งนะคะ คนนี้เค้ก ต้องตา แล้วก็เตยหอม” ฉันยิ้มนิด ๆ โค้งหัวให้โดยที่ไม่ได้มองหน้าใคร หยิบแก้วที่ยัยเค้กเพิ่งเทให้มาดื่มต่อ
เอาวะ เมาไปเสียจะได้จบ ๆ ไม่ต้องคิดมาก
อีกอย่างเขาก็คงไม่พูดเรื่องวันนั้นหรอก เขาก็ต้องกลัวยัยคะนิ้งรู้ไหม เผลอ ๆ อาจจะกลัวฉันพูดให้เพื่อนฟังด้วยซ้ำ
“เป็นอะไรของแก ยกถี่ไปแล้วนะ” เค้กหันมาถามฉันด้วยความสงสัยแต่ก็เทแก้วใหม่ให้
“ไม่มีอะไร อยากเมาจนหลับ” เป็นข้ออ้างที่ดูตลกจัง
“อกหักมาครึ่งปีแล้วยังไม่หายเหรอเตย” ยัยต้องตา !!
“คราวก่อนก็หนีมาเที่ยวคนเดียวเพราะแฟนเก่าส่งการ์ดแต่งงานมาให้ไม่ใช่เหรอ ฮ่า ๆ” แล้วยัยคะนิ้งก็เสริมทัพทันที
“ก็ต้องมีบ้างไหม คบกันมาตั้งห้าปี” ฉันบอกกับพวกมันแล้วเล่นมือถืออย่างไม่ใส่ใจ
ตอนนี้อาการมันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วด้วย
“...” จู่ ๆ ไอ้พี่คิวนั่นมันก็ยิ้มขึ้นมาตอนที่ฉันเผลอมองไปพอดี
ยิ้มบ้าอะไร
“หาใหม่เถอะ”
“พี่แม็คโสดไหมคะ จีบเพื่อนนิ้งได้นะ” ยัยคะนิ้งหันไปบอกพี่เขาที่นั่งยิ้มฟังพวกเราอยู่
“พี่ไม่โสดครับ ไอ้คิวโสด” แล้วพี่แม็คก็บุ้ยหน้าไปทางพี่คิว
“พี่คิวไม่ได้ค่ะ คะนิ้งจองแล้ว” ยัยคะนิ้งรีบออกตัวทันที ขณะที่พี่คิวก็เอาแต่นั่งยิ้มฟังพวกเรา
วันนั้นเห็นพูดมากกว่านี้นะ วันนี้เอาแต่นั่งนิ่ง ยิ้มอย่างเดียว
ดื่มไปสักพักฉันก็ขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ ไม่รู้ว่าทำไมมันรู้สึกอึดอัดแปลก ๆ ทั้งที่ภาวนาไม่ให้เจอเขาแต่ดันมาเจอในฐานะคนแอบคุยของเพื่อนตนเองอีก
นั่งสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำสักพักฉันก็เดินออกมา ตอนนี้บรรยากาศข้างนอกกำลังได้ที่เลย ทุกคนคงเมากันหมดแล้ว ฉันเองก็ไม่ต่างกันนักหรอก
หมับ
“อ๊ะ” อยู่ ๆ แขนฉันก็ถูกกระชากเข้าไปตรงมุมกำแพงที่เชื่อมต่อไปยังห้องน้ำด้วยมือของผู้ชายคนหนึ่ง กำลังจะร้องออกมาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของเขา “พะ... พี่คิว”
“ไง”
“มีธุระอะไรกับเตย” ฉันบิดข้อมือออกจากมือของเขาแล้วขยับออกห่างเพราะกลัวใครจะมาเห็นเข้า โดยเฉพาะยัยคะนิ้ง
“เมายัง” เขาถามแล้วกอดอกมอง
“นิดหน่อย”
“เหมือนฉันจะลืมของไว้ที่ห้องเธอ เจอบ้างไหม”
“ค่ะ” ฉันตอบสั้น ๆ เพราะฉันเก็บมันไว้จริง ๆ แต่ไม่รู้จะเอาไปคืนเขาอย่างไร
“อืม เดี๋ยวไปเอา” พูดจบเขาก็เหยียดยิ้มแล้วเดินหนีไปเลย ปล่อยให้ฉันยืนสับสนอยู่ตรงนั้น
เดี๋ยวไปเอา...
ทำไมคำนี้มันทำให้ฉันรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลย หรือฉันแค่คิดฟุ้งซ่านไปเอง
"ไงมึง วางแผนกันดิบดีสุดท้ายก็แพ้เมีย" เสียงของพี่ฮ้องเต้ดังขึ้น น้ำเสียงปนหัวเราะของเขาบ่งบอกว่ากำลังเยาะเย้ยพี่ทศกัณฑ์อยู่ตอนนี้ฉันยืนแอบอยู่ตรงมุมตึกซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะที่พวกเขานั่งไม่กี่เมตร ทำให้ได้ยินบทสนทนาชัดเจน"…" พี่ทศกัณฑ์เงียบกริบไม่รู้ว่าถ้าเขาไม่รู้ว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้จะเป็นแบบนี้มั้ยอาจจะคุยโม้ก็ได้ใครจะไปรู้"มึงมันไม่ได้เรื่อง เป็นพี่ว้ากจนน้องปีหนึ่งปีสองกลัวแต่มาแพ้ให้เด็กอักษรคนเดียว เหอะ" พี่คิวพูดออกมาเหมือนเสียอารมณ์เพราะเป็นคนคิดแผนทั้งที"มึงก็รอรับชะตากรรมแบบกูได้เลย" พี่ทศกัณฑ์พูดเสียงเบาหวิว จนฉันแอบสงสารจับใจ"กูไม่มีทางกลัวเมียแบบมึงแน่นอน ผู้หญิงก็แค่ลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด""มึงไม่กลัวเตยเลยเหรอ" พี่ทศกัณฐ์ถามซ้ำ"กลัวทำไม ยัยนั่นดิต้องกลัวฉันขาดฉันไปซักคนเตยคงอยู่ไม่ได้ ร้องไห้แงๆ"โอ้อวดนักนะ เดี๋ยวโดนดีแน่พี่คิว!"พี่ทศกัณฑ์!" ฉันเดินเข้าไปเงียบๆ แล้วเรียกพี่ทศกัณฑ์เสียงดัง จนพี่ๆ หันมามองกันพรึบ ส่วนพี่นธีขมวดคิ้วมองฉันอย่างไม่เข้าใจ พี่ชายทั้งคนอ่านออกแน่ๆ"ยะ…ญานิน มาได้ไง" เก่งมากคุณแฟน เสียงสั่นแบบไม่ต้องซ้อมมา"เดินมาค่ะ""น้องญาน
"…" เงียบอยู่นั่นแหละไม่คิดจะพูดอะไรเลยใช่มั้ย หรือว่าเขาไม่อยากคบฉันแล้ว แววตาของเขาที่มองเหมือนกำลังลังเลบางอย่างอยู่เลย"นินทำอะไรผิดหรือเปล่า ทำไมพี่ไม่บอกถ้านินผิดก็พร้อมจะแก้ไข แต่พี่ทศกัณฑ์ไม่ให้โอกาสนินได้รับรู้เลย อึก...อยู่ๆ ก็ไม่เห็นค่ากันแบบนี้""ญานิน…" เขาเรียกชื่อฉันเบาๆ ขณะที่ฉันเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้"พี่เบื่อนินแล้วใช่มั้ย พี่ทศกัณฐ์ไม่รักนินแล้วใช่มั้ย...ฮึก""ไม่ใช่" เขาตอบแล้วค่อยๆ เอื้อมมือมากุมมือฉันพร้อมกับถอนหายใจเขาดันตัวฉันลงกับเตียงอีกรอบ ใช้นิ้วเรียวยาวลูบปัดน้ำตาออกจากพวงแก้มของฉันอย่างอ่อนโยน"ที่จริงแล้วแค่อยากจะทดสอบ แต่ตอนนี้พี่คงแพ้อีกแล้ว" เขาพูดแล้วจ้องตาฉันนิ่ง"หมายความว่ายังไง" คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของฉันเบิกกว้างแล้วเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วชนกัน"…" เขาพ่นลมหายใจออกมาแล้วเบือนหน้าหนีเหมือนกำลังลำบากใจที่จะพูด "เพราะคิดว่าช่วงนี้เราชอบเอาแต่ใจ ก็เลยอยากดัดนิสัยนิดหน่อย จะได้หันมาง้อพี่บ้างไม่ใช่ตัวเองถูกทุกอย่าง" เขาอธิบายแบบเหนี่ยมอายนิดหน่อยนี่มันอะไรกันเนี่ย…"อย่าบอกว่าที่แกล้งยุ่งกับงานก็เพราะอยากลองดูการกระทำของนินด้วย""…" พยักหน้าเป็นคำตอบ"แล้
Tossakan talk"ไอ้เชี่ยมึงใจเย็น นิ่งไว้ๆ""ฮ่าๆ มึงท่องไว้พุทธโธๆ เดี๋ยวแม่งเสียแผนหมด"เสียงของไอ้เต้กับไอ้คิวที่เกลี้ยกล่อมให้ผมใจเย็น ทั้งที่ภาพตรงหน้าคือผู้ชายกำลังเกาะแกะแฟนผมอยู่แล้วพวกมันก็มาฉุดรั้งตัวผมที่แทบจะพุ่งตัวไปหาญานิน ขณะที่ไอ้นธีเอาแต่นั่งยิ้มน้อยๆ มองผมเหมือนดูหนังตลกตลกเชี่ยไรเดี๋ยวเมียมันเจอมั่งจะรู้สึก"ถ้ามึงเข้าไปตอนนี้น้องมันรู้แน่ว่ามึงไม่ได้ยุ่งกับโปรเจ็ค แต่มาตามดูน้องมันอะ" ไอ้คิวบอกแต่กลับยิ้มขำ "แล้วที่มึงทำมาทั้งหมดน้องก็จะคิดว่ามึงโกหก""เออ มึงต้องนั่งดูอย่างใจเย็น"ใจเย็นอะไรของมันวะ ตอนนี้เหมือนกองไฟในอกผมมันกำลังจะปะทุออกมาอยู่แล้ว"มึงจะทำเสียแผนนะเว่ย จากที่จะดัดนิสัยน้องกลายเป็นน้องได้ดัดนิสัยมึงแทน"'แผน' ที่ว่านั้นมันเริ่มจากปัญหาของผมนี่แหละเรื่องมันมีอยู่ว่าอาทิตย์ก่อนเราทะเลาะกันเรื่องญานินลืมมือถือไว้ในห้องก่อนออกไปเรียน โทรหาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับสาย เราเลยทะเลาะกันใหญ่โตแต่สุดท้ายผมก็เป็นคนง้อญานินเพราะเรื่องมันมักจะจบแบบเดิมคือน้องมันถูกเสมอไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ คนที่เป็นฝ่ายผิดสุดท้ายแล้วต้องเป็นผมเพราะญานินจะไม่ยอมง้อผมเลย
หลายเดือนต่อมาหลังจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดตอนนั้นจบลง ชีวิตของฉันก็กลับมาสงบสุขและคบกับพี่ทศกัณฐ์อย่างแฮปปี้ใช่ซะที่ไหนกัน!การคบกันมันก็ต้องมีทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดาและทุกครั้งที่ทะเลาะกันนั้นพี่ทศกัณฐ์มักจะเป็นฝ่ายยอมฉันเสมอไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะพี่ทศกัณฐ์รักฉันมากๆ ยังไงล่ะ!"เป็นอะไรหน้าบูดเป็นตูดหมามาเลย" เสียงของนิเนยทักขึ้นตอนที่ฉันกำลังเดินเข้ามาหย่อนตัวนั่งลงกับเก้าอี้ข้างๆ พอใบเฟิร์นได้ยินคำพูดของนิเนยก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสนใจตอนนี้เราอยู่ปีสองกันแล้วนะ เป็นรุ่นพี่แล้วและช่วงนี้ก็เป็นช่วงรับน้องทำให้ค่อนข้างเหนื่อยกับการจัดเตรียมกิจกรรมให้น้องๆ ทำส่วนพี่ทศกัณฐ์ก็อยู่ปีสี่แล้วเขาก็วุ่นวายกับการทำโปรเจ็คหลังจากที่เพิ่งฝึกงานสามเดือนจบแล้วก็เหลือเวลาอีกแค่เทอมกว่าในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้ช่วงนี้เราแทบจะไม่มีเวลาได้ใกล้ชิดกัน"ไม่มีอะไร" ฉันตอบนิเนยแล้วหยิบเอกสารสำหรับวิชานี้ขึ้นมาเตรียมไว้บนโต๊ะเลคเชอร์"ทะเลาะกับพี่ยักษ์เหรอ" นิเนยถามแล้วกอดอกมองฉัน"..." พยักหน้าเป็นคำตอบ"เรื่อง?""เมื่อวานฉันเข้าคอนโดก่อน เพราะเขาบอกว่าจะเลิกดึก พอถามว่าจะให้ไปนั่งทำงานด้วยมั้ยก็
เช้าวันต่อมา"ได้เรื่องมั้ยครับ"เสียงของพี่ทศกัณฐ์ดังขึ้นจากปลายเตียงเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์กับใครซักคนฉันจึงค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้นมอง"มีหลักฐานครบแล้วใช่มั้ย""ดีเลย งั้นรบกวนคุณลุงจัดการให้ผมหน่อย""น้องดีขึ้นแล้วครับ ตรวจแล้วไม่เป็นอะไร มีรอยช้ำที่โดนตีนั่นแหละ...ผมรู้แล้วน่า ว่าที่หลานสะใภ้ลุงทั้งคนจะไม่ดูแลได้ไง"นี่กำลังพูดถึงฉันอยู่ใช่มั้ย แอบฟังเองก็เขินเองแล้วนะ"ครับ ขอบคุณครับ รอชมผลงานนะแล้วเดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องทางนี้เอง" แล้วพี่ทศกัณฐ์ก็กดวางสายก่อนจะหันมามองทางฉันที่แกล้งขยับเปือกตาขึ้นมาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน "เช้าอยู่เลยรีบตื่นทำไม""นินปวดหัวค่ะ" ฉันตอบแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง "เหมือนจะเป็นไข้""..." พี่ทศกัณฐ์ลุกขึ้นจากปลายเตียงขยับมานั่งขอบเตียงข้างฉันแล้วเอาหลังมือมาอังหน้าผากไว้ "นอนพักก่อนเดี๋ยวกินข้าวกินยา""ค่ะ" ฉันพยักหน้าทำตามคำสั่งแล้วเขาก็หายออกไปจากห้องตอนนั้นทันทีไม่นานนักก็กลับเข้ามาพร้อมกับข้าวต้ม ยาและน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว แกล้งป่วยซักเดือนดีมั้ยเนี่ยมีบุรุษพยาบาลส่วนตัวซะด้วย"เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ" ฉันเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเพราะนอนคิดคนเดียวก็คงไม่รู้คำตอ
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ฉันตรวจ ใส่เฝือกอ่อนที่เท้าและรับยาเสร็จก็มาแจ้งความที่สถานีตำรวจกับพี่เนย์ต่อ มีรุ่นพี่ปีสองและพวกนิเนยอยู่เป็นเพื่อนรอให้พี่ทศกัณฑ์และพี่นธีมารับ"เป็นไงบ้าง" พี่นธีถามทันทีที่มาถึงส่วนพี่ทศกัณฑ์กำลังเดินเข้ามาท่าทางเงียบครึมเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่"ให้รายละเอียดกับตำรวจไว้แล้วค่ะ พรุ่งนี้ต้องมาอีก""เอาเรื่องให้ถึงที่สุดนะเว้ย ต้องไม่ยอมมันรอบนี้ต้องเอาให้มันจมดิน!" ใบเฟิร์นพูดและกำหมัดแน่นหมับ!อยู่ๆ ร่างของฉันถูกดึงไปกอดไว้ในอ้อมแขนขณะที่เจ้าของการกระทำนั้นไม่พูดอะไรเลยซักคำ ท่ามกลางสายตาของเพื่อนและรุ่นพี่รวมไปถึง...พี่เนย์ยังดีที่ตอนนี้นิเนยมันเอาเสื้อผ้ามาให้ฉันเปลี่ยนแล้วไม่อย่างนั้นคงดูตลกน่าดูหนุ่มวิศวะกอดกับหญิงสาวในชุดโบราณ"กลับเลยมั้ย" พี่ทศกัณฑ์ปล่อยฉันออกจากอ้อมแขนแต่ก็ไม่ได้เป็นอิสระซะทีเดียวเขายังโอบฉันไว้อย่างหลวมๆ"ค่ะ อยากอาบน้ำพักผ่อนแล้ว" ฉันพยักหน้าตอบรับแล้วหันไปขอบคุณพี่ๆพี่ทศกัณฐ์อุ้มฉันขึ้นออกมาจากตรงนั้นสีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีเลยไม่รู้ว่าทำไม พอมานั่งในรถเขาก็ติดเครื่องแต่ก็ไม่ยอมขับออกไป สายตาของเขาหันไปมองพี่เนย์ที่กำ







