ฮ่องเต้หวู่ได้ยินเช่นนั้นพลันมวดคิ้วแน่น ใคร่ครวญในใจอย่างเงียบๆคำพูดของหลี่หลงหลินใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลแม้ในสายตาของฮ่องเต้หวู่ การกระทำของท่านพี่เขยของฝ่าบาทในครั้งนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาดีแต่อย่างใดใจที่ระวังคนอื่นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ยิ่งเป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จิตใจคนไม่เหมือนสมัยก่อน ยากแท้หยั่งถึงฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงขรึม “รัชทายาท แล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”หลี่หลงหลินมองไปยังฮ่องเต้หวู่อย่างจริงจัง กล่าวว่า “เสด็จพ่อ ตามความเห็นของลูก การเดินทางไปตงไห่ครั้งนี้ อันตรายอย่างยิ่ง มิใช่เรื่องที่พระชายาเพียงคนเดียวจะแก้ไขได้”“อีกทั้งพระชายามาจากกองทัพ มีแต่ความกล้า ไร้ซึ่งปัญญา ท้ายที่สุดแล้วตงไห่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่พิเศษ พร้อมด้วยทรัพยากร ตระกูลใหญ่มากมายตั้งอยู่เรียงราย ความสัมพันธ์ซับซ้อนยุ่งเหยิง มิใช่เรื่องที่เฟิ่งหลิงเพียงคนเดียวจะรับมือได้ หากไปตงไห่ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเสียเปรียบ”“ท้ายที่สุดแล้ว พระชายาเป็นตัวแทนของต้าเซี่ยทั้งหมด หากนางเสียเปรียบที่ตงไห่ เกรงว่าเสด็จพ่อจะเสียพระเกียรติได้พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงพยักหน้าแล้วตรัสว่า “ข้าเห็นว่าเจ้าพูด
หากตนเองเอาแต่เป็นเต่าหดหัวอยู่ในเมืองหลวง ก็จะยิ่งส่งเสริมให้ฝ่ายตรงข้ามได้ใจ การกระทำจะยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้นเมื่อถึงเวลานั้น ซูเฟิ่งหลิงเพียงคนเดียวจะต้องกลับมามือเปล่าอย่างแน่นอน หรืออาจจะมีอันตรายถึงชีวิตด้วยซ้ำหลี่หลงหลินจะไม่ยอมให้ซูเฟิ่งหลิงไปเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพียงลำพัง แล้วสุดท้ายต้องแบกรับชื่อเสียงในทางเสื่อมเสียว่าปราบปรามไม่สำเร็จไม่ใช่นิสัยของบุรุษชาติชายอย่างหลี่หลงหลินฮ่องเต้หวู่พยักหน้าเล็กน้อย แววตาฉายแววลังเลออกมาหลี่หลงหลินเห็นดังนั้นจึงประสานหมัดคารวะ “เสด็จพ่อ เรื่องตงไห่ลังเลไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! มิฉะนั้นลูกจะไม่มีหน้าไปพบราษฎรตงไห่อีก!”ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงขรึม “ปัจจุบันกำลังทหารในราชสำนักขาดแคลน หากเจ้าพากองทัพตระกูลซูไปยังตงไห่เพื่อปราบกบฏพร้อมกัน แล้วจะเอาความปลอดภัยของเมืองหลวงไปไว้ที่ใด?”เหตุผลที่ตอนนี้กองทัพตระกูลซูประจำการอยู่ที่เขาประจิมจุดประสงค์หลักก็เพื่อรักษาการณ์เมืองหลวง ป้องกันเหล่ากบฏคิดร้ายที่มีใจคิดก่อกบฏแต่หากเคลื่อนย้ายกองทัพตระกูลซูไปยังตงไห่เกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสช่วงที่เกิดช่องว่างนี้ เล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง!เมื่อถึงเ
แววตาเศร้าสร้อยลอยผ่านระหว่างคิ้วของฮ่องเต้หวู่แม้การที่จางไป๋เจิงถอนทัพกลับเมืองในยามนี้ จะช่วยบรรเทาวิกฤตกำลังทหารขาดแคลนในราชสำนักอย่างทันท่วงทีแต่ก็ไม่ได้คลายความกังวลพระทัยของฮ่องเต้หวู่ลงได้ หลี่หลงหลินย่อมมองออกว่าพระบิดายังมีความกังวลลึกๆ อยู่ในใจ“เสด็จพ่อ หากทรงมีความกังวลใด โปรดตรัสออกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะพยายามหาทางช่วยคลายความกังวลและแก้ไขปัญหาให้เสด็จพ่ออย่างแน่นอน”ฮ่องเต้หวู่ทรงส่ายพระพักตร์ “ข้าไม่ได้มีความกังวลอะไร วันหน้าเมื่อแม่ทัพจางเคลื่อนทัพกลับราชสำนัก ย่อมมีเรื่องราวมากมายที่ต้องจัดการ”“เมื่อถึงตอนนั้น ข้าคงมีราชกิจรัดตัว เกรงว่าจะไม่มีใครมาช่วยข้าคลายความกังวลและแก้ไขปัญหาอีกแล้ว!”ฮ่องเต้หวู่มีคำมากมายดั่งสายน้ำเชี่ยวที่รอจะหลั่งไหลยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในราชสำนักต้าเซี่ยก็ต้องการอิฐก้อนใหญ่อย่างหลี่หลงหลินต้องการที่ไหนก็ย้ายไปที่นั่นหากหลี่หลงหลินจากเมืองหลวงไป ก็จะทิ้งช่องโหว่เอาไว้ยิ่งกว่านั้น ในสายตาของฮ่องเต้หวู่ นี่คือช่องโหว่ที่ไม่อาจเติมเต็มได้เลยหลี่หลงหลินแย้มยิ้มเล็กน้อย “เสด็จพ่อ ใต้ฟ้าผืนนี้ ย่อมล้วนเป็นแผ่นดินของพระราชา ขุ
“เขาหาได้ใส่ใจในวัตถุนอกกายไม่ เพียงต้องการเวทีที่สามารถแสดงความรู้ความสามารถและปณิธานที่มีต่อบ้านเมืองเท่านั้น” “เสด็จพ่อวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกสามารถรับรองแทนเสด็จพ่อได้ ขอเพียงมอบเวทีให้แก่หนิงเซิง เขาย่อมสามารถแสดงความสามารถได้อย่างเจิดจรัสแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้หวู่ครุ่นคิดในใจเงียบๆ คำพูดของหลี่หลงหลินนับว่ามีเหตุผลยิ่งนัก หลี่หลงหลินเอ่ยว่า: “ลูกเห็นว่า การเรียกหนิงชิงโหวเข้าวังรับตำแหน่งปราชญ์มหาสำนักแห่งสำนักเลขาธิการ คอยอยู่เคียงข้างเสด็จพ่อ ย่อมสามารถช่วยเสด็จพ่อขจัดปัดเป่าความกังวล แก้ไขปัญหา และถวายคำปรึกษาในการวางแผนได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้หวู่สีหน้าฉายแววลังเล ส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า: “เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ได้” “เสด็จพ่อ เหตุใดจึงไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หวู่เอ่ยเสียงเข้ม: “หากข้าแต่งตั้งหนิงชิงโหวเป็นปราชญ์มหาสำนักแห่งสำนักเลขาธิการโดยตรงเช่นนี้ แม้นข้าจะยินยอม แต่เกรงว่าเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักคงไม่ยินยอม! การนี้ทั้งขัดต่อธรรมเนียมบรรพชน ทั้งไม่สอดคล้องกับเหตุผลโดยปกติ” “เพราะอย่างไรเสีย ขุนนางฝ่ายบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักล้ว
ณ จวนตระกูลซู หลี่หลงหลินก้าวเท้าเข้าสู่ในจวน ก็พบเข้ากับฮูหยินผู้เฒ่าซูนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าพี่สะใภ้ที่ยืนขนาบซ้ายขวา ด้วยท่าทางประหนึ่งเตรียมซักถามความผิด หลี่หลงหลินมิได้เอ่ยวาจาใด เพียงค่อยๆ ก้าวเข้าไปเบื้องหน้า: “คารวะฮูหยินผู้เฒ่าซูขอรับ” ลั่วอวี้จู๋เป็นผู้เปิดฉากซักถามขึ้นก่อน: “องค์รัชทายาท ท่านกับน้องหญิงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่! เพิ่งจะผ่านวันมงคลสมรสไป วันนี้กลับต้องมามีใบหน้าอาบน้ำตา ไม่ว่าผู้ใดถามไถ่ก็ไม่ยอมเอ่ยสาเหตุ จากนั้นก็นำกองทัพตระกูลซูจากไป” “แม้แต่จะไปที่ใดก็ไม่ยอมบอกกล่าว?” “ท่านรังแกน้องหญิงใช่หรือไม่ นางจึงได้เสียใจได้ถึงเพียงนี้!” หลี่หลงหลินส่ายศีรษะ แล้วเอ่ยว่า: “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าทะนุถนอมเฟิ่งหลิงยิ่งนัก อยากจะประคบประหงมนางไว้ในอุ้งมือ แล้วจะใจร้ายรังแกนางได้อย่างไร?” หลิ่วหรูเยียนเอ่ยว่า: “แก้ตัว! หากมิใช่ท่านรังแกนาง แล้วนางจะร้องไห้เสียใจปานนั้นได้อย่างไร! กลายเป็นคนเจ้าน้ำตา ดวงตาบวมช้ำไปหมดแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าซูเอ่ยขึ้นช้าๆ: “เป็นข้าที่เลี้ยงดูเฟิ่งหลิงมาแต่เล็ก นิสัยนางแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว ประสบเรื่องใดก็ไม่เคยใช้หยาดน้ำตาแก้ไขปัญหา แ
ซูเฟิ่งหลิงเปรียบประดุจไข่มุกล้ำค่าในมือของตระกูลซู ยิ่งไปกว่านั้นยังดำรงตำแหน่งพระชายาในองค์รัชทายาทแห่งต้าเซี่ย อนาคตย่อมได้ขึ้นเป็นฮองเฮา หากเพราะความประมาทชั่วขณะ จนต้องพ่ายแพ้ที่ตงไห่ นับว่าไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง หลี่หลงหลินกวาดสายตามองใบหน้าของเหล่าพี่สะใภ้ ด้วยต้องการทราบความคิดเห็นของพวกนาง แม้ลั่วอวี้จู๋จะลังเลอยู่บ้าง แต่ก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว: “ข้าสามารถเดินทางไปยังตงไห่กับน้องหญิงได้ พอดีที่ตงไห่ตระกูลซูมีกิจการหลายอย่างต้องจัดการ ถือโอกาสนี้ติดตามน้องหญิงไปด้วย” กิจการของตระกูลซูแผ่ขยายไปทั่วต้าเซี่ย เพียงแต่ปกติลั่วอวี้จู๋คุ้นชินกับการอยู่ในเมืองหลวง แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว บางครั้งกิจการก็จำเป็นต้องลงไปจัดการด้วยตนเอง หลี่หลงหลินพยักหน้า การที่ลั่วอวี้จู๋ติดตามไปด้วย นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง สามารถดูแลเรื่องเสบียงและเบี้ยหวัดได้ เพราะอย่างไรเสียนางก็คือเทพแห่งโชคลาภของตระกูลซู กิจการและทรัพย์สินทั้งหมดล้วนอยู่ในมือนาง กงซูหว่านครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า: “การทำศึกสงครามย่อมขาดเกราะและอาวุธมิได้ ข้าสามารถนำเครื่องมือที่ถนัดมือบางส่วนไปยังตงไห่ได้ จัดตั้งกองทัพเครื่อง
ลั่วอวี้จู๋ค่อนข้างกังวล นางถามด้วยเสียงเบา: “องค์รัชทายาท ด้วยร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่า จะสามารถนำทัพออกรบได้จริงหรือเพคะ?” ไม่รอให้หลี่หลงหลินตอบ หลิ่วหรูเยียนก็เอ่ยแทรกขึ้น: “องค์รัชทายาท แม้ข้าจะรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถพิเศษใดเทียบกับพี่สะใภ้ท่านอื่นได้ แต่ข้าสามารถติดตามกองทัพไปได้ เพื่อดูแลฮูหยินผู้เฒ่าซู ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว การนำทัพออกศึกเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจดูแคลนได้ ดังนั้นห้ามเกิดเรื่องผิดพลาดใดๆ เด็ดขาดเพคะ” หลี่หลงหลินครุ่นคิด หลิ่วหรูเยียนพูดมีเหตุผล แม้ตงไห่จะอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก แต่หนทางนั้นทั้งขรุขระและเป็นการเดินทางไกลที่ทรหด หากมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ย่อมสามารถเดินทางถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย! หลี่หลงหลินพยักหน้า: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ติดตามกองทัพไปพร้อมกันได้ ระหว่างทางจะได้ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน พี่สะใภ้สี่ ภาระหนักในการดูแลฮูหยินผู้เฒ่าซู มอบให้ท่านแล้ว” “ฮูหยินผู้เฒ่าซูคร่ำหวอดในสนามรบมาครึ่งชีวิต ผ่านศึกนับไม่ถ้วน หากมีฮูหยินผู้เฒ่าซูร่วมออกศึกครั้งนี้ด้วย ย่อมประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!” ประกายแสงวาบผ่านในดวงตาของหลี่หลงหลิน ฮูหยินผ
แววตาของหนิงชิงโหวสั่นไหว พึมพำออกมาว่า: “สร้างเจตจำนงแก่ฟ้าดิน สร้างชะตาแก่ปวงประชา?” ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกตื้นตันอย่างรุนแรง หนิงชิงโหวรู้จักหลี่หลงหลินดี เขามิเคยเอ่ยคำพูดโอ้อวดเกินจริง ในเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าโอกาสครั้งนี้หาได้ยากยิ่งนัก ตนเองทุ่มเทร่ำเรียนตำราปราชญ์มาหลายปี ไฉนเลยจะยอมทนอยู่ในที่คับแคบเช่นนี้ได้? หนิงชิงโหวประสานมือ เอ่ยเสียงหนักแน่น: “องค์รัชทายาท ได้โปรดชี้แนะหนทางแก่หนิงเซิงด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หลี่หลงหลินแย้มยิ้ม: “เข้ารับราชการในราชสำนัก บรรลุอุดมการณ์ และปณิธานของท่าน” เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าเปี่ยมความหวังของหนิงชิงโหวก็พลันมลายหายไปสิ้น เหลือเพียงใบหน้าที่เฉยชา หัเขาเบือนหน้าไปเล็กน้อย: “องค์รัชทายาท มิใช่ว่าหนิงเซิงปฏิเสธความปรารถนาดีของพระองค์ เพียงแต่พระองค์ย่อมทราบอุปนิสัยของหนิงเซิงดี” หลี่หลงหลินพยักหน้า ปีนั้นหนิงชิงโหวสอบได้ตำแหน่งจอหงวน แต่กลับถูกขุนนางชั่วในราชสำนักวางแผนลับหลัง ทำให้เขาต้องพลาดตำแหน่งไป นับแต่นั้นมา เขาก็เข้าใจถึงความมืดมนในราชสำนัก รู้ว่าจิตใจคนเสื่อมทรามลง จึงสาบานว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่เข้าราชส
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่งโจรสลัดแคว้นโวกั๋วและชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเป็นปัญหาแถบชายแดนต้าเซี่ยมานานนับร้อยปี ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายมองออกว่าครั้งนี้เจตจำนงของหลี่หลงหลินยิ่งใหญ่อย่างมาก!หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “หากต้องการกำจัดปัญหาภายนอกจะต้องกำจัดปัญหาภายในก่อน หากต้องการเดินทางบนมหาสมุทร จะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อย หาไม่แล้วแผนการเดินเรือจะต้องได้รับผลกระทบแน่”“เป้าหมายสำคัญในการมาตงไห่ครั้งนี้คือพัฒนาศาสตร์ต่อเรือของต้าเซี่ย บัดนี้เรือเหล่านี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการเดินทางไกลได้ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของเรือต้าเซี่ยก็เป็นเหตุผลที่โจรสลัดแคว้นโวกั๋วตงไห่สร้างความวุ่นวาย ได้รับผลประโยชน์มากมายในสงครามทางทะเล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถกวาดล้างโจรสลัดแคว้นโวกั๋วที่บุกมาในคราวเดียวได้”“หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โจรสลัดแคว้นโวกั๋วก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน อาละวาดอย่างไร้ขอบเขตในทะเลตงไห่ ราษฎร์ตงไห่ก็จะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก!”“ดังนั้นตราบใดที่สามารถเพิ่มระดับการต่อเรือของต้าเซี่ยได้ โจรสลัดแคว้นโวกั๋วย่อมหายไป ชนิดที่ว่าปราบตงอิ๋
ปากแดงของเหล่าสะใภ้ขยับเบาๆ ดวงตาสะท้อนความแปลกใจ “เป้าหมายคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่?”แม้เหล่าสะใภ้ไม่รู้ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่คือที่ใด แต่ได้ยินหลี่หลงหลินอธิบาย จะต้องเป็นสถานที่อันงดงามแน่!ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยถาม “องค์ชาย มหาสมุทรกว้างใหญ่มากถึงเพียงนี้ เป้าหมายของพวกเราคือที่ใด?”กงซูหว่านพยักหน้า “ใช่แล้วองค์ชาย ยิ่งไปกว่านั้นระดับการเดินเรือในตอนนี้มากที่สุดก็ไปได้ถึงตงอิ๋ง หากยังไปทางทิศตะวันออก กลับยังไม่มีตัวอย่างมาก่อน”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป้าหมายของพวกเราก็คือทวีปใหม่! ต้าเซี่ยและทวีปใหม่ห่างกันเพียงมหาสมุทรกั้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือคิดหาทางพัฒนาเรือของต้าเซี่ย ขนวัวม้าสัตว์ใช้แรงงานจำนวนมากเพียงพอไปยังทวีปใหม่”“ขอเพียงมีวัวม้าสัตว์ใช้แรงงาน ต้องการผืนดินมากน้อยเพียงใดก็ย่อมได้ มีผืนดินนับพันลี้ให้ราษฎร์ได้ใช้!”เหล่าสะใภ้ได้ยินภาพที่หลี่หลงหลินอธิบาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเปี่ยมความหวังออกมาสถานที่ที่ไม่มีสงครามและไม่มีความหิวโหยอยู่ห่างเพียงมหาสมุทรกั้น กำลังโบกมือต้อนรับตนเองหลี่หลงหลินเปล่งเสียงเคร่งขรึม “ขอเพียง
“เป็นไปไม่ได้! ดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะไม่มีคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เหตุที่มีคนน้อยมีเพียงข้อเดียว ตอนนี้พวกเขายังกินไม่อิ่ม”ถ้อยคำนี้ของหลี่หลงหลินดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเหล่าพี่สะใภ้ได้ฟังแล้ว คิดว่านี่คล้ายเรื่องเพ้อฝันยามราตรี ดินแดนอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยังมีคนกินข้าวไม่อิ่มท้องอีกหรือ?กงซูหว่านมองหลี่หลงหลินด้วยความตกตะลึง เอ่ยถามว่า “องค์ชาย ท่านไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นหรอกกระมัง? อิงตามคำพูดของท่าน ทวีปใหม่จะต้องอุดมสมบูรณ์อย่างมากแน่ เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์คนกินข้าวไม่อิ่มท้องได้เล่า?”“ใช่แล้วองค์ชาย หม่อมฉันไม่เชื่อ”“หรือว่าดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกได้กันเล่า?”เหล่าพี่สะใภ้ฟังจนอารมณ์ดำดิ่งลงไป ต่างขอให้หลี่หลงหลินพูดออกมาให้ชัดเจน หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “ไม่ใช่พวกเขาไม่เพาะปลูก ทวีปใหม่ดีมากเยี่ยงไร มีเพียงข้อเดียวที่ไม่ดี ก็คือไม่มีวัวไม่มีม้า ไม่มีสัตว์ใช้แรงงาน”ดวงตาของเหล่าสะใภ้ทอประกายระยับ ประคองใบหน้างดงามรับฟังเงียบๆ“ดังนั้นตอนนี้พวกเขายังหยุดอยู่ที่ใช้มีดถางป่าเผาไร่เพาะปลูก ใช้วิธีการพื้นฐานที่สุดในการ
“ตงอิ๋ง? ก็แค่แคว้นเล็กๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง!”สายตาหลี่หลงหลินเผยแววหมิ่นแคลน“ตงอิ๋งเล็กๆ เป็นเพียงเกาะแห่งหนึ่งเท่านั้น เดิมทีก็ไม่คู่ควรต่อคำว่าทวีปใหม่สองคำนี้”ทุกคนตกตะลึงภายในความรู้ของเหล่าสะใภ้ ตงอิ๋งก็คือจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหนือตงอิ๋งก็ไม่มีอันใดอีกคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ความรู้ที่พวกนางมีอยู่เปลี่ยนไปทั้งหมด!กงซูหว่านพูดเสียงสั่นๆ “องค์ชาย ความนัยของท่านคือนอกจากตงอิ๋งแล้วยังมีทวีปใหญ่อีกหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เพียงมีทวีปใหญ่ แต่ยังเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์อย่างมากอีกด้วย!”พูดไป สายตาหลี่หลงหลินก็ทอดมองไปยังทิศทางหนึ่งกงซูหว่านพูดด้วยความแปลกใจ “อุดมสมบูรณ์อย่างมาก? อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด เทียบกับต้าเซี่ยแล้วเป็นเช่นไร?”สายตาทุกคนล้วนเปี่ยมความแปลกใจ วางตะเกียบและชามข้าวในมือลงรับฟังหลี่หลงหลินเล่าเรื่องทวีปใหม่เงียบๆหลี่หลงหลินส่ายหน้าและพูดว่า “แผ่นดินต้าเซี่ยกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตและทรัพยากรมากมาย เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง แต่ทวีปใหม่มีที่ราบมาก แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ทอดยาวนับพันลี้ ทุกหนแห่งล้วนค