แชร์

บทที่ 13

ผู้เขียน: ใบไม้ร่วงในเมืองร้าง
หลินซีตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ “มิเป็นเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ท่านอาจมิทราบว่า จริง ๆ แล้วเซี่ยหลานถูกองค์รัชทายาทคุกคามเมื่อมินานมานี้ นางต้องการแก้แค้นองค์รัชทายาทมาโดยตลอด แต่นางไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“เยี่ยมมาก คราวนี้เราต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะโค่นฉินซูลงให้ตกต่ำที่สุดจนลุกขึ้นมิได้อีก!”

การแสดงออกของฉินหงดูชั่วร้ายมาก ดูอันตรายอย่างยิ่ง

ในเวลาเดียวกัน

ภายในโรงเตี๊ยมที่คณะทูตเป่ยเยี่ยนพักอยู่

มู่หรงฟู่พูดด้วยความโกรธ “ให้ตายเถอะ ข้าอยากให้ฉินซูอับอายต่อหน้าธารกำนัล มิคิดเลยว่าเขาจะหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้”

เฉิงจืออี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงงเล็กน้อย “เป็นเรื่องแปลกนักที่คนกล่าวขานกันว่า องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนหลงสุราเคล้านารีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และองค์จักรพรรดิต้าเหยียนก็ตัดสินใจปลดเขาออกหลังจากวันชุนเฟินในปีหน้า ทว่าหลังจากการเผชิญหน้าทั้งสองครั้งนี้ ไฉนกระหม่อมจึงรู้สึกว่า องค์รัชทายาทจะใกล้จะถูกปลดผู้นี้พูดจาเฉียบคมนัก มีสิ่งใดที่เขาดูเหมือนคนที่หลงสุราเคล้านารีหรือ?”

“หึ หาได้ต้องถามไม่ เขาต้องรู้ว่าตนกำลังจะถูกปลด ดังนั้นเขาจึงพยายามทำตัวให้ดีในช่วงเวลานี้ เพื่อขอความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิอย่างไรเล่า”

“แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ยังรู้สึกว่า ฉินซูค่อนข้างลึกลับและไม่ง่ายอย่างที่ข่าวลือพูด”

มู่หรงฟู่โบกมือและพูดด้วยความแค้น “เรื่องของเขาเถอะ เขาควรอยู่ในหลงเฉิงไปตลอดชีวิตดีกว่า มิเช่นนั้น กระหม่อมจะฆ่าเขาด้วยมือของกระหม่อมเองทันทีที่มีโอกาส!”

“องค์ชาย เราแทบจะไม่มีโอกาสได้จัดการกับฉินซูเลย ยิ่งไปกว่านั้น องค์จักรพรรดิต้าเหยียนปฏิเสธที่จะคืนชิ่งโจว หากอยู่หลงเฉิงต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นเราจะออกเดินทางกลับเป่ยเยี่ยนเมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เรามิควรรอช้าอีกต่อไป เก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางทันที”

“ระหว่างทางกลับ ตัวข้ามักจะรู้สึกมิสบายใจ เช่นนั้น จะดีกว่าหากออกเดินทางเร็วยิ่งขึ้น จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่มิจำเป็น”

หลังจากที่เฉิงจืออี้พูดจบ เขาก็สั่งให้ทุกคนเก็บสัมภาระ

ครึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาพร้อมด้วยผู้ติดตามได้ขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังประตูทิศเหนือของหลงเฉิง

ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูทิศเหนือ พวกเขาก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งหยุดไว้

เฉิงจืออี้ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “พวกเจ้าหมายความเยี่ยงไร? ไปเรียกหัวหน้ามา”

ด้วยเสียงกีบม้า ชายหนุ่มรูปงามในวัยสามสิบก็ขี่ม้าออกมาจากด้านหลังกลุ่มคน

ชายผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ โดยมีลวดลายของกลุ่มดาวหมีใหญ่ปักด้วยไหมสีทองที่ตรงหน้าอก

เขาแบกดาบใหญ่อยู่บนหลัง ปากคาบใบหญ้า และมีรอยแผลเป็นที่ยาวประมาณหนึ่งนิ้วบนใบหน้าของเขา

เมื่อมองแวบแรกเขาดูซุกซน

เมื่อเห็นอาภรณ์ของบุรุษผู้นี้ เฉิงจืออี้ก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้ามาจากสำนักหอดูดาวหลวงหรือ?"

บุรุษหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย และตอบอย่างสงบ “ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย จากสำนักหอดูดาวหลวง!"

“เจ้านั้นเอง ลูกศิษย์คนที่สามของหัวหน้าโหรหลวง ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามามากทีเดียว เช่นนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่า เหตุใดจึงขวางทางเรา?”

“ขุนนางอาวุโสเฉิงจริงจังเกินไปแล้ว หากท่านต้องการออกไป แน่นอนว่าข้าจะมิหยุดท่าน”

“เช่นนั้นก็รีบออกไปเสีย เรากำลังรีบ”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยิ้มเบา ๆ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังรีบ แต่อย่าใจร้อนนัก ข้ายังพูดมิจบ”

เฉิงจืออี้พูดอย่างมิอดทน “หากเจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดก็พูดมาเร็ว ๆ เข้าสิ อย่าทำให้การเดินทางของเราล่าช้า"

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพูดอย่างใจเย็น “ที่จริงแล้วมิได้มีเรื่องอันใดมากนักหรอก ไทฮองไทเฮาของเราเพิ่งได้ยินว่า องค์ชายจากเป่ยเยี่ยนเสด็จมาถึงแล้ว พระนางจึงประสงค์ที่จะพบและต้อนรับองค์ชายมู่หรงเป็นแขกสักสองสามวัน และพูดคุยเรื่องประเพณีที่แปลกใหม่ของเป่ยเยี่ยน”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ การแสดงออกของทุกคนในคณะทูตเป่ยเยี่ยนก็เปลี่ยนไปทันที!

เฉิงจืออี๋ถามด้วยสีหน้ามืดมน “เจ้าหมายความเยี่ยงไร? พวกเจ้าคิดจะกักขังองค์ชายห้าของเราเช่นนั้นรึ?”

“ขุนนางอาวุโสเฉิง ดูตัวท่านสิ ข้าบอกท่านว่าอย่าใจร้อนนัก ข้าบอกหรือว่าจะกักขัง? ข้าหมายถึงไทฮองไทเฮาของเรา…”

ก่อนที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยจะพูดจบเฉิงจืออี้ก็ขัดจังหวะเขา “องค์ชายห้าของเรามิสนใจเรื่องเข้าพบไทฮองไทเฮาของพวกเจ้า อีกอย่างพวกเรากำลังรีบ หากไทฮองไทฮองไทเฮาต้องการทราบเกี่ยวกับประเพณีเป่ยเยี่ยน ไว้คราวหน้าเราจะไปเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาและคุยกับพระนางเอง”

“ขุนนางอาวุโสเฉิง หากท่านพูดเช่นนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องยากน่ะสิ หรือไม่พวกท่านก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจหลังเข้าพบไทฮองไทเฮา หรือจะให้องค์ชายมู่หรงอยู่ที่นี่ก่อนและพวกท่านกลับไปก่อนก็ย่อมได้"

“นี่เป็นคำสั่งของจักรพรรดิต้าเหยียนของพวกเจ้าหรือไม่?”

“ถูกต้องแล้ว ข้าแค่ทำตามคำสั่ง ดังนั้นข้าหวังว่าขุนนางอาวุโสเฉิงจะจัดการให้เราได้”

เฉิงจืออี้โกรธมากจนเคราของเขาบิดเบี้ยวทันที “นี่มันมีอย่างที่ไหนกัน ไร้เหตุผลสิ้นดี พวกเจ้าแค่ต้องการกักขังองค์ชายห้าของเรา ทำเช่นนี้ มิกลัวหรือว่าจะถูกคนทั้งใต้หล้าเยาะเย้ยเอาได้?”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยยักไหล่ “ไทฮองไทเฮามีพระชนมายุเก้าสิบพรรษาแล้ว เพียงแค่อยากพบองค์ชายห้าแห่งเป่ยเยียนของพวกท่าน มิสมเหตุสมผลตรงไหนกัน? หากท่านยืนกรานที่จะตีความว่าเป็นการกักขัง เช่นนั้นข้าก็ทำอันใดมิได้แล้ว”

“เจ้า… โธ่เอ๋ย...”

ใบหน้าของเฉิงจืออี้เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ และเริ่มไอ

มู่หรงฟู่ถามด้วยสีหน้ามืดมน “เช่นนั้นไทฮองไทเฮาประสงค์ให้ข้าอยู่กี่วัน?”

“กระหม่อมเองมิแน่ใจ แต่องค์ชายมู่หลงจงวางใจเถิด ท่านคือองค์ชายแห่งเป่ยเยี่ยน พวกเราต้าเหยียนจะปฏิบัติต่อท่านด้วยความเคารพในฐานะแขกผู้มีเกียรติสูงสุด รับรองได้ว่าท่านจะมิต้องทนทุกข์ทรมานแม้แต่น้อย”

ทันทีที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพูดจบ ทุกคนในคณะทูตเป่ยเยี่ยนก็เริ่มปฏิเสธเขาอย่างฉุนเฉียวทันที

“ข้ามิเชื่อ เจ้าบอกว่าจะมิยอมให้องค์ชายต้องทนทุกข์ แต่ตอนนี้พวกเจ้ากำลังกักขังหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ เช่นนั้นนี่มันเรียกว่าอะไรเล่า?”

“ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเจ้าต้าเหยียนทำก็แค่กลั่นแกล้งผู้อื่นมากเกินไป เจ้าคิดว่าพวกเราเป่ยเยี่ยนนั้นรังแกง่ายรึ?”

“รีบหลีกทางเสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกเราหยาบคาย

“อย่างไรก็ตาม อย่าคิดว่าพวกเจ้าคนมากกว่าแล้วเราจะกลัว หากคณะทูตเป่ยเหยี่ยนของเราได้รับอันตราย พวกเจ้าต้าเหยียนจะกลายเป็นตัวตลก”

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยกอดอกอย่างมิรีบร้อนแล้วมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยจาง ๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉิงจืออี้ก็ตำหนิว่า “พวกเจ้าตั้งใจจะกักขังองค์ชายของเราจริง ๆ ใช่หรือไม่?

“หากท่านอยากตีความเช่นนั้น ก็ถูกแล้ว”

“ได้! เช่นนั้นข้าจะไปพบจักรพรรดิต้าเหยียนของเจ้า!”

“องค์จักรพรรดิของเราทรงอยู่กับเรื่องนับมิถ้วน หากขุนนางอาวุโสเฉิงต้องการพบพระองค์ เช่นนั้นก็ได้โปรดกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมก่อน เมื่อพระองค์มีเวลาก็จะเรียกท่านเข้าเฝ้าเอง”

“เจ้า… เจ้ามันไร้เหตุผลนัก ไร้เหตุผลสิ้นดี!”

เฉิงจืออี้โกรธมาก แต่ก็มิอาจทำอะไรได้

มู่หรงฟู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขุนนางอาวุโสเฉิง พาคนของเรากลับไปก่อน แล้วอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เสด็จพ่อข้าฟัง ตัวข้ายังมิเชื่อว่าพวกต้าเหยียนจะกล้าแตะต้องข้า”

“แต่องค์ชาย...”

ก่อนที่เฉิงจืออี๋จะพูดจบ มู่หรงฟู่ก็ขัดจังหวะ “ขุนนางอาวุโสเฉิง ตอนนี้แล้วเจ้ายังมิเข้าใจอีกหรือ? ที่ต้าเหยียนต้องการตอนนี้คือ เราทุกคนอยู่ หรือข้าจะอยู่และพวกเจ้าก็กลับไป"

ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “องค์ชายมู่หรงทรงเข้าใจทุกอย่างถี่ถ้วน คุยกับคนฉลาดย่อมสบายใจกว่า "

เฉิงจืออี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับชายที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง "หม่าขุย เจ้าอยู่คอยปกป้ององค์ชาย จงจำไว้ว่า แม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิต จงทำให้แน่ใจว่าองค์ชายจะมิได้รับอันตรายใด ๆ”

หม่าขุยน้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพ “ท่านขุนนางใหญ่โปรดวางใจ ใครก็ตามที่ต้องการทำร้ายองค์ชาย เช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน”

“ดี! องค์ชายดูแลตัวเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่กระหม่อมกลับไปแล้วกระหม่อมจะทูลขอองค์จักรพรรดิให้ส่งคนมารับท่านกลับโดยเร็วที่สุด”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็พูดกับตู๋กูโฉ่วเยวี่ยอย่างเย็นชา “ทูลบอกจักรพรรดิของพวกเจ้าเถิด หากแตะต้ององค์ชายของเราแม้แต่ปลายพระเกศา พวกเจ้าต้าเหยียนก็เตรียมตัวเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นของพวกเราเป่ยเยี่ยนได้เลย!”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Nath Akara
สนุกมากครับ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 808

    คัมภีร์ทั้งสองเล่มนี้ หนึ่งในนั้นคือคัมภีร์วิชายุทธ์ภายในของสำนัก ส่วนอีกเล่มมิน่าเชื่อว่าจะเป็นคัมภีร์มหาสัจธรรม!แม้ในใจของฉินซูจะตกตะลึงอย่างยิ่ง แต่ภายนอกเขากลับมิแสดงอาการใด และเริ่มเปิดอ่านอย่างเงียบ ๆในมิช้าเขาก็ค้นพบว่า คัมภีร์มหาสัจธรรมนี้แตกต่างจากคัมภีร์ม้วนหยกขาวอย่างมาก ดูเหมือนจะเป็นฉบับย่อเสียด้วยซ้ำที่สำคัญที่สุดคือ การฝึกตนตามเคล็ดวิชาของซ่างกวนอวิ๋นซีนี้ มิจำเป็นต้องใช้เลือดบริสุทธิ์ของหญิงพรหมจรรย์เป็นสื่อกลาง เมื่อพลิกอ่านไปจนถึงหน้าสุดท้าย ฉินซูก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่าคัมภีร์มหาสัจธรรมจิงที่ซ่างกวนอวิ๋นซีให้มาเป็นเพียงครึ่งแรกเท่านั้น!เขาถามด้วยความสงสัย "แล้วครึ่งหลังของวิชายุทธ์นี้เล่า?"ซ่างกวนอวิ๋นซีพูดอย่างมิใส่ใจ "ครึ่งแรกนี้ก็เพียงพอให้เจ้าได้ฝึกฝนแล้ว รอจนกว่าพลังของเจ้าจะถึงระดับเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน""ก็ได้ งั้นข้าจะกลับห้องไปพินิจดูสักหน่อยก่อน"หลังจากฉินซูพูดจบ เขาก็เดินออกไปพร้อมกบคัมภีร์ลับในมือหลังจากผ่านไปสองชั่วยาม ฉินซูก็อาศัยความจำอันยอดเยี่ยมของตนจดจำเคล็ดวิชาของทั้งสองวิชาได้ครบทุกบทจนขึ้นใจแล้วเขามิได้เริ่มฝึกในทันที แต่กลั

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 807

    "ข้าก็มิได้พูดว่าจะลงมือบัดนี้ ข้าหมายถึงรอจนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นก่อน!""นั่นก็มิได้เช่นกัน ข้าแข็งแกร่งขึ้น ในเวลาเดียวกัน ศัตรูของท่านก็แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วย อีกทั้งข้ากับคนผู้นั้นก็ไม่มีเรื่องเคียดแค้นอันใดต่อกัน ข้ามิอยากเข้าไปยุ่งเรื่องวุ่นวาย"เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู สีหน้าของซ่างกวนอวิ๋นซีก็เย็นชาลงทันที"ฉินซู ข้าตั้งใจจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นข้าขอเตือนเจ้าว่า อย่าได้มิเห็นคุณค่าของผู้ที่ช่วยเหลือ!"มุมปากของฉินซูกระตุกหลายครั้ง แล้วเขาก็ถามขึ้นว่า "เช่นนั้นท่านตั้งใจจะบีบบังคับให้ข้ายอมทำตามใช่หรือไม่?""หากเจ้ามิเห็นด้วย ข้าก็มิรังเกียจที่จะใช้วิธีการบางอย่างกับเจ้า!" ซ่างกวนอวิ๋นซีพูดอย่างตรงไปตรงมาฉินซูก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความระวัง แล้วเตือนว่า “ท่านก็อย่าใจร้อนสิ มีสุภาษิตว่า แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมมิหวาน อีกอย่างเราสองคนก็หาได้สนิทกันไม่ ท่านมิกลัวว่าข้าร่ำเรียนจบแล้วจะหนีกลับต้าเหยียนหรือไร?”“ในเมื่อข้ากล้าถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับเจ้า แน่นอนว่าข้าต้องมั่นใจว่าจะรั้งเจ้าไว้ได้ อ้อ ใช่แล้ว มีข้อดีอย่างหนึ่งลืมบอกไป เ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 806

    ฉินซูกระโดดขึ้นครั้งหนึ่ง พริบตาเดียวก็ไปถึงแท่นบูชาสูงเสียดฟ้า!เขากวาดสายตามองทุกคนในลานจากเบื้องสูงด้วยท่าทีเปี่ยมอำนาจ!ที่ใดที่สายตาเขากวาดผ่านไป หาได้มีใครกล้าสบตากับเขาไม่!เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินซูจึงมองไปที่หลัวชางและเอ่ยอย่างเยือกเย็น "ในเมื่อไม่มีผู้ใดต้องการท้าทายอีก เช่นนั้นก็ดำเนินพิธีต่อเถอะ"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า ลมพายุที่เคยพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงนั้นได้สงบลงแล้วอย่างมิน่าเชื่อท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆครึ้ม เมฆดำพลันปั่นป่วนขึ้นมาเป็นระลอก จากนั้นแสงแดดสีทองสายหนึ่งก็ส่องทะลุผ่านชั้นเมฆสาดลงมายังร่างของฉินซูภายใต้แสงแดดนี้ ร่างกายของฉินซูเปล่งประกายเป็นชั้นของแสงทองอ่อน ๆ ราวกับเทพเจ้าสงครามที่สวมชุดเกราะทองคำ สง่างามน่าเกรงขามจนทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกหวาดกลัว!หลัวชางลังเลเล็กน้อยและมองไปที่ซ่างกวนอวิ๋นซี อีกฝ่ายกล่าวขึ้นอย่างนิ่ง ๆ ว่า “บทสวดถวายเครื่องเซ่นได้ถูกเผาแล้ว พิธีบอกกล่าวฟ้าดินก็เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนกฎระเบียบหรือขั้นตอนต่อไป เจ้าก็จัดการตามที่เห็นสมควรเถิด”นางพูดจบก็หันไปมองฉินซูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนัย จากนั้นก็หันก

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 805

    วิชากระบี่ที่ซับซ้อนถึงเพียงนี้ ฉินซูกลับเรียนรู้ได้ผ่านการดูครั้งเดียว มิหนำซ้ำกระบวนท่าเดียวกัน แต่พลังที่ฉินซูใช้กลับแข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่า ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนักเยี่ยนเจิ้นหงครุ่นคิดแล้วก็ตัดสินใจว่า ฉินซูคงแอบเรียนรู้วิชากระบี่นี้ตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบได้ มิเช่นนั้นก็ไม่มีคำอธิบายอีกแล้วแต่ถึงกระนั้น ในใจของเขายังปั่นป่วนด้วยคลื่นลมฉินซูอายุมิถึงสามสิบปี ต่อให้เริ่มฝึกตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา ก็มิน่าจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยนเจิ้นหงก็อดมิได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น“พรสวรรค์ของท่านล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา สมเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในรอบพันปี ข้าน้อยขอยอมแพ้ด้วยความเต็มใจ!”กล่าวจบ เขาก็ประสานมือคารวะฉินซูด้วยความศรัทธาฉินซูประสานมือเล็กน้อย “น้อมรับ!”จากนั้นจู่ ๆ เขาก็หันไปกล่าวกับซ่างกวนอวิ๋นซี “ท่านเจ้าสำนัก โปรดยืนขึ้นสักครู่ด้วยขอรับ”ซ่างกวนอวิ๋นซีขมวดคิ้วเรียว แต่ก็ยืนขึ้นช้า ๆนางกำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับเห็นฉินซูประสานมือไพล่หลัง กวาดสายตามองผู้คนในลานด้วยท่าทีสง่างาม “ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ มีผู้ใดมิยอมรับก็จงลุกยืนขึ้น มิว่าจะเป็นก

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 804

    “กระบี่จงมา!”ฉินซูสะบัดครั้งหนึ่ง กระบี่ยาวในมือของหยางคุนก็ลอยออกจากฝัก บินเข้ามือฉินซูในพริบตาเดียว!หยางคุนมิทันตอบสนอง!ฉินซูร่างทะยานขึ้นสู่กลางอากาศ จากนั้นก็สะบัดกระบี่ยาวชี้ตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า!เขาสะบัดแขนอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตากระบี่ยาวในมือก็กลายเป็นเงากระบี่นับร้อยสายในห้วงเวหา!“ไป!”กระบี่ยาวถูกตวัดลงไปพร้อมกับเสียงตวาดเบา ๆ ของเขา เงากระบี่ทั่วฟ้าก็พลันหมุนวนรวมตัวกันกลายเป็นมังกรยักษ์ยาวกว่าสิบจั้ง!มังกรยักษ์หมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง ก็พุ่งเข้าใส่เยี่ยนเจิ้นหงจากเบื้องบน!ระหว่างนั้น ยังระเบิดเสียงมังกรคำรามอันกึกก้อง!โฮกกก!!ทันทีที่เสียงมังกรคำรามดังขึ้น ผู้คนในลานฝึกยุทธ์ต่างรู้สึกหัวใจสั่นสะท้านอย่างกะทันหันเมื่อเงาร่างมังกรยักษ์ร่วงหล่นลงมา พลังกดดันอันมหาศาลก็พลันปรากฏขึ้นตามมาด้วย“แย่แล้ว ถอย! รีบถอยเร็ว!”จอมยุทธ์ขั้นกลางระดับสวรรค์ผู้หนึ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบแผดเสียงดุดันแต่ทันทีที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว ก็พบว่าภายใต้พลังกดดันอันมหาศาลนี้ ตนเองกลับก้าวขาได้อย่างยากลำบาก!มิต้องพูดถึงผู้ที่มีวรยุทธ์ต่ำกว่าเขาเลยจอมยุทธ์ขั้นกลางระดับปฐพีขึ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 803

    “ใช่แล้ว ท่านเจ้าสำนักของเราเป็นจอมยุทธ์ขั้นกลางระดับสวรรค์ แต่เมื่อเทียบกับเจ้าสำนักเยี่ยนแล้ว กลิ่นอายกลับอ่อนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด!”“เจ้าสำนักเยี่ยนทะลวงขั้นปลายระดับสวรรค์แล้ว แข็งแกร่งยิ่งนัก!”“ขั้นปลายระดับสวรรค์ บวกกับเพลงกระบี่มังกรทะยานขั้นสูงสุด เจ้าสำนักเยี่ยนอาจเรียกได้เป็นอันดับหนึ่งของยุทธภพเป่ยเยี่ยนแล้วกระมัง?”ขณะที่ผู้คนกำลังตะลึงพรึงเพริด เยี่ยนเจิ้นหงก็แผดเสียงดุดัน “เพลงกระบี่มังกรทะยาน มังกรคำรามสะท้านใต้หล้า!”กระบี่ยาวในมือของเขาชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้า จากนั้นก็สะบัดอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงคำราม!ในพริบตาเดียว ทั่วทั้งห้วงอากาศก็เต็มไปด้วยเงากระบี่ที่จับตัวกันเป็นรูปร่าง!“ไป!”เยี่ยนเจิ้นหงใช้กระบี่ยาวชี้ลงไปยังฉินซูจากเบื้องบนเงากระบี่ทั่วฟ้าพลันหมุนวนรวมตัวกัน กลายเป็นเงาร่างมังกรยาวหลายจั้งซึ่งอ้าปากคำรามใส่ฉินซูขณะที่กำลังพุ่งลงมา!ลมพายุคลั่งพลันสงบลง เมฆดำที่ม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้าก็ราวกับหยุดนิ่งสายตาของผู้คนทั้งหมดในลาน ต่างจับจ้องไปยังลานประลองตามิกะพริบส่วนฉินซูในเวลานี้ กำลังเงยหน้าขึ้น มองเงาร่างมังกรขนาดใหญ่ที่กำลังถั่งโถมลงมาโดยมิแสดงอ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status