ถังมู่เหรินมองพอแล้ว คืนนั้นทั้งคืน เขาพักอยู่ห้องใกล้ๆ นาง ได้ยินเสียงเอะอะ และทำลายข้าวของเกือบทั้งคืน นางบ่นได้ทุกอย่าง ทั้งมืด เตียงไม่นุ่ม ผ้าห่มไม่มากพอ น้ำไม่ร้อน แม้กระทั่งพื้น นางก็บ่นว่าไม่ปูพรม
“ข้าจะทนแต่งกับคนเช่นนี้ได้เช่นไร เว่ยอี เจ้าว่าข้าควรจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรดี”
เว่ยอีหันมามองเขา และได้ยินเสียงองค์หญิงขว้างแก้วชา หรือไม่ก็กระถางอะไรสักอย่างลงบนพื้นจนแตก เขาไม่รู้จะเห็นใจท่านอ๋องอย่างไรดี จึงส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เขาแทน
1 สัปดาห์หลังจากนั้น
“เสด็จแม่ ลูกไม่แต่งนะเจ้าคะ ข้าไม่มีทางแต่งไปเป็นเครื่องบรรณาการแบบนั้น ท่านต้องช่วยข้านะเพคะ”
"ลูกรัก แต่เสด็จพ่อจัดแจงเรื่องนี้ไว้แล้ว แม่…
“เสด็จแม่ เหตุใดไม่ส่งท่านพี่ซีเฟยไปล่ะเจ้าคะ นางก็เป็นองค์หญิงเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นองค์หญิงของฮองเฮาองค์ก่อน แต่ก็เป็นองค์หญิง ส่งนางไปแทนลูกนะเพคะ เสด็จแม่ ลูกไม่ไปนะเจ้าคะ แต่งกับอ๋องใจเหี้ยมที่วันๆ เอาแต่ทำสงคราม เสด็จแม่ ท่านทนเห็นลูกลำบากได้งั้นหรือเพคะ”
“แต่การแต่งไปเป็นพระชายาแคว้นชิงโจว ถือเป็นเกียรติสูงสุดนะลูก เจ้า ไม่อยากได้งั้นหรือ”
“หากลูกต้องแต่งไปเป็นพระชายากับปิศาจสงครามนั่น ลูกไม่ไปเจ้าค่ะ ลูกอยู่กับเสด็จแม่ที่นี่ดีกว่า อีกอย่าง ลูกยังเด็กอยู่นะเพคะ เสด็จแม่ ท่านพี่ซีเฟยอายุมากกว่าลูก นางสมควรออกเรือนไปได้แล้วนะเพคะ”
“ปัญหาคือนางมีสัญญาหมั้นหมายกับสือเยว่เทียนไว้แล้วน่ะสิ”
“ท่านพ่อแค่ยกเลิก และแต่งตั้งนางไปก็หมดเรื่องเพคะ เสด็จแม่ แค่สัญญา เทียบกับราชโองการระหว่างแคว้นไม่ได้”
“ข้าจะลองคุยกับเสด็จพ่อเจ้าดู แม่เองก็ไม่อยากให้เจ้าแต่งไปเท่าไหร่หรอก”
“ข้ารักเสด็จแม่ที่สุดเลยเพคะ
ตำหนักองค์หญิงซีเฟย
"ทำไมข้าต้องแต่งเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเขา เพียงเพื่อระงับสงครามงั้นหรือ เขาที่เรียกว่าปิศาจไร้หัวใจคนนั้น"
“แต่ฝ่าบาทมีพระราชโองการมาแล้วนะเพคะ องค์หญิง เห็นทีเรื่องนี้ คงยากที่จะเลี่ยงเพคะ”
จ้าวเฟยซี องค์หญิงแห่งแคว้นเยี่ยน นางเป็นพระธิดาระหว่างฮองเฮาองค์ก่อน และฮ่องเต้จ้าวอี้ฝาน
“ชะตากรรมข้า ไม่เคยได้กำหนดเองตั้งแต่เกิดอยู่แล้วนี่ หึ ก็ดี ที่นั่น อาจจะดีกว่าวังหลวงที่เหน็บหนาวนี้ก็เป็นได้”
ราชโองการ
“ให้ชินอ๋อง องค์ชายถังมู่เหริน กลับเมืองหลวง เพื่อรอเข้าพิธีอภิเษก”
"มีราชโองการ ให้องค์หญิง จ้าวซีเฟย อภิเษกสมรสกับชินอ๋อง องค์ชายถังมู่เหรินแห่งแคว้นชิงโจว กำหนดส่งตัวเจ้าสาว อีก 9 วันหลังจากนี้
""รับราชโองการ""
“ถังมู่เหริน”
“จ้าวซีเฟย”
""รับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ""
แคว้นชิงโจว : ส่งตัวเจ้าสาว
ขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่ยิ่งใหญ่ กำลังผ่านในเมือง เข้าสู่พิธีการในวังหลวงของแคว้นชิงโจว ชาวบ้านต่างตื่นตากับขบวนเจ้าสาวนี้มาก ตั้งแต่ขบวนเกี้ยวที่สวยงามดูแปลกตา
เกี้ยวแปดเหลี่ยมมีผ้าคลุมสีแดงประดับด้วยมุกและเพชรพลอยหลากสีรอบๆ ตัวเกี้ยว และระหว่างที่เกี้ยวผ่าน จะมีการโปรยกลีบดอกไม้ พร้อมกับทับทิมสีแดงไปตลอดทาง เพื่อเสริมศิริมงคล เหล่าชาวบ้านต่างมารอเก็บอัญมณีทับทิมตามขบวนเจ้าสาว
“เสด็จอา อีกนานมั้ยเพคะ กว่าจะถึงวังหลวง”
“ข้างหน้านี่แล้วล่ะ เจ้า รู้สึกไม่สบายหรือซีเฟย”
“เปล่าเพคะ เพียงแค่ถามดูเฉยๆ”
“ไม่ต้องห่วงนะ อาจะอยู่จนส่งเจ้าเข้าจวนอ๋อง ถึงจะกลับแคว้น หากเจ้ามีอะไรขาดตกบกพร่อง อาจะจัดการสรรหาให้ ก่อนที่จะกลับ”
จ้าวอี้เหลียง เสด็จอาที่จ้าวซีเฟยให้ความเคารพรักมากที่สุด เพราะเขาดูแลนาง หลังจากที่นางสูญเสียมารดา คือฮองเฮาอวิ๋นเฟยอี้ไปเมื่อ 10 ปีก่อนเพราะโรคระบาด
หลังจากนั้น จ้าวซีเฟยทุ่มเทกำลังทั้งหมดของนาง เรียนรู้วิชาการแพทย์ สมุนไพร และการใช้พิษ นางมีเข็มเงินพิษเป็นอาวุธ ฉู่อันเหมย คนสนิทของนาง เก่งวรยุทธ และเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ช่วยนางในการปรุงยาได้ และอาเหยา สาวใช้ที่โตมาด้วยกัน พวกนางสามคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และในครั้งนี้ ก็ติดตามมาอยู่กับนางด้วย
“ขบวนเจ้าสาวเข้าวังหลวง เปิดประตู”
เสียงทหารองครักษ์ ตะโกนเพื่อให้เปิดประตู ทับทิมชุดสุดท้ายถูกโปรยออกไปหน้าประตูวัง และประตูก็ค่อยๆ ปิดลง ขบวนถึงลานหน้าพระที่นั่งแล้ว เกี้ยวหยุด และถูกวางลง
บนลานพระราชพิธีนั้น มีผู้คนมากมายที่รอรับอยู่ ถังมู่เหริน สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงสด ทอด้วยผ้าไหมและทองคำบริสุทธิ์ ประดับลวดลายอย่างวิจิตร ผมที่ถูกรวบขึ้นไปด้านบนจนหมดรัดด้วยรัดเกล้าสีทอง ประดับด้วยทองและไพลินสีน้ำเงินสลับแดง ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา ส่งให้ใบหน้าเขาดูอิ่มเอิบและดูรูปงาม น่าเกรงขามยิ่งนัก
ถังมู่เหรินเดินลงมาจากลานพิธี เพื่อมารับเจ้าสาวที่เกี้ยว เขาค่อยๆ เปิดเกี้ยว นางยื่นมือออกมา เขาจับมือนางเอาไว้ มือนางช่างนิ่มและละผิวละเอียดดีจัง เขาประคองนางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง วันนี้นางช่างเก็บอารมณ์ได้ดีนัก คงเตรียมการมาดีสินะ หึ เขายิ้มเหยียดๆ ไปที่เจ้าสาวตรงหน้าเขา ก่อนที่จะพานางเดินขึ้นไปยังท้องพระโรงด้านหน้า เพื่อทำพิธีคำนับฟ้าดิน
…… ส่งตัวเข้าหอ ……..
เจ้าสาวถูกนำตัวไปส่งที่ห้องหอ ที่จวนอ๋อง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากวังหลวง ถังมู่เหรินขี่ม้านำขบวนเกี้ยวเพื่อพาเจ้าสาวกลับจวนอ๋อง ภายในจวนอ๋อง มีการประดับตกแต่งด้วยโคมและผ้ามงคลสีแดงทั้งจวนเพื่อต้อนรับพระชายาชินอ๋อง
แม่สื่อนำเจ้าสาวเข้ามาที่ห้องหอ นางนั่งรออยู่ตรงนั้น ก่อนที่ชินอ๋องจะเดินเข้ามา เขาแปลกใจที่เครื่องเรือนในห้องยังอยู่ดี โดยที่ไม่ถูกนางโยนทิ้ง และนางที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตา เวลาแค่ไม่กี่วันที่เขาได้เจอนาง หลังจากนั้น นางไปฝึกมารยาทแบบเร่งด่วนมางั้นหรือ เหตุใดจึงนิ่งได้ขนาดนี้
“องค์หญิง ข้ายังไม่ชินกับการที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย ช่วงระหว่างนี้…… เอ่อ…..”
“ท่านอ๋องเชิญพูดได้เลยเพคะ หม่อมฉันจะไม่ขัด”
"ข้าจะแยกห้องกับเจ้า"
"ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นเพคะ"
"งั้นก็ตกลงตามนี้ เราสองคน ต่างคน ต่างอยู่"
"ย่อมได้ รับพระบัญชาเพคะ"
นี่นางเป็นอะไร เหตุใดถึงนิ่งได้จนถึงตอนนี้ ทำไมเขารู้สึกหงุดหงิดอย่างประหลาด นางถามคำ ตอบคำ หรือว่าเป็นเพราะความหยิ่งยโสของนาง จึงเป็นเช่นนี้ เขาสะบัดแขนและเดินออกไป กลับพบว่าแม่สื่อยืนรออยู่นอกห้อง
“ท่านอ๋อง ท่านต้องดื่มเหล้ามงคล และเปิดหน้าเจ้าสาวก่อน คืนนี้ พระองค์ไม่ควรออกจากห้องนี้นะเพคะ และในตอนเช้า จะมีพิธีตรวจผ้าปูที่นอนด้วยเพคะ”
ชินอ๋องปิดประตูใส่แม่สื่อ เขาไม่อยากอยู่ในห้องนี้อีกแม้แต่นาทีเดียว แต่ในเมื่อเป็นพิธีการ จึงขัดไม่ได้ เขายกสุรามงคลไปนั่งข้างๆ นาง
“องค์หญิง ดูเหมือนว่าคืนนี้ เราคงต้องถูกขังอยู่ด้วยกันที่นี่ มา ดื่มเหล้ามงคล”
พวกเขาดื่มเหล้ามงคลเสร็จและวางถ้วยลง
“ดูเหมือนว่า ข้าต้องเปิดหน้าเจ้าด้วย ขออภัยด้วยนะองค์หญิง ล่วงเกินแล้ว”
ถังมู่เหรินเดินไปหยิบไม้มงคลเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว เขาค่อยๆ เปิดผ้าแดงคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้น ……………………..
หลังจากที่ได้รับฟังเรื่องต้องห้ามนั่นแล้ว องค์รัชทายาทจึงได้คิดเปลี่ยนแผนทันที เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเซี่ยหนานมากเล่ห์กล แต่ไม่คิดว่าจะกล้าทำกับเขา ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นราชบุตรเขย เขากลับเข้าห้อง และให้องครักษ์ส่วนตัวเข้ามาพบและปิดประตูอย่างแน่นหนาก่อนจะหารือกันในนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม“พวกเจ้าแยกกันทำงาน อย่าให้ใครจับได้ล่ะ”“พ่ะย่ะค่ะ”“พวกเจ้าคิดไม่ซื่อก่อน จะหาว่าข้าโหดเหี้ยมไม่ได้นะ”พยัคฆ์น้อยอย่างเขาก็ใช่ว่าจะน้อยเล่ห์เสียเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะกลศึกหรือกลยุทธ์ในการจัดการคน เขาก็มิได้ด้อยไปกว่าชินอ๋อง หรือพี่น้องคนใดในชิงโจว เพียงแต่เขา ชอบวางแผนและให้ผู้อื่น ออกไปรบแทนเขาก็เท่านั้นเอง เขาไม่ได้ชอบจับดาบสู้รบเหมือนชินอ๋อง ที่ขึ้นชื่อว่าปิศาจสงคราม เพราะหน้าที่ของเขาคือกุนซือ แต่หากจำเป็น ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีฝีมือ สายตาเหี้ยมเกรียม มองไปยังพระตำหนักหรูหราสีขาวตรงหน้า ยอดพระตำหนักยังมีธงชัยของเซี่ยหนานโบกสะบัดอย่างท้าทายในความรู้สึกเขา“อีกไม่นาน ข้าจะเปลี่ยนธงนั่น เป็นธงของชิงโจวของข้า”3 วันถัดมาราชบุตรเขยถูกเชิญให้ร่วมประชุมเช้าของเซี่ยหนานด้วย เนื้อหาสาระในที่ประชุมก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป
“ข้าต้องรอการยืนยันก่อน ตราบใดคนของเรายังไปไม่ถึงชายแดน พวกเขาจะยังปลอดภัย กองกำลังที่มีอยู่ตรงนั้นเพียงพอแค่ต้านทัพเล็กของเซี่ยหนานเท่านั้น หากเขายกทัพใหญ่เข้าชายแดนมา เราอาจจะต้านไม่ไหว”“หากเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับว่าเซี่ยหนานหลอกให้พี่ใหญ่เข้าไปติดกับ และให้เขาเป็นตัวประกันเพื่อจะยึดอำนาจชิงโจว”“ข้าจึงเร่งมารือกับท่านอ๋องเรื่องนี้ ต้องเร่งป้องกัน ไม่ให้เขานำทัพข้ามฝั่ง และเข้ามาถึงเมืองหลวงได้ ไม่เช่นนั้น ความสูญเสีย อาจจะมากจนคาดไม่ถึง”“หากจะปะทะ ต้องป้องกันไม่ให้เขาข้ามที่ชายแดนมาได้ ต้องกันไม่ให้เขายกทัพมาถึงเมืองหลวง”การวางแผนตั้งทัพก่อนกำหนดจึงเริ่มขึ้น แต่ด้วยความเชี่ยวชาญการวางกลยุทธการศึกของชินอ๋อง เรื่องนี้ทำให้อาจารย์อารู้สึกเลื่อมใสในตัวชินอ๋องมากขึ้น พวกเขาปรึกษาการศึกนี้อยู่นานกว่าสามชั่วยาม เมื่อซีเฟยยกน้ำชาและอาหารรอบดึกมาให้พวกเขา “เฟยเฟย เจ้ามาพอดี มานั่งนี่สิ ข้ากับท่านอา มีเรื่องจะหารือกับเจ้าด้วย”“เพคะ พวกเจ้าเอาของไปเก็บเถิด ข้าจะกลับพร้อมท่านอ๋อง”“เพคะ”อันเหมยและอาเหยาเก็บชุดอาหารชุดเดิมออกไป ก่อนที่พวกนางจะกลับไปพักผ่อน ตามคำสั่งของพระชายา พวกเขาอยู่ใ
เขาจูบนางอย่างหนักหน่วงราวกับเป็นการลงโทษ ซีเฟยเองก็รู้ตัวว่ามีความผิด นางยอมรับโทษแต่โดยดี หากขัดขืน เกรงว่าคืนนี้อาจจะไม่มีชีวิตรอดออกไปจากรังหมาป่านี้แน่นอน“อ๊าา ท่านพี่ ท่าน เบาลงหน่อย อ๊าา”เขาเลื่อนลงมาโลมเลียหน้าอกทั้งสองของนาง สลับกับเคล้าคลึงเล่นอย่างหิวกระหาย รุนแรงกว่าทุกครั้ง นางทำได้เพียงกอดเขาเอาไว้ ก่อนที่เขาจะผลักนางเบาๆ ให้ลงไปนอนแผ่บนเตียง“เฟยเฟย เจ้าทำให้ข้าโกรธ”ซีเฟยมองหน้าเขาอย่างสำนึกผิดเล็กน้อย นางเอื้อมสองมือไปจับแก้มเขาเบาๆ“ไหนพระองค์บอกว่าจะไม่หึงพี่เยว่เทียนแล้วอย่างไรเล่าเพคะ เหตุใดถึงยัง อ๊ะ..”เขาดึงนิ้วนางไปกัดเล่นและดูดเป็นจังหวะจนนางรู้สึกเสียววาบแปลกๆ“ข้าไม่หึงเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ควรมาทดสอบความอดทนของข้า เข้าใจหรือไม่”กระต่ายน้อยทำหน้าสำนึกผิดต่อหมาป่าผู้หิวโหย มีหรือว่าเขาจะฟังเหตุผล ในเมื่อเขาหาเรื่องจะกินกระต่ายตัวนี้อยู่แล้ว..“หม่อมฉันรู้ผิดแล้วเพคะ พระองค์อย่ารุนแรงนักเลยเพคะ ชุดผ้าต่วนนั่นราคาสูงนักนะเพคะ หม่อมฉันอุตส่าห์ อ๊าาา มู่เหริน อ๊าา อึ๊ยยยย”นางไม่อาจจะต้านทานอารมณ์หึงหวงของเขาได้เลย สามีของนางไม่เคยยอมให้นางพูดถึงบุรุษใดนานเกินไป เ
เมื่อผ่านงานอภิเษกมาแล้ว องค์รัชทายาททูลขอฝ่าบาทเดินทางไปยังแคว้นเซี่ยหนาน เพื่อแสดงความเคารพต่อ เหมยต้าจื่อหลง ฮ่องเต้ของแคว้นเซี่ยหนานในฐานะราชบุตรเขย ครั้งนี้เป็นหน้าที่ของจวิ้นอ๋อง หรือองค์ชายสี่นำส่งเสด็จพร้อมกับแม่ทัพซู่อีอี ซึ่งก่อนออกเดินทางพระสนมหลินมาแจ้งข่าวดีกับทั้งคู่ว่า ฝ่าบาทจะออกราชโองการเรื่องงานสมรสของพวกเขา หลังจากที่ไปส่งองค์รัชทายาทกลับมา สร้างความดีใจให้กับองค์ชายสี่ยิ่งนัก“อีอี เจ้าได้ยินหรือไม่ เสด็จแม่บอกว่าเสด็จพ่อจะออกราชโองการสมรสให้เราแล้ว ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะที่ทรงช่วยเรื่องนี้”“ขอบพระทัยพระสนมเพคะ”“อีอี เจ้าเรียกผิดแล้วล่ะ เจ้าต้องเรียกว่า เสด็จแม่ถึงจะถูก”“แต่ข้ายัง……”“อีอี เจ้าฝึกเรียกไว้ก็ไม่เสียหลายหรอกนะ เข้ามานี่สิ”พระสนมหลินเรียกนางเข้าไปหาอย่างรู้สึกเอ็นดู อีอีเป็นเด็กสาวที่นางเห็นมาตั้งแต่เด็ก วันนี้นางโตพอที่จะออกเรือนแล้ว และยังแต่งให้ลูกชายของนางอีกด้วย เท่ากับว่านางไม่ได้เสียใครไป พระสนมหลินยื่นกำไรหยกสีเขียวอ่อนในกล่องไม้หรูหราส่งให้นาง“พระสนมเพคะ นี่คือ..”“ของหมั้น ข้าให้เจ้า รับเอาไว้นะเด็กดี ของหมั้นอื่นๆ ข้าจะจัดการตาม
“องค์หญิง นี่เจ้า….”“หากท่านยอมตกลง ตราแม่ทัพสองอันนี้ จะเป็นของท่าน”องค์รัชทายาทมองป้ายทองในมือของนาง นั่นคือป้ายสั่งการกองทัพของเซี่ยหนาน มีอันเล็กกับอันใหญ่“หรือว่าท่าน ยังอาลัยอาวรณ์น้องชายต่างมารดาอยู่อย่างนั้นหรือ องค์ชาย คิดการใหญ่อย่าได้มีสัมพันธ์กับผู้ใดให้มากนัก แม้แต่พี่น้อง ท่านก็ต้องยอมเสียสละ เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ว่าอย่างไร”องค์รัชทายาทมีสีหน้าลังเลอยู่เล็กน้อย นี่เขายังมีจิตใจห้วงหนึ่งที่ยังห่วงพี่น้องอยู่ เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายพี่น้อง หากไม่จำเป็น เขาคิดเพียงแค่ข่มขู่ให้เสด็จพ่อสละราชบัลลังก์ และยึดอำนาจทางการทหารของชินอ๋องเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะฆ่าเขา ถึงจะส่งคนไปฆ่าชินอ๋อง แต่ก็ไม่ได้อยากลงมือเอง“เหตุใดต้องฆ่าเขา เจ้าต้องการแค่ชีวิตของพระชายามิใช่หรือ เจ้าไม่ได้รักเขาหรอกหรือ”“รัก หึ ข้าน่ะหรือ ถึงข้าจะรัก แล้วเช่นไรล่ะ ตอนนี้ข้าเป็นพระชายาของท่าน เป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตอันใกล้ แล้วข้าจะเก็บเขาไว้ทำไม ในเมื่อเขาไม่เคยคิดมีใจให้กับข้าเลย ท่านอย่าลืมสิ ว่าใครเป็นผู้ที่ทำให้ท่านอับอาย อย่าลืมว่าใคร เป็นคนบีบให้ท่าน แต่งงานกับสตรีเช่นข้า ทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แล้ว ว่าข้
วันนี้ในวังหลวงคึกคักมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่ประตูเข้าวังหลวง ยาวมาถึงลานพระราชพิธี ทั่วทั้งพระตำหนักบูรพา และท้องพระโรง ต่างประดับและตกแต่งด้วยดอกไม้และโคมมงคลสีแดง ทั่วทั้งวังหลวง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวันพิธีมงคลสมรสขององค์รัชทายาทและองค์หญิงแคว้นเซี่ยหนานรถม้าของชินอ๋องค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่วังหลวง แม้แต่รถม้าของเหล่าบรรดาแขกทั้งเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนาง ต่างก็ประดับประดาด้วยผ้ามงคลสีแดงทุกๆ คัน ซีเฟยเห็นลานพระราชพิธีที่ปูผ้าแดงนี้ แล้วนึกย้อนไปถึงวันที่นางมาถึงที่นี่เป็นวันแรก วันนั้นทั้งรู้สึกตื่นเต้น หวาดกลัว เหงาและโดดเดี่ยว และไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองแต่วันนี้ ที่นางได้เข้ามาที่นี่อีกครั้ง พร้อมกับมือคู่นี้ ที่จับนางและเดินเข้าท้องพระโรงไปพร้อมกัน กลับอบอุ่นยิ่งนัก เขาคือคนรักของนาง เป็นทั้งพระสวามี ครอบครัว และชีวิตที่เหลือของนาง วันนี้นางไม่โดดเดี่ยวอีกและ เมื่อหันไปมองหน้าเขา และเขาก็ส่งยิ้มบางๆ มาให้นาง“เฟยเฟย เจ้าคิดอะไรอยู่งั้นหรือ กำลังคิดเรื่องเดียวกันกับข้าหรือไม่”“พระองค์คิดเรื่องใดเล่าเพคะ”“ข้าคิดถึงวันที่มารับตัวเจ้าที่นี่ วันแรกที่เราได้พบกัน นึกแล้ว เวลาช่างเ