ก่อนออกจากจวนกั๋วกงในเช้าวันถัดไป ทุกคนได้รับคำอวยพรจากเจิ้งกั๋วกงพร้อมกับเสบียงอาหารและเสื้อผ้าที่พ่อบ้านเตรียมเอาไว้ให้อย่างพอเพียง หลายคนที่ไม่มีแหวนเก็บของก็ได้รับแจกจากเจิ้งกั๋วกง ทำให้เด็ก ๆ ต่างซาบซึ้งกับความเมตตาที่เจิ้งกั๋วกงมีให้เด็กอย่างพวกเขาที่ไม่มีเงินทองมากพอจะซื้อแหวนเก็บของ
“ตาขอให้พวกเจ้าปลอดภัยนะ ดูแลกันและกันให้ดี อย่าเสี่ยงอันตรายมากเกินไปเล่า อย่างไรอนาคตของพวกเจ้ายังสดใสหากยังมีชีวิตอยู่”
“ขอบพระคุณท่านกั๋วกงขอรับ/เจ้าค่ะ” เด็ก ๆ รีบกล่าวขอบคุณ
“หลินเอ๋อ เจ้าต้องดูแลเพื่อน ๆ กับเสี่ยวจู้ให้ดีเล่า อย่าทำให้ตาต้องเป็นห่วง”
“หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ พวกเรารีบไปกันเถอะ หากช้ากว่านี้กลัวว่าคนจะเยอะ”
“ตกลง ไปกันเถอะ ตาเองก็มีนัดกับฝ่าบาทเช่นกัน”
เจิ้งกั๋วกงอุ้มเสี่ยวจู้เดินนำทุกคนไปยังลานกลางเมืองอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม เขามั่นใจว่าเด็ก ๆ ที่พักอยู่ในจวนจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง จากที่ดูนิสัยใจคอมาหลายวันนี้เขาก็ทราบแล้วว่าทุกคนเป็นอย่างไรณ ลานกลางเมือง ตอนนี้เต็มไปด้วยศิษย์สำนักต่าง ๆ ที่ฟังคำแนะนำจากอาจารย์ของตนเองก่อนจะเริ่มการแข่งขัน พวกเขาพร้อมกับสัตว์อสูรพักผ่อนกันอย่างเต็มที่แล้ว อีกทั้งสัตว์อสูรของพวกเขาแต่ละตัวล้วนเป็นสัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงแทบทั้งนั้น มีน้อยมากที่เป็นสัตว์อสูรระดับปฐพีและฟ้ากระจ่างเฟินเสี่ยวหยางที่มาพร้อมกับครอบครัวไปนั่งรอคนจากสำนักตนเองอย่างไม่สนใจสายตาใครที่มองมายังจิ้งจอกเงินของเขา เขายังยืดอกอย่างภาคภูมิใจในสัตว์อสูรของตนอีกด้วย ส่วนเฟินหลางนั้นก็เข้าไปประจบประแจงขุนนางใหญ่ที่มาดูลูกหลานของตนเองเข้าร่วมการแข่งขันเช่นกันวันนี้มีฮ่องเต้พร้อมกับราชวงศ์หลายคนมาชมการแข่งขัน ทุกคนอยากดูว่าเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้จะมีฝีมือมากเพียงใด เพราะแต่ละสำนักล้วนแต่มีจุดเด่นแตกต่างกันอยู่แล้ว อีกทั้งพวกเขายังเป็นกำลังหลักของแคว้นในอนาคตด้วยกลุ่มคนจากจวนกั๋วกงเดินทางมาถึงลานประลองในเวลาไม่นาน ก่อนที่จะแยกกับเจิ้งกั๋วกงขึ้นไปยังเวทีเพื่อรอเริ่มการแข่งขัน วันนี้อาจารย์ทั้งสี่ได้รับเชิญให้เป็นตัวแทนซ่อนตัวถ่ายภาพในภูเขาเซียวเจ๋อจากเจ้าสำนักซิวหยางด้วย เนื่องจากจำนวนอาจารย์ของสำนักซิวหยางไม่เพียงพอ พวกเขาจึงขอความร่วมมือจากอาจารย์สำนักอื่น ๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขันเฟินเสี่ยวหยางเห็นเพื่อน ๆ มาถึงก็ลงไปรวมตัวทันที เขายังไม่รู้ว่าตนเองจะได้เข้าร่วมกลุ่มของใคร จนกระทั่งต้วนหยงแจ้งให้ทราบว่าเขานั้นอยู่ร่วมกับคนตำหนักกระบี่ทั้งหมดก็ยิ่งยิ้มอย่างถือดี“โชคดีที่ข้าไม่ได้ร่วมกลุ่มกับคนอ่อนแออย่างพวกนั้น รอบแรกนี้เราจะต้องผ่านเข้ารอบได้อย่างแน่นอน” เฟินเสี่ยวหยางกล่าว
“เจ้าก็อย่าเพิ่งมั่นใจนักเลย ในเมื่อการแข่งขันครั้งนี้มีเพียง 3 กลุ่มเท่านั้นที่จะได้เข้าสู่รอบถัดไปน่ะ” คังหมิงกล่าวอย่างหมั่นไส้
“นั่นน่ะสิ เจ้าไม่เห็นหรือว่าสำนักอื่นก็มีฝีมือไม่ต่างจากพวกเรา” เหยียนหลงเอ่ย
“พวกเจ้าอ่อนแอเกินไปแล้ว แค่การแข่งขันรอบแรกข้าจะพาพวกเจ้าฆ่าสัตว์อสูรเพื่อรับป้ายคะแนนจำนวนมากได้แน่ ชิ” เฟินเสี่ยวหยางอวดโอ่ฝีมือตนเอง
“เจ้าก็อย่าอวดดีนักเลยเฟินเสี่ยวหยาง การแข่งขันรอบแรกต้องการให้เราเก็บแค่ป้ายคะแนนไม่ใช่การฆ่าสัตว์อสูรในภูเขาเซียวเจ๋อสักหน่อย” ขุยอันกล่าว
“ใช่ ๆ ถ้าเรามัวแต่เสียเวลากำจัดสัตว์อสูร แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปตามหาป้ายคะแนนกันเล่า เจ้าก็พูดไม่คิดเลยนะเฟินเสี่ยวหยาง” ต้วนหยงกล่าว
“ชิ ถ้าพวกเจ้ากลัวก็อย่าพูดมากน่า การแข่งรอบแรกนี้เราต้องชนะเท่านั้น”
ศิษย์ทั้งสี่ที่ฟังเฟินเสี่ยวหยางต่างส่ายหัวกับความขี้อวดของเขา พวกเขายังจำคำแนะนำของอาจารย์ก่อนหน้านี้ได้ดีจึงไม่คิดจะสนใจเสียงนกเสียงกาอย่างเฟินเสี่ยวหยางอีกกลุ่มของเจิ้งหลินที่อยู่ไม่ไกลก็กำลังวางแผนกันอยู่ว่าจะแข่งขันอย่างไร พวกนางไม่อยากทำร้ายสัตว์อสูรมากนักเพราะต้องการเพียงแค่ป้ายคะแนนเท่านั้น“อืม… พวกเราหากได้ป้ายคะแนนแล้วก็เดินทางต่อน่าจะดีนะ ข้าเองก็ไม่อยากเสียเวลากับการทำร้ายสัตว์อสูรพวกนั้น” กวงจื้อจิ่งกล่าว
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า” หญิงสาวทั้งสี่กล่าวพร้อมกันด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เสี่ยวจู้เล่าคิดอย่างไร หืม?” เจิ้งหลินถามเสี่ยวจู้
“ข้าคิดว่าทำตามที่พวกเจ้าว่าน่าจะดี หากมีสัตว์อสูรตัวใดมาหาเรื่องพวกเราข้าจะพาสัตว์อสูรตัวอื่นจัดการเอง เจ้าอย่าได้กังวล” เสียงเล็ก ๆ น่ารักกล่าวออกมาเสียงใส
“ฮ่า ฮ่า เจ้านี่น่ารักจริง ๆ เสี่ยวจู้ มีเจ้าอยู่พวกเราจะต้องผ่านเข้ารอบแน่”
เด็ก ๆ ทั้งสี่ต่างเยินยอเสี่ยวจู้ผู้น่ารักจนมันแทบจะตัวลอยอยู่มะรอมมะร่อ ทำเอาสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ได้แต่กลอกตามองบนและคิดในใจว่าพวกมันต่างหากที่เป็นสัตว์อสูรของพวกเขาน่ะ แต่พวกเขากลับเอาแต่หยอกล้อกับท่านเสี่ยวจู้เสียอย่างนั้นอาจารย์หลายสำนักแยกตัวออกจากศิษย์ของตนไปรับหินถ่ายภาพและเดินทางเข้าไปยังภูเขาเซียวเจ๋อเพื่อประจำตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายในเวลาไม่นาน จากนั้นพิธีกรประจำการแข่งขันครั้งนี้ได้กล่าวเรียกศิษย์ทุกคนให้เข้าแถวเป็นกลุ่ม และปล่อยตัวกลุ่มผู้เข้าร่วมการแข่งขันอย่างไม่ให้เสียเวลากลุ่มของเจิ้งหลินขี่หลังสัตว์อสูรของตนเดินทางไปยังทิศตะวันตกเพื่อขึ้นเขาเซียวเจ๋อ เสี่ยวจู้ที่เห็นตัวเล็กน่ารักก่อนหน้านี้กลับขยายตัวจนเทียบเท่าสิงโตทองของหานชิงแล้วให้เจิ้งหลินขี่หลังเช่นกัน“โอ้ ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวจู้น้อยจะมีความสามารถเช่นนี้” เจิ้งกั๋วกงที่เห็นภาพตรงหน้าเข้ารีบเอ่ยอย่างตกตะลึง
“เจ้าพูดถึงใครน่ะ เจิ้งกั๋วกง” ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างสงสัย
“กระหม่อมพูดถึงสัตว์อสูรตัวน้อยของหลานสาวพะย่ะค่ะ หมูน้อยตัวนั้นขยายตัวได้ด้วยพะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจิ้งกั๋วกงชี้ไปยังเสี่ยวจู้บนเวที
“อ้อ หมูสีชมพูตัวใหญ่นั่นน่ะเหรอสัตว์อสูรของหลานสาวเจ้า”
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ เสี่ยวจู้น่ารักมากใช่ไหมฝ่าบาท” เจิ้งกั๋วกงรีบอวด
“น่ารักแล้วอย่างไรเล่า มันจะสู้กับสัตว์อสูรดุร้ายบนเขาเซียวเจ๋อได้หรือ?”
“หลานสาวกระหม่อมบอกว่าเสี่ยวจู้ต่อสู้เก่งมากพะย่ะค่ะ”
“แน่ใจหรือ? เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้าหมูตัวนั้นน่าจะมีไว้เพื่อเสริมความน่ารักเท่านั้น”
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งตัดสินเพียงแค่ภายนอกสิพะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าหลานสาวไม่โกหกกระหม่อมเรื่องนี้แน่”
“เช่นนั้นพวกเรามาคอยดูกันว่าเสี่ยวจู้ของเจ้าจะสู้กับสัตว์อสูรดุร้ายบนเขาได้หรือไม่”
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท เรามาดูกัน” เจิ้งกั๋วกงกล่าวอย่างมั่นใจ
เสี่ยวจู้ที่ไม่อยากเป็นจุดเด่นนักปล่อยให้สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ วิ่งนำหน้าไป ส่วนมันนั้นแทบจะคลานเอาอยู่แล้วแต่ก็ยังตามทัน ทั้งที่ความจริงเสี่ยวจู้สามารถวิ่งได้เร็วกว่าสัตว์อสูรทุกตัวในกลุ่มเสียด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่ามันไม่อยากเผยความสามารถมากนักล่ะก็ มันก็คงไม่ทำเช่นนี้เฟินเสี่ยวหยางที่ขี่บนหลังจิ้งจอกเงินเห็นเข้าก็นึกดูถูกเจิ้งหลินมากขึ้นไปอีกที่ทำได้แค่นั่งบนหลังหมูตัวหนึ่ง ต่างจากเขาที่ได้นั่งบนหลังจิ้งจอกเงินที่แสนจะสง่างามลิบลับศิษย์สำนักอื่น ๆ ต่างมองหมูสีชมพูตัวใหญ่เป็นตาเดียวกัน พวกเขาคราแรกคิดว่าหมูตัวนี้คงตามความเร็วสัตว์อสูรตัวอื่นไม่ทัน แต่กลับกลายเป็นว่าเสี่ยวจู้นั้นไม่ได้อยู่ห่างจากกลุ่มของตนเลยแม้แต่น้อยเมื่อไปถึงตีนเขาเซียวเจ๋อ เสี่ยวจู้ถูกสั่งให้นำทางแทนสัตว์อสูรตัวอื่นในกลุ่มอย่างที่เจิ้งหลินได้เตรียมการกับเพื่อน ๆ เอาไว้ล่วงหน้า“พวกเจ้าตามข้าให้ทันเล่า” เสี่ยวจู้เอ่ยขึ้นให้สัตว์อสูรตัวอื่นได้ยินทางกระแสจิต
“ทราบแล้วขอรับท่านเสี่ยวจู้” พวกมันรีบรับคำพร้อมกัน
เสี่ยวจู้พากลุ่มของเจิ้งหลินเดินทางอ้อมไปยังหลังเขาเซียวเจ๋อด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่ทัน ทำเอาสัตว์อสูรตัวอื่นเกือบจะตามไม่ทันเสียแล้ว โชคดีที่เสี่ยวจู้คอยแผ่พลังดูว่าพวกมันตามมาถึงไหนแล้ว มันจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก ที่มันพาทุกคนไปยังหลังเขาเพราะมันตรวจพบว่าที่นั่นมีสัตว์อสูรมากกว่าด้านหน้า เสี่ยวจู้คาดว่าป้ายคะแนนแถวนั้นน่าจะมีจำนวนมากกว่าเมื่อไปถึงด้านหลังเขาแล้ว เสี่ยวจู้ก็ย่อตัวลงให้เจิ้งหลินลงจากหลังของมันก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเล็ก ๆ ให้ทุกคนในกลุ่มได้ยิน“พวกเจ้าเริ่มหาป้ายคะแนนจากที่นี่ขึ้นไปยังยอดเขาเถอะ ข้าจะคอยดูแลความปลอดภัยให้เอง”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าแถวนี้จะมีสัตว์อสูรมากกว่าอีกด้าน” เจิ้งหลินถามอย่างสงสัย
“แน่ใจสิ เจ้าเชื่อข้าเถอะน่า อย่างไรกลุ่มของเจ้าต้องผ่านเข้ารอบแน่ ๆ ไปกัน” เสี่ยวจู้เอ่ยจบก็เดินนำทางอาด ๆ ทั้งที่ตัวเองย่อตัวลงจนเล็กจิ๋วเหมือนเดิม
“เฮ้อ เช่นนั้นก็ตามมันไปกันเถอะ” เจิ้งหลินเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก
คนอื่น ๆ ไม่ได้พูดสิ่งใดนอกจากสำรวจสภาพแวดล้อมในตอนนี้ ซึ่งบริเวณโดยรอบเงียบงันอย่างกับป่าช้า พวกเขาจึงคิดว่าเสี่ยวจู้น่าจะแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่เดินไปเพียงไม่นาน พวกเขากลับเห็นสัตว์อสูรตัวใหญ่มากมายอยู่รวมกลุ่มกัน อีกทั้งที่คอของพวกมันยังมีป้ายคะแนนแขวนอยู่ทุกตัวด้วย“พวกเจ้ารีบเข้าไปเอาป้ายมาเถอะ สัตว์อสูรพวกนี้ไม่กล้าต่อสู้กับพวกเจ้าหรอก” เสียงเล็ก ๆ ของเสี่ยวจู้กล่าวหลังจากส่งกระแสจิตข่มขู่กลุ่มสัตว์อสูรตรงหน้า
“เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกมันจะไม่ขัดขืนน่ะ” เซียวเหมยกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“พวกเจ้าลองเข้าไปดูก็จะรู้เองนั่นแหละน่า” เสี่ยวจู้เอ่ยพร้อมกับแผ่พลังสัตว์เทพกดข่มสัตว์อสูรทั้งกลุ่มจนไม่มีตัวใดกล้าลุกขึ้นมาแม้แต่ตัวเดียว
“เช่นนั้นพวกเราลองดูกันก่อนเถอะ” กวงจื้อจิ่งนำหน้าไปก่อน
สองปีต่อมา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของชินอ๋องและเจิ้งหลิน ตอนนี้พวกเขาต่างมีระดับพลังปราณสูงถึงระดับผ่าสวรรค์ขั้นปลายแล้ว ส่วนการหลอมอาวุธและชุดเกราะของเสี่ยวจู้ก็เป็นไปด้วยดีมาตลอด ยิ่งเสี่ยวจู้ได้รับเงินจำนวนมากจากฮ่องเต้เพื่อให้มันช่วยหลอมอาวุธระดับสวรรค์ให้ด้วยแล้ว เสี่ยวจู้กับกิเลนไฟก็ช่วยกันหลอมอาวุธแทบจะทุกวัน ยกเว้นเวลาที่ชินอ๋องมีราชกิจ กิเลนไฟจะไม่ได้ช่วยเสี่ยวจู้หลอมอาวุธเพราะต้องติดตามชินอ๋องไป
กว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็เกือบรุ่งสาง กิเลนไฟยังไม่ได้คุยกับเสี่ยวจู้เรื่องทำชุดเกราะให้มัน แต่มันคิดว่าเสี่ยวจู้น่าจะช่วยมันสร้างขึ้นมาได้ อีกอย่างพลังไฟสวรรค์ของมันก็ใช้หลอมอาวุธได้ดีกว่าพลังจิตวิญญาณที่เสี่ยวจู้ใช้อยู่ หากมันร่วมมือกันกับเสี่ยวจู้ กิเลนไฟคาดว่าความเร็วและคุณภาพของการหลอมน่าจะดีขึ้นยิ่งกว่าที่เสี่ยวจู้หลอมด้วยตัวเอง ขุนนางและชาวเมืองเห็นประกาศจากราชสำนักถึงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ก็ได้แต่ชื่นชมบุญวาสนาของชินอ๋อง พวกเขาไม่คิดว่าการสร้างอ
เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง เสี่ยวจู้ขอแยกตัวออกไปหลอมอาวุธที่เรือนของเจิ้งหลิน ชินอ๋องกับเจิ้งหลินนั้นอยู่ฝึกฝนพลังปราณที่เรือนหลักด้วยกัน เพราะทั้งสองไม่อยากรบกวนเสี่ยวจู้หลอมอาวุธ ส่วนอาหารนั้นบ่าวในจวนจะนำไปให้เสี่ยวจู้ตามเวลาอาหารของจวนตามปกติ เจิ้งหลินมอบยาเพิ่มปราณระดับสวรรค์ให้ชินอ๋องสามเม็ด นางเองก็กินลงไปสามเม็ดเช่นเดียวกัน ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะหลับตาเข้าสู่สมาธิเพื่อดูดซับฤทธิ์ยาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เรื่องการกินยาหลายเม็ดพร้อมกันไม่น
ผู้คนภายในงานต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเจิ้งหลินอย่างสนุกปาก เพียงแต่เรื่องนี้พวกนางไม่อาจทำสิ่งใดได้ หากเรื่องไปถึงหูของฝ่าบาทและฮองเฮา พวกนางก็กลัวว่าจะถูกตำหนิแทน อย่างไรพระชายาของชินอ๋องก็มีอำนาจมากกว่าพวกนางที่เป็นเพียงฮูหยินขุนนางเท่านั้น เรื่องในครั้งนี้จึงทำให้หลังจากนั้น เจิ้งหลินไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงใด ๆ ที่ได้รับเทียบเชิญอีกเลย กระทั่งชินอ๋องกลับมาจากภารกิจในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจิ้งหลินจึงชวนชินอ๋องไปหาซื้อเตาหลอมอาวุธตามที่เสี่ยวจู้อยากได้&
หนึ่งเดือนต่อมา เจิ้งกั๋วกงที่อยู่เป็นเพื่อนหลานสาวและเสี่ยวจู้มานานก็ได้เวลาต้องกลับไปยังแคว้นหนานแล้ว เจิ้งหลินน้ำตาคลอเบ้าเมื่อต้องลาท่านตาของนาง เสี่ยวจู้ยังมอบยาเพิ่มปราณระดับเซียนให้ท่านตาอีกเม็ดหนึ่ง มันหวังว่าท่านตาจะเข้าใกล้สู่การเป็นเซียนอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี
พรึ่บ!!! พระสนมทั้งหมดรีบลงไปคุกเข่าเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษทันที พวกนางรู้ดีว่าเวลาที่ฮ่องเต้กริ้วนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกนางจะถือดี เพราะตระกูลพวกนางยังไม่มีความสามารถพอเทียบเท่าตระกูลขอ