สองวันต่อมา
อาจารย์แต่ละตำหนักแบ่งกลุ่มศิษย์ของตนออกไปแล้วแยกกันไปคนละทางเพื่อไม่ให้การตามหาสัตว์อสูรไปกระจุกตัวอยู่บริเวณเดียวกัน อาจารย์ทั้งสามคนของแต่ละตำหนักมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของศิษย์ที่อาจจะพลัดหลงเข้าไปในป่าชั้นใน ศิษย์ทุกคนได้รับคำสั่งให้ตามหาสัตว์อสูรขั้นปฐพีและนภาเท่านั้น เพราะฝีมือของพวกเขาคงไม่สามารถกำหราบสัตว์อสูรขั้นฟ้ากระจ่างได้ เพื่อความปลอดภัยเหล่าอาจารย์จึงกำชับให้พวกเขาตามหาสัตว์อสูรเพียงรอบนอกของป่าสัตว์อสูร หากมีศิษย์คนใดขัดคำสั่งและบาดเจ็บขึ้นมา ศิษย์เหล่านั้นจะถูกลงโทษหลังกลับไปถึงสำนักกลุ่มของเจิ้งหลินพอได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ประจำตำหนัก พวกนางจึงแยกย้ายกันไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ ถึงอย่างไรศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรก็มีความได้เปรียบเรื่องการจับสัตว์อสูรมากกว่าศิษย์จากตำหนักอื่น อีกทั้งพวกเขายังมีฝีมือไม่ธรรมดากันสักคน เพียงแต่ทุกคนในตำหนักต่างเก็บงำฝีมือเอาไว้โดยไม่ให้ตำหนักอื่นระแคะระคายได้แม้แต่น้อย นี่เป็นการสั่งสอนของเจ้าตำหนักที่ไม่อยากให้เด็ก ๆ ในตำหนักโอ้อวดความเก่งกาจจนมีภัยมาถึงตนใจกลางป่าสัตว์อสูร
“ท่านเสี่ยวจู้ขอรับ คนจากสำนักพรตหนานหนิงมากันแล้วขอรับ” กระต่ายขาวรายงานเรื่องที่เสี่ยวจู้ให้ไปสืบ
“แล้วพวกเขาจะตามหาสัตว์อสูรมาถึงที่นี่หรือไม่?”
“ไม่นะขอรับ ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่าจะหาเพียงชายป่ารอบนอกเท่านั้น”
“เช่นนั้นข้าคงต้องออกไปดูสักหน่อยว่าใครที่น่าจะมีวาสนาต่อข้าแล้วล่ะ”
“ท่านเสี่ยวจู้จะจากไปจริง ๆ หรือขอรับ” หมีดำใจหายแปลก ๆ
“จริงสิ พวกเจ้าไม่อยากไปกับข้าจริงหรือ?”
สัตว์อสูรฟ้าหลายตัวหันมองหน้ากันก่อนที่จะส่ายหน้าช้า ๆ พวกมันรักอิสระมากกว่าที่จะเข้าไปสู่ความวุ่นวายภายนอกป่าสัตว์อสูร“เฮ้อ เช่นนั้นเราก็คงต้องจากกันแล้ว พวกเจ้ารักษาตัวให้ดี ยาที่ข้าหลอมให้น่าจะใช้ได้อีกหนึ่งเดือน ขยันฝึกฝนกันด้วยเล่า ข้าขอตัวก่อน”
สัตว์อสูรระดับต่ำหลายตัวเดินตามหลังเพื่อไปส่งเสี่ยวจู้ยังป่ารอบนอก พวกมันเองก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะยอมรับเจ้านายแล้วไปอยู่กับท่านเสี่ยวจู้ดีหรือยังคงอยู่ที่ป่าแห่งนี้ต่อ สำหรับการตัดสินใจของเหล่าสัตว์อสูรฟ้านั้นพวกมันเข้าใจดี แต่สำหรับพวกมันที่มีระดับเพียงขั้นรวมวิญญาณนั้นหากอยู่ที่นี่ต่อไปคงใช้เวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะก้าวหน้า พวกมันจึงอยากตามไปดูก่อนว่าท่านเสี่ยวจู้จะเลือกเจ้านายใหม่อย่างไร หากว่ามันมีวาสนากับใครสักคน พวกมันก็จะติดตามเสี่ยวจู้ออกไปจากป่าแห่งนี้เช่นกันด้านเฟินเสี่ยวหยางที่วางแผนจะลอบฆ่าเจิ้งหลินได้แต่ต้องแยกตัวกับกลุ่มเพื่อนของเขาไปทางฝั่งคนของตำหนักสัตว์อสูร เพราะเรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นทำให้เขากับน้องสาวต้องอับอายศิษย์ในสำนักไม่น้อย จากความอับอายจึงกลายเป็นโกรธแค้น เฟินเสี่ยวหยางจึงตัดสินใจจะฆ่าเจิ้งหลินให้สิ้นเรื่องเสีย ถึงอย่างไรพลังปราณของเขาก็อยู่ในระดับนภาขั้นสูงแล้ว อีกก้าวเดียวก็จะไปสู่ระดับฟ้ากระจ่าง สำหรับอายุเพียงเท่านี้ นับว่าเฟินเสี่ยวหยางมีพรสวรรค์ไม่น้อย เพียงแต่เฟินเสี่ยวหยางนั้นไม่รู้ว่าเจิ้งหลินใส่กำไลปิดบังพลังปราณที่ท่านตาให้มาตลอด ความจริงแล้วนางมีพลังระดับฟ้ากระจ่างขั้นกลางนานแล้ว เพียงแต่พอใส่กำไลนี้เข้าไป ระดับของนางที่คนอื่นมองเห็นจึงเป็นเพียงระดับนภาขั้นต้นเท่านั้นเฟินเสี่ยวหยางที่มีพลังปราณเพิ่มขึ้นเพราะได้รับยาจากเฟินหลางที่ส่งมาให้ลูกชายคนเดียวทุกเดือน ไม่เช่นนั้นพรสวรรค์อย่างเขาคงไม่สามารถมีระดับพลังปราณสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันเช่นนี้ ยิ่งเฟินเสี่ยวหยางเป็นศิษย์ตำหนักกระบี่ด้วยแล้ว อาวุธของเขายังได้รับจากเฟินหลางที่ทุ่มเงินซื้ออาวุธระดับฟ้ากระจ่างให้เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวและเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลเฟิน เฟินเสี่ยวหยางจึงมั่นใจว่าตนเองจะสามารถฆ่าเจิ้งหลินที่เป็นหนามตำใจครอบครัวเขามานานได้สำเร็จเจิ้งหลินไม่รู้เลยว่าเฟินเสี่ยวหยางกำลังตามหานางอยู่ นางและเพื่อนแยกกันหาสัตว์อสูรที่ตนเองต้องการในวันแรกนี้ ก่อนที่จะนัดพบกันอีกครั้งช่วงก่อนค่ำเพื่อพักผ่อนร่วมกันแล้วค่อยหาต่อในวันถัดไประหว่างการเดินทางตามหาสัตว์อสูรนั้น เจิ้งหลินเห็นสัตว์ไม่น้อย เพียงแต่นางรู้สึกว่าระดับพลังของสัตว์เหล่านี้ไม่สูงพอกับระดับพลังของนาง นางจึงเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยเผื่อจะได้พบกับสัตว์ที่มีวาสนาต่อกันเฟินเสี่ยวหยางที่ใช้วิชาตัวเบาออกตามหาเจิ้งหลินตั้งแต่แยกย้ายกับกลุ่มศิษย์ตำหนักกระบี่ได้แต่วิ่งไปบ่นไปว่าเมื่อไหร่จะหาตัวเจอเสียที เขาตามหามาเกือบสามชั่วยามแล้วยังไม่เห็นเจิ้งหลินแม้แต่เงา เห็นเพียงเพื่อนร่วมตำหนักของนางเท่านั้น หากเขายังตามหานางไม่เจอแล้วอาจารย์ของเขาพบว่าเขาหายไป ตัวเขาเองอาจต้องถูกอาจารย์ลงโทษเป็นแน่เสี่ยวจู้มาถึงชายขอบของป่าชั้นกลางในเวลาต่อมาพร้อมกับสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ติดตามไม่ห่าง“พวกเจ้าซ่อนตัวให้ดี ๆ ล่ะ รอให้เราเห็นเป้าหมายก่อน ค่อยออกไปพบหน้าแล้วทำพันธะสัญญา หากพวกเจ้าอยากไปอยู่ด้วยกัน” เสี่ยวจู้เอ่ย
“พวกเราทราบแล้ว ท่านเสี่ยวจู้” สัตว์ทั้งหลายรีบเอ่ยตอบ
เสี่ยวจู้ที่ยังตัวเล็กน่ารักเหมือนเดิมยิ้มให้กับสัตว์ที่ตามมา ก่อนจะเดินหลบอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มีใครเห็นตนเองเร็วนัก หากเสี่ยวจู้ต้องการบินขึ้นไปบนต้นไม้ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแต่เสี่ยวจู้ไม่อยากให้สัตว์ตัวอื่นลำบากไปด้วยจึงเดินบนพื้นดินแทนเฟินเสี่ยวหยางหาร่องรอยของเจิ้งหลินจนเห็นว่านางเดินลึกเข้าไปในป่าชั้นกลางก็ยิ้มร้ายออกมาทันที เขาคิดไม่ถึงว่าเจิ้งหลินจะหาเรื่องตายเช่นนี้ ทั้งที่พลังของนางอยู่เพียงระดับนภาขั้นต้นเท่านั้น เฟินเสี่ยวหยางมองไปรอบ ๆ ไม่พบว่ามีใครอยู่ใกล้ ๆ ก็รีบใช้วิชาตัวเบาแล้วชักกระบี่ออกมาฟาดฟันไปยังร่างของเจิ้งหลินที่เดินอยู่ด้านหน้าไม่ไกลอย่างไม่คิดยั้งมือเจิ้งหลินรับรู้ได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา นางรีบดึงกระบี่จิตวิญญาณที่ท่านตามอบให้ออกมาจากแหวนเก็บของที่หายากแล้วรับกระบี่ด้านหลังอย่างว่องไว ถึงแม้เจิ้งหลินจะเรียนที่ตำหนักสัตว์อสูรก็ตามที แต่วิชากระบี่นี้เป็นวิชาลับของท่านตานาง และนางได้เรียนรู้มาตลอดสองปีก่อนที่จะเข้ามาเรียนในสำนักโดยไม่มีใครรู้เช้ง! ควับ!
“ฮึ! น่าเสียดายที่ไม่อาจฆ่าเจ้าได้ในกระบี่เดียว” เฟินเสี่ยวหยางกล่าวขึ้น
“เป็นเจ้า! เฟินเสี่ยวหยาง เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเรียกอาจารย์หรืออย่างไร?”
“ข้าไม่กลัว! หากเจ้าตายก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือข้า ฮ่า ฮ่า”
“เจ้าหรือข้ากันแน่ที่จะตาย หลายครั้งแล้วที่พวกเจ้าทำร้ายข้า วันนี้ในเมื่อเจ้าต้องการชีวิตของข้า ข้าก็จะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีอีก” เจิ้งหลินกล่าวก่อนจะเริ่มใช้วิชากระบี่ต่อ
เช้ง! เพี๊ยะ! เช้ง!
ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของเจิ้งหลิน นางสามารถทำให้เฟินเสี่ยวหยางได้รับบาดแผลไปหลายแห่งในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เฟินเสี่ยวหยางได้แต่ไม่เชื่อสายตาว่าเจิ้งหลินจะมีความสามารถเช่นนี้ได้ เขากัดฟันลองปะทะกับนางอีกหลายกระบวนท่า แต่ก็ยังไม่สามารถทำร้ายเจิ้งหลินได้แม้แต่น้อย“ฮึ่ม! ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเก็บงำฝีมือเช่นนี้เอาไว้ รอก่อนเถอะ สักวันข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้เจิ้งหลิน อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เช่นนี้อีก” เฟินเสี่ยวหยางกล่าวก่อนจะใช้วิชาตัวเบาถอยไปเพื่อรักษาบาดแผลและกลับไปยังทิศทางที่ตำหนักกระบี่ไปกัน
“เฮ้อ ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดตระกูลเฟินจึงได้มายุ่งกับข้าเช่นนี้ ทั้งที่ข้าไม่เอาเรื่องพวกเขาในเรื่องที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว ในเมื่อเฟินเสี่ยวหยางต้องการฆ่าข้า ข้าคงต้องแจ้งให้ท่านตาทราบเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นหากพวกเขาใช้วิธีการต่ำช้าขึ้นมา ข้าคงไม่อาจรับมือได้ด้วยตัวคนเดียวแน่” เจิ้งหลินพึมพำพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ
เสี่ยวจู้ที่แอบมองอยู่ห่าง ๆ หลังได้ยินเสียงการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นางมองเห็นว่าเด็กหญิงตรงหน้านั้นมีพลังระดับฟ้ากระจ่างตั้งแต่อายุยังน้อยและพรสวรรค์ของนางเองก็สูงส่งเช่นกัน ถึงแม้เจิ้งหลินจะปิดบังระดับพลัง แต่ด้วยพลังของสัตว์เทพเช่นเสี่ยวจู้นั้นไม่นับว่าเป็นอะไรหลังจากเสี่ยวจู้ตัดสินใจแล้วว่าจะรับเด็กหญิงคนนี้เป็นเจ้านายในโลกมนุษย์แล้ว นางจึงลอบสังเกตนิสัยใจคอของเจิ้งหลินอยู่ห่าง ๆ โดยเสี่ยวจู้บอกสัตว์ตัวอื่นที่ตามมาว่านางสนใจเด็กคนนี้ ให้พวกเขาอยู่ห่าง ๆ ไม่ให้เจิ้งหลินมองเห็นได้ง่าย ๆ จนกว่าเสี่ยวจู้จะเข้าไปหานางในเมื่อเสี่ยวจู้อยากรู้นิสัยใจคอของเจิ้งหลิน นางจึงให้สัตว์ตัวอื่นแกล้งทำเป็นรังแกลูกหมูน้อยเช่นนาง นางอยากรู้ว่าเจิ้งหลินจะเข้ามาช่วยนางหรือไม่ สิงโตกับเสือดำได้แต่จนใจที่ต้องแสดงตัวเป็นสัตว์ร้ายตามที่ท่านเสี่ยวจู้ต้องการเสียงการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรดังขึ้นไม่ไกล เจิ้งหลินที่สงสัยว่าเหตุใดจึงมีการต่อสู้เกิดขึ้นก็รีบใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปแอบดูใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตรงหน้ามีลูกหมูสีชมพูตัวน้อยน่ารักกำลังต่อสู้กับสิงโตและเสือดำตัวใหญ่อย่างสุดกำลัง เจิ้งหลินไม่คิดสิ่งใดมากกว่าการช่วยผู้ที่อ่อนแออย่างหมูน้อยน่ารักตัวนั้น นางรีบเข้าไปปกป้องเสี่ยวจู้และไล่สิงโตกับเสือดำไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่ตอนแรกเจิ้งหลินคิดว่าตนเองจะบาดเจ็บจากสัตว์อสูรระดับกลางสองตัวนั้นไม่น้อย แต่ในเมื่อตอนนี้นางไม่เป็นอะไรและสามารถช่วยหมูน้อยได้ เจิ้งหลินจึงรีบสำรวจดูว่าหมูตัวนี้บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่“เฮ้อ โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร แต่เนื้อตัวของเจ้าช่างมอมแมมนัก มา ข้าจะพาเจ้าไปเช็ดตัวที่ลำธารเสียหน่อย เมื่อกี้ข้าได้ยินเสียงน้ำอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก”
เสี่ยวจู้แกล้งทำเป็นไม่ทราบว่าเจิ้งหลินพูดอะไร นางทำเพียงเอียงคอไปมาอย่างน่ารักจนเจิ้งหลินหลงใหลหมูน้อยตรงหน้าเสียแล้ว นางอดไม่ไหวจึงอุ้มเสี่ยวจู้แทนแล้วพาไปยังลำธารอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมาทำความสะอาดหมูน้อยในอ้อมแขนเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มเจิ้งหลินส่งองครักษ์เข้าไปรายงานว่านางจะเดินทางไปส่งเสบียงให้ชินอ๋องที่ชายแดนแคว้นหยางด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นหากมีการยักยอกเสบียงหรือเดินทางไปถึงช้า อาจทำให้กองทัพที่กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้าอดอยากจนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยึดคืนพื้นที่เมืองของแคว้นชิง“เจ้าบอกพระชายาชินอ๋องให้ระมัดระวังตัวด้วย เราขอบคุณแทนกองทัพที่นางช่วยเหลือในครั้งนี้ ส่วนเงินค่าเสบียงนั้น ให้นางส่งรายการบัญชีมาเบิกกับเราได้” ฮ่องเต้ตรัสบอกองครักษ์ของเจิ้งหลินที่แอบมาส่งข่าว“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่อนุญาตให้พระชายาไป”“
สองปีต่อมา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของชินอ๋องและเจิ้งหลิน ตอนนี้พวกเขาต่างมีระดับพลังปราณสูงถึงระดับผ่าสวรรค์ขั้นปลายแล้ว ส่วนการหลอมอาวุธและชุดเกราะของเสี่ยวจู้ก็เป็นไปด้วยดีมาตลอด ยิ่งเสี่ยวจู้ได้รับเงินจำนวนมากจากฮ่องเต้เพื่อให้มันช่วยหลอมอาวุธระดับสวรรค์ให้ด้วยแล้ว เสี่ยวจู้กับกิเลนไฟก็ช่วยกันหลอมอาวุธแทบจะทุกวัน ยกเว้นเวลาที่ชินอ๋องมีราชกิจ กิเลนไฟจะไม่ได้ช่วยเสี่ยวจู้หลอมอาวุธเพราะต้องติดตามชินอ๋องไป
กว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็เกือบรุ่งสาง กิเลนไฟยังไม่ได้คุยกับเสี่ยวจู้เรื่องทำชุดเกราะให้มัน แต่มันคิดว่าเสี่ยวจู้น่าจะช่วยมันสร้างขึ้นมาได้ อีกอย่างพลังไฟสวรรค์ของมันก็ใช้หลอมอาวุธได้ดีกว่าพลังจิตวิญญาณที่เสี่ยวจู้ใช้อยู่ หากมันร่วมมือกันกับเสี่ยวจู้ กิเลนไฟคาดว่าความเร็วและคุณภาพของการหลอมน่าจะดีขึ้นยิ่งกว่าที่เสี่ยวจู้หลอมด้วยตัวเอง ขุนนางและชาวเมืองเห็นประกาศจากราชสำนักถึงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ก็ได้แต่ชื่นชมบุญวาสนาของชินอ๋อง พวกเขาไม่คิดว่าการสร้างอ
เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง เสี่ยวจู้ขอแยกตัวออกไปหลอมอาวุธที่เรือนของเจิ้งหลิน ชินอ๋องกับเจิ้งหลินนั้นอยู่ฝึกฝนพลังปราณที่เรือนหลักด้วยกัน เพราะทั้งสองไม่อยากรบกวนเสี่ยวจู้หลอมอาวุธ ส่วนอาหารนั้นบ่าวในจวนจะนำไปให้เสี่ยวจู้ตามเวลาอาหารของจวนตามปกติ เจิ้งหลินมอบยาเพิ่มปราณระดับสวรรค์ให้ชินอ๋องสามเม็ด นางเองก็กินลงไปสามเม็ดเช่นเดียวกัน ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะหลับตาเข้าสู่สมาธิเพื่อดูดซับฤทธิ์ยาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เรื่องการกินยาหลายเม็ดพร้อมกันไม่น
ผู้คนภายในงานต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเจิ้งหลินอย่างสนุกปาก เพียงแต่เรื่องนี้พวกนางไม่อาจทำสิ่งใดได้ หากเรื่องไปถึงหูของฝ่าบาทและฮองเฮา พวกนางก็กลัวว่าจะถูกตำหนิแทน อย่างไรพระชายาของชินอ๋องก็มีอำนาจมากกว่าพวกนางที่เป็นเพียงฮูหยินขุนนางเท่านั้น เรื่องในครั้งนี้จึงทำให้หลังจากนั้น เจิ้งหลินไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงใด ๆ ที่ได้รับเทียบเชิญอีกเลย กระทั่งชินอ๋องกลับมาจากภารกิจในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจิ้งหลินจึงชวนชินอ๋องไปหาซื้อเตาหลอมอาวุธตามที่เสี่ยวจู้อยากได้&
หนึ่งเดือนต่อมา เจิ้งกั๋วกงที่อยู่เป็นเพื่อนหลานสาวและเสี่ยวจู้มานานก็ได้เวลาต้องกลับไปยังแคว้นหนานแล้ว เจิ้งหลินน้ำตาคลอเบ้าเมื่อต้องลาท่านตาของนาง เสี่ยวจู้ยังมอบยาเพิ่มปราณระดับเซียนให้ท่านตาอีกเม็ดหนึ่ง มันหวังว่าท่านตาจะเข้าใกล้สู่การเป็นเซียนอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี