หลังจากเจิ้งหลินทำความสะอาดเสี่ยวจู้ดีแล้ว นางก็หันมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย เจิ้งหลินไม่รู้ว่าตัวเองเดินลึกเข้ามามากแค่ไหนแถมตอนนี้นางยังมีหมูน้อยหนึ่งตัวให้ดูแลอยู่
“อืม.. ทำอย่างไรดีนะ หากปล่อยให้เจ้าอยู่ในป่าที่อันตรายเช่นนี้ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะถูกสัตว์ป่าตัวอื่นทำร้าย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อข้าไม่พบสัตว์อสูรตัวอื่นที่พอจะทำพันธะสัญญาได้ เจ้าก็มาเป็นสัตว์ในพันธะสัญญาของข้าดีหรือไม่”
เสี่ยวจู้ไม่คิดว่าเด็กหญิงตรงหน้าจะกล้าทำพันธะสัญญากับนางที่ภายนอกเป็นเพียงหมูน้อยอ่อนแอจริง ๆ แต่ในเมื่อเจิ้งหลินพูดออกมาด้วยตนเองแล้ว เสี่ยวจู้จึงพยักหน้ายิ้มรับก่อนจะกัดไปที่นิ้วของเจิ้งหลินและทำพันธะสัญญาแบบเท่าเทียมแทนสัญญาทาสที่มนุษย์มักจะเป็นผู้กำหนดเจิ้งหลินขมวดคิ้วอย่างสงสัยใจ ที่นางเรียนมาจากตำหนัก หากไม่ใช่สัตว์ระดับสูงกว่านางแล้ว สัตว์นั้นจะไม่สามารถทำสัญญาแบบเท่าเทียมได้ เจิ้งหลินไม่คาดคิดเลยว่าหมูน้อยตรงหน้ากลับมีพลังสูงส่งกว่านางเสียอีกแสงสว่างจากการทำพันธะสัญญากับสัตว์เทพนั้นส่องสว่างขึ้นไปบนฟ้าอย่างรุนแรงก่อนจะหายวับไปในพริบตา เหล่าสัตว์ในป่าสัตว์อสูรได้รับรู้ว่าท่านเสี่ยวจู้ทำพันธะสัญญาแล้วต่างก็ส่งเสียงคำรามออกมาเพื่อแสดงความยินดีจนดังไปทั่วทั้งป่าสัตว์อสูรทุกคนที่เข้าป่ามามองเห็นแสงสว่างเพียงแวบเดียวก่อนจะตามมาด้วยเสียงคำรามของสัตว์ป่าก็ต่างกลัวกันไม่น้อย มีเพียงเจิ้งหลินเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเสียงเหล่านั้น นางรู้สึกว่าหลังจากทำพันธะสัญญาแล้ว พลังของนางกลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งที่ไม่ได้กินยาเพิ่มปราณเลยสักเม็ด“เจ้าเป็นสัตว์ระดับใดกันแน่หมูน้อย เหตุใดข้าจึงมีพลังเพิ่มขึ้นมากถึงเพียงนี้”
“ท่านไม่จำเป็นต้องทราบ ข้าชื่อเสี่ยวจู้ แล้วท่านเล่าชื่ออะไร?”
“ข้าเจิ้งหลิน ต่อไปเจ้าก็อยู่กับข้าเพื่อฝึกฝนเถิด ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี”
“ขอบคุณท่าน ตอนนี้ข้าสามารถเข้าไปพักในจิตวิญญาณของท่านได้หรือไม่?”
“ยังไม่ได้ ข้ายังไม่ถึงระดับรวมจิตวิญญาณเลย”
“อ่า… เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าแค่กลัวว่าจะมีคนล้อเลียนท่านที่มีข้าเป็นสัตว์ประจำตัว”
เจิ้งหลินยิ้มแล้วลูบหัวเล็ก ๆ ของเสี่ยวจู้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ที่สัตว์อสูรของนางช่างน่ารักนัก“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ใครจะพูดอะไรข้าก็ไม่สนใจ ในเมื่อเจ้าผูกพันธะสัญญากับข้าแล้ว ข้าเชื่อว่าเราสองคนจะช่วยเหลือกันและกันในการฝึกฝนได้”
“อื้อ เรื่องนั้นท่านวางใจ ข้าสามารถหลอมยาและหาสมุนไพรได้ ข้าจะช่วยให้ท่านพัฒนาพลังปราณได้อย่างรวดเร็ว ข้าสัญญา”
“หืม? เจ้ามีความสามารถมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แน่นอนว่าข้ามี ตอนนี้ข้าหิวแล้ว เราไปหาผลไม้ป่ากินกันเถอะ”
“ข้าไม่รู้ว่าที่ใดมีผลไม้ป่า เจ้านำทางไปได้หรือไม่?”
“ได้สิ ท่านตามข้ามาเลย”
เสี่ยวจู้เดินนำทางเจิ้งหลินเข้าไปยังป่าชั้นในอย่างสบาย ๆ เหล่าสัตว์อสูรที่เห็นท่านเสี่ยวจู้ของพวกมันนำทางมนุษย์คนหนึ่งเข้ามาก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งและปล่อยให้เจิ้งหลินเก็บผลไม้ได้ตามสบาย ระหว่างทางเสี่ยวจู้ยังเก็บสมุนไพรไว้ในมิติจิตของตนเองไม่น้อย เจิ้งหลินได้แต่นึกทึ่งว่าสัตว์อสูรของนางเหตุใดจึงได้มีมิติจิตตั้งแต่ตัวแค่นี้ เพียงแต่นางเองก็ไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเสี่ยวจู้จึงไม่ได้สอบถามอันใด ในเมื่อเสี่ยวจู้ไม่อยากบอก นางก็ไม่ถามเมื่อเจิ้งหลินเก็บผลไม้ใส่แหวนเก็บของได้พอสมควรแล้ว นางจึงชวนเสี่ยวจู้กลับออกไปยังป่าชั้นนอกที่นัดกับเพื่อน ๆ เอาไว้ก่อนพลบค่ำ“เรากลับออกไปกันก่อนเถอะเสี่ยวจู้ เพื่อนข้าน่าจะรอกันอยู่ที่ป่าด้านนอก”
“ตกลง ไปกัน” เสี่ยวจู้ยิ้มตอบเจิ้งหลินอย่างน่ารัก
เจิ้งหลินเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งหมั่นเขี้ยวหมูน้อยของนาง นางอุ้มเสี่ยวจู้ก่อนจะฟัดแก้มไปเสียสองทีแล้วใช้วิชาตัวเบาพาเสี่ยวจู้กลับออกไปยังป่าด้านนอกอย่างรวดเร็ว เสี่ยวจู้เห็นเจิ้งหลินทำเช่นนี้ก็นึกรักเจิ้งหลินไม่น้อย เพราะตนเองเป็นเพียงสัตว์เทพที่เพิ่งออกจากไข่และยังไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน เสี่ยวจู้สัญญากับตนเองว่าจะทำให้เจิ้งหลินเก่งกาจกว่าผู้ใดในเร็ววัน ให้สมกับที่นางเป็นคู่พันธะสัญญากับเสี่ยวจู้ผู้นี้เจิ้งหลินใช้วิชาตัวเบาระดับฟ้ากระจ่างของตนเองอย่างเต็มกำลัง เพราะตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้ว นางกลัวว่าเพื่อน ๆ จะเป็นห่วงที่นางไม่ออกไปรวมตัวเสียทีจึงได้เร่งร้อนเช่นนี้ แน่นอนว่าเรื่องที่เฟินเสี่ยวหยางลอบฆ่านางนั้นนางจะไม่บอกออกไปให้เพื่อนเป็นห่วง นางมั่นใจว่าสามารถรับมือกับคนเช่นเขาได้ไม่ยากกว่าที่เจิ้งหลินจะออกไปถึงป่ารอบนอกได้ พระอาทิตย์ก็ตกดินเสียแล้ว นางรีบเดินเร็ว ๆ แทนการใช้วิชาตัวเบาจนคนอื่นอาจพบเห็น ไปยังทิศทางที่นัดกับเพื่อนของนางเอาไว้ก่อนหน้านี้พร้อมกับเสี่ยวจู้ที่ยังนอนอยู่ในอ้อมแขนเจิ้งหลินอย่างสบายใจ“หลินเอ๋อ เจ้าไปไหนมาเนี่ย เรารอเจ้าอยู่จนกังวลกันไปหมดแล้ว” เซียวเหมยรีบถาม
“อ่า… ข้าเข้าไปเก็บผลไม้มาให้พวกเจ้ากินด้วยกัน นี่ไง มากินกันก่อนเถอะ”
“เฮ้อ เจ้านี่นะ ชอบทำให้พวกเราเป็นห่วง” อู๋อิงรีบกล่าว
“ใช่ ๆ เจ้าไม่รู้ว่าพวกเราเกือบจะแยกกันออกตามหาเจ้าแล้วนะ” หานชิงกล่าวเสริม
“เอาน่า ๆ ตอนนี้ข้าก็มาแล้วอย่างไรเล่า”
“เอ๊ะ! ในอ้อมแขนเจ้าเป็นสัตว์อสูรของเจ้าหรือ?” อู๋อิงเห็นตัวอะไรสักอย่างสีชมพูอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนจึงรีบเอ่ยถามอีกรอบ
“อืม ใช่แล้วล่ะ นี่เป็นสัตว์อสูรประจำตัวข้าน่ะ แต่ตอนนี้มันนอนหลับอยู่ พวกเจ้าก็อย่าเสียงดังนักก็แล้วกัน มันยังเด็กนัก”
“ตกลง ๆ เช่นนั้นเรารีบมากินอาหารแห้งที่นำมาก่อนค่อยกินผลไม้ของเจิ้งหลิน”
ทั้งสี่สาวรีบนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เป็นจุดนัดรวมตัวแล้วกินอาหารแห้งก่อนจะกินผลไม้แสนอร่อยที่เจิ้งหลินนำมาให้พร้อมกับสนทนากันเบา ๆ ตอนนี้เสี่ยวจู้ถูกวางให้นอนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก ความจริงเสี่ยวจู้ไม่ได้หลับลึกแต่แรก นางเพียงไม่อยากตื่นมารบกวนการสนทนาของเจิ้งหลินกับเพื่อน ๆ เท่านั้น ยิ่งฟังพวกนางคุยกันมากเท่าไหร่ เสี่ยวจู้ก็ได้แต่สงสัยว่าเหตุใดเจิ้งหลินจึงไม่บอกเพื่อนว่านางถูกลอบทำร้ายก่อนหน้านี้ แต่ในเมื่อเจิ้งหลินไม่อยากบอก นางก็จะช่วยเก็บเป็นความลับให้ก็แล้วกัน“นี่อาหลิน เจ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะล้อเลียนเจ้าหรือที่มีสัตว์อสูรเป็นหมูตัวน้อยเช่นนี้”
“ข้าไม่สนใจหรอก เสี่ยวจู้มีความสามารถมากนะ ถึงแม้นางจะยังเด็ก แต่เรื่องสมุนไพรนั้นเสี่ยวจู้เก่งมาเลยล่ะ ระหว่างมาที่นี่เสี่ยวจู้เก็บเกี่ยวสมุนไพรได้ไม่น้อย”
“เฮ้ นี่เรื่องจริงหรือ? ไม่น่าเชื่อว่าหมูตัวหนึ่งจะมีความสามารถเช่นนี้”
“เรื่องจริงสิ ข้าจะโกหกพวกเจ้าไปทำไมกันเล่า อีกอย่างเจ้าไม่เห็นหรือว่าเสี่ยวจู้น่ารักแค่ไหนน่ะ ข้าทำใจทิ้งนางไม่ลงหรอกนะ”
“เฮ้อ เจ้านี่นะ เห็นอะไรน่ารักเป็นไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยเจ้าก็ยังได้สัตว์ในพันธะสัญญาแล้ว พวกเรานี่สิที่ยังไม่พบสัตว์ที่พอจะเจรจาทำพันธะสัญญาได้เลยสักตัว”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังที่ที่เจอเสี่ยวจู้ดีไหม? เผื่อว่าจะมีสัตว์อสูรที่มีวาสนากับพวกเจ้าบ้าง”
“ดี ๆ นี่ก็เริ่มจะดึกมากแล้ว เรารีบขึ้นไปนอนกันบนต้นไม้ก่อนเถอะ”
ทั้งสี่คนพยักหน้าให้กัน เจิ้งหลินเดินไปอุ้มเสี่ยวจู้กระโดดขึ้นไปนอนบนต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลจากต้นไม้ของเพื่อน ๆ นัก นางเองก็อยากให้เพื่อน ๆ ได้รับสัตว์อสูรกันทั้งหมด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาตามหาอีกในปีหน้าเสี่ยวจู้รอให้ทั้งสี่สาวหลับสนิท ก่อนที่จะใช้กระแสจิตส่งออกไปยังสัตว์อสูรที่อยู่รอบ ๆ ให้ไปสอบถามว่ามีสัตว์ตนใดต้องการติดตามนางออกจากป่าแห่งนี้บ้างและพรุ่งนี้ให้พวกมันไปรอยังชายป่าชั้นกลางเพื่อให้เพื่อนของเจิ้งหลินเลือกสัตว์อสูรที่ได้รับคำสั่งของเสี่ยวจู้รีบวิ่งแยกย้ายกันไปแจ้งข่าวกับเพื่อน ๆ ในป่าชั้นกลางและชั้นในอย่างไม่รีรอ พวกมันรู้ดีว่าการที่ได้ติดตามเพื่อนของคู่พันธะสัญญาของท่านเสี่ยวจู้จะต้องได้รับประโยชน์ไม่น้อยแน่ ไม่เช่นนั้นท่านเสี่ยวจู้คงไม่ส่งข่าวให้พวกมันไปรอที่จุดนัดพบเสือดำกับสิงโตทองที่แกล้งทำเป็นต่อสู้กับเสี่ยวจู้เมื่อวานนี้เห็นโอกาสดีที่มันจะได้ติดตามท่านเสี่ยวจู้ต่อรีบอาสาไปทันที อินทรีฟ้าเองก็อยากไปด้วยเช่นกันจึงตัดสินใจที่จะไปรวมตัวยังจุดนัดพบในวันพรุ่งนี้ ส่วนสัตว์อสูรฟ้าทั้งสามตัวไม่ต้องการออกจากป่าแห่งนี้ พวกมันต้องการดูแลที่อยู่ของตนเองจึงไม่ออกจากป่าชั้นในตามที่เสี่ยวจู้ส่งข่าวมารุ่งเช้าวันต่อมา เสี่ยวจู้วิ่งไปกระโดดไปอย่างร่าเริงเพื่อนำทางเจิ้งหลินกับเพื่อนไปยังจุดนัดพบ เสี่ยวจู้ไม่รู้ว่าจะมีสัตว์อสูรตัวไหนอยากติดตามนางไปบ้าง เพียงแต่เพื่อเพื่อนของเจิ้งหลิน เสี่ยวจู้ถือว่าได้ส่งข่าวออกไปให้แทนแล้วเพื่อน ๆ ของเจิ้งหลินพอได้พบเสี่ยวจู้ที่ร่าเริงเช่นนี้ พวกนางเองก็หลงใหลในความน่ารักสดใสของเสี่ยวจู้ไม่แพ้เจิ้งหลินเช่นกัน ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นสัตว์อสูรของเพื่อนรักพวกนางล่ะก็ พวกนางคงเข้าไปฟัดแก้มของเสี่ยวจู้หมูน้อยสีชมพูตรงหน้ากันคนละทีสองทีเป็นแน่ ใครใช้ให้เสี่ยวจู้น่ารักมากเช่นนี้กันเล่า พวกนางเองก็อยากได้สัตว์อสูรที่น่ารักเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาเหมือนเจิ้งหลินหรือไม่เมื่อไปถึงจุดนัดพบที่เสี่ยวจู้แจ้งข่าวไป สัตว์อสูรจำนวนมากกว่า 30 ตัวพากันนอนรอเสี่ยวจู้อยู่ก่อนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำเอาเจิ้งหลินกับเพื่อน ๆ เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ทั้งที่เมื่อวานพวกนางไม่เห็นสัตว์อสูรสักตัวเดียว แต่ตอนนี้กลับมีสัตว์อสูรหลากหลายชนิดมาให้พวกนางเลือกทำพันธะสัญญา แล้วจะไม่ให้พวกนางตกใจได้อย่างไรกัน“นี่..นี่มันอะไรกันเนี่ย? เหตุใดจึงมีสัตว์อสูรมากมายเช่นนี้ แถมยัง..
หลังจากเจิ้งหลินทำความสะอาดเสี่ยวจู้ดีแล้ว นางก็หันมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย เจิ้งหลินไม่รู้ว่าตัวเองเดินลึกเข้ามามากแค่ไหนแถมตอนนี้นางยังมีหมูน้อยหนึ่งตัวให้ดูแลอยู่“อืม.. ทำอย่างไรดีนะ หากปล่อยให้เจ้าอยู่ในป่าที่อันตรายเช่นนี้ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะถูกสัตว์ป่าตัวอื่นทำร้าย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อข้าไม่พบสัตว์อสูรตัวอื่นที่พอจะทำพันธะสัญญาได้ เจ้าก็มาเป็นสัตว์ในพันธะสัญญาของข้าดีหรือไม่”
สองวันต่อมา อาจารย์แต่ละตำหนักแบ่งกลุ่มศิษย์ของตนออกไปแล้วแยกกันไปคนละทางเพื่อไม่ให้การตามหาสัตว์อสูรไปกระจุกตัวอยู่บริเวณเดียวกัน อาจารย์ทั้งสามคนของแต่ละตำหนักมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของศิษย์ที่อาจจะพลัดหลงเข้าไปในป่าชั้นใน ศิษย์ทุกคนได้รับคำสั่งให้ตามหาสัตว์อสูรขั้นปฐพีและนภาเท่านั้น เพราะฝีมือของพวกเขาคงไม่สามารถกำหราบสัตว์อสูรขั้นฟ้ากระจ่างได้ เพื่อความปลอดภัยเหล่าอาจารย์จึงกำชับให้พวกเขาตามหาสัตว์อสูรเพียงรอบนอกของป่าสัตว์อสูร หากมีศิษย์คนใดขัดคำสั่งและบาดเจ็บขึ้นมา ศิษย์เหล่านั้นจะถูกลงโทษหลังกลับไปถึงสำนัก กลุ่มของเจิ้งหลินพอได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ประจำตำหนัก พวกนางจึงแยกย้ายกันไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ ถึงอย่างไรศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรก็มีความได้เปรียบเรื่องการจับสัตว์อสูรมากกว่าศิษย์จากตำหนักอื่น อีกทั้งพวกเขายังมีฝีมือไม่ธรรมดากันสักคน เพียงแต่ทุกคนในตำหนักต่างเก็บงำฝีมือเอาไว้โดยไม่ให้ตำหนักอื่นระแคะระคายได้แม้แต่น้อย นี่เป็นการสั่งสอนของเจ้าตำหนักที่ไม่อยากให้เด็ก ๆ ในตำหนักโอ้อวดความเก่งกาจจนมีภัยมาถึงตนใจกลางป่าสัตว์อสูร“ท่านเสี่ยวจู้ขอรับ คนจากสำนักพรตหนานหนิงมากั
หนึ่งเดือนผ่านไป เสี่ยวจู้ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้นำของเหล่าสัตว์อสูรหลอมยาจำนวนมากให้กับสัตว์อสูรจนพวกมันบางตัวก็สามารถเลื่อนระดับขั้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้สัตว์อสูรทุกตัวต่างยอมรับนับถือหมูน้อยสีชมพูตัวนี้มากขึ้นไปอีก พวกมันไม่อยากให้นางจากไปเลย หากนางยังคงอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ พวกมันคงสามารถพัฒนาระดับขั้นขึ้นมาได้อีกมากเป็นแน่ แต่อย่างไรพวกมันก็ไม่สามารถห้ามนางได้เช่นกัน พวกมันคงทำได้เพียงใช้เวลาที่นางยังไม่พบเจ้านายคนใหม่ หาสมุนไพรมาให้นางช่วยหลอมให้ได้มากที่สุดเท่านั้น เสี่ยวจู้ในระหว่างที่อยู่กับเหล่าสัตว์อสูรในป่าแห่งนี้มีความสุขมากเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวจู้ซึ่งเพิ่งออกจากไข่มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย พวกเขาทำให้เสี่ยวจู้รู้ว่าการมีเพื่อนมาก ๆ แบบนี้ไม่เหงาเหมือนตอนอยู่ในไข่เลยสักนิด ในโลกมนุษย์ไม่ได้แย่อย่างที่เสี่ยวจู้คิดกลัวในตอนแรกเลย ตอนนี้เสี่ยวจู้สามารถปกปิดพลังสัตว์เทพเอาไว้ได้แล้ว หลังจากที่ฝึกฝนมาตลอดตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา ทำให้เสี่ยวจู้ดูเหมือนหมูน้อยน่ารักสีชมพูตัวหนึ่งเท่านั้น ยกเว้นพวกสัตว์อสูรทั้งหมดในป่าแห่งนี้ที่รู้ว่าเสี่ยวจู้ไม่ใช่หม
ณ วังมังกร แดนสวรรค์ องค์หญิงหลงเอ้อหลิงใช้เวลาในการสร้างไข่สัตว์เทพเพื่อให้ช่วยเก็บสมุนไพรและปรุงยาให้นางมาเกือบสามร้อยปี โดยตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าในไข่นั้นจะเป็นสัตว์เทพชนิดใด แต่ด้วยพลังเทพมังกรซึ่งเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง นางมั่นใจว่าไข่สัตว์เทพของนางจะต้องมีพลังและความสามารถมากมายจากที่นางมอบความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรรวมถึงการปรุงยาให้กับสัตว์เทพในไข่ ไม่เว้นแม้กระทั่งพลังการต่อสู้ที่นางมอบให้เพื่อป้องกันการถูกรังแกจากสัตว์ตัวอื่นระหว่างการหาสมุนไพร นางเฝ้าฟูมฟักจนไข่ใกล้จะฟักออกมาในอีกไม่นานนี้แล้ว ก่อนที่ไข่จะฟักออกมา องค์หญิงเห็นว่าสมุนไพรของนางลดลงไปมากจึงออกไปที่ป่าสวรรค์ชั้นในและคิดจะรีบกลับมาเพื่อรอไข่ฟัก ระหว่างที่นางไม่อยู่ในตำหนัก หลานชายตัวน้อยที่อายุเพียงไม่กี่ร้อยปีกลับไม่รู้ว่าอาหญิงไม่อยู่ เขาชอบมาเล่นที่นี่กับอาหญิงบ่อย ๆ พอเห็นไข่กลม ๆ วางอยู่ในตำหนัก เขาจึงคิดว่าเป็นของเล่นที่อาหญิงน่าจะเตรียมเอาไว้ให้ องค์ชายน้อยที่มีพลังมังกรมาตั้งแต่เกิดหยิบไข่ขึ้นมาแล้วนำออกไปเล่นที่ลานกลางวังมังกรอย่างสนุกสนาน กระทั่งเขานึกเบื่อจึงเขวี้ยงไข่ออกไปจนสุดแรงโดยไม่สนใจทิศทาง เขาคิด