เจิ้งหลินพาเสี่ยวจู้ไปยังกระท่อมที่พักในตำหนักสัตว์อสูรพร้อมเพื่อนทั้งสามคนที่พาสัตว์อสูรของตนเองกลับไปพักผ่อนด้วย
“นี่เจิ้งหลิน เจ้าจะออกไปซื้ออาหารกลับมากินด้วยกันหรือไม่” อู๋อิงถาม
“พวกเจ้าหิวแล้วหรือ?”
“ยังหรอก แต่พวกเราไม่อยากเจอพวกแซ่เฟินนั่นน่ะ เลยอยากไปซื้อมาไว้ก่อน”
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ เสี่ยวจู้ เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ พวกเราไปไม่นาน”
“อื้อ… ข้าจะรอพวกเจ้า” เสี่ยวจู้ส่งเสียงเล็ก ๆ ตอบกลับ
“รีบไปกันเถอะ” เซียวเหมยกล่าว
ทั้งสี่ปล่อยให้สัตว์อสูรพักอยู่ด้วยกันที่กระท่อมของพวกนาง โดยไม่รู้เลยว่าสัตว์อสูรอีกสามตัวพากันไปหมอบอยู่ตรงหน้าเสี่ยวจู้พร้อมรอคำสั่ง“พวกเจ้ามียาติดตัวมาหรือไม่” เสี่ยวจู้ถาม
“มียาเหลืออีกมากขอรับ ท่านเสี่ยวจู้ไม่ต้องเป็นห่วง” เสี่ยวเหวินตอบ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกเจ้ากินอะไรเป็นอาหารกันหรือ?”
“พวกข้าส่วนใหญ่กินสัตว์เล็กเป็นอาหารขอรับ” เสี่ยวเฮยกล่าว
“อั้ยย่ะ แล้วในสำนักนี้จะมีสัตว์เล็ก ๆ ให้พวกเจ้ากินกันหรือไม่”
“ท่านเสี่ยวจู้ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ พวกเราจะออกไปล่าด้านนอกตอนดึก” เสี่ยวเหิงกล่าวแผนการของตนที่คุยกับเพื่อนทั้งสองทางกระแสจิตก่อนหน้านี้
“อืม… พวกเจ้าออกไปก็ระวังตัวด้วยเล่า ที่นี่เราไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง”
“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วงขอรับ พวกเราจะระวังตัวให้ดี แล้วท่านเสี่ยวจู้จะกินอะไรขอรับ ที่นี่ไม่น่าจะมีผลไม้เหมือนในป่าอสูรที่ท่านชอบ” เสี่ยวเหวินกล่าวอย่างเป็นห่วงเพราะปกติเสี่ยวจู้กินแต่ผลไม้เท่านั้น
“ข้าขออาหารจากเจ้านายข้ากินได้ ความจริงพวกเจ้าให้นายของเจ้าหาเนื้อสดมาให้ไม่ดีกว่าหรือ? ข้าคิดว่าพวกนางน่าจะหาให้ได้กระมัง”
“อ่า… พวกเราลืมไปเลยว่ามีเจ้านายแล้ว เช่นนั้นรอพวกเขากลับมาก่อนค่อยถามก็แล้วกันนะขอรับ” เสี่ยวเหิงกล่าว
“ตกลง ทำตามที่พวกเจ้าว่าเถอะ” เสี่ยวจู้ยิ้มตอบก่อนจะหลับตาลงรอเจิ้งหลิน
ระหว่างทางไปยังโรงอาหารในสำนัก พวกเจิ้งหลินก็ปรึกษากันว่าจะซื้อสิ่งใดให้สัตว์อสูรของตนกินเช่นกัน“เจ้าว่าสัตว์อสูรของข้าจะชอบกินอะไร?” หานชิงถามเพื่อน ๆ
“สิงโตทองของเจ้าน่าจะชอบกินเนื้อนะ เสือดำของข้าก็คงไม่ต่างกัน” อู๋อิงตอบ
“แล้วอินทรีฟ้าของข้าเล่า จะชอบกินเนื้อเหมือนกันไหม?” เซียวเหมยถามต่อ
“ข้าคิดว่าน่าจะชอบนะ สัตว์อสูรส่วนใหญ่ที่ศิษย์พี่ในตำหนักมีอยู่ก็ชอบทั้งนั้นนี่ แต่เสี่ยวจู้ของข้านางชอบกินผลไม้น่ะ ไม่แน่เสี่ยวจู้อาจชอบอาหารของพวกเราด้วยก็ได้ ข้าคิดว่าจะลองให้มันชิมดูก่อน” เจิ้งหลินกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“เสี่ยวจู้ของเจ้าช่างน่ารักนัก ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริง ๆ เจิ้งหลิน” อู๋อิงเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้านี่นะ สัตว์อสูรของพวกเจ้าเองก็ไม่เลวนี่ พวกมันดูเชื่องกว่าของคนอื่นอีก”
“นั่นมันก็ใช่ แต่เจ้าก็รู้ว่าพวกเราชอบสัตว์น่ารัก ๆ นี่นา” เซียวเหมยกล่าว
“ปัดโธ่ แล้วอินทรีฟ้าของเจ้าไม่น่ารักหรืออย่างไร มันตัวเล็กน่ารักเหมือนกันนี่”
“เจ้าไม่เข้าใจ อย่างไรอินทรีฟ้าของข้าก็ยังไม่น่ารักเท่าเสี่ยวจู้ของเจ้าอ่ะ”
ทั้งสี่คนเดินไปคุยไปอย่างสนุกสนาน พวกนางเดินผ่านศิษย์ในสำนักหลายคนที่เดินไปยังโรงอาหารกลางสำนักหลายกลุ่มจึงทักทายกันอย่างสนิทสนม ส่วนศิษย์พี่ในสำนักส่วนใหญ่ออกไปทำภารกิจเพื่อรับยาหรือเงินค่าจ้างที่สำนักรับงานนอกมาให้พวกเขาไปทำกันเป็นปกติส่วนกลุ่มของเฟินเสี่ยวหยางกับเฟินเสี่ยวเซี่ยที่พวกนางกังวลนั้นกำลังนอนพักผ่อนอยู่ในกระท่อมที่ตำหนักของตนเอง พวกเขามีลูกน้องที่สามารถใช้ไปซื้ออาหารให้หลายคนจึงไม่สนใจจะไปเองให้เหนื่อย อย่างไรพวกเขาก็มีเงินที่ท่านพ่อท่านแม่ส่งมาให้ทุกเดือนจึงอยู่อย่างสุขสบายเช่นนี้ค่ำนั้นที่หน้ากระท่อมของเจิ้งหลินครึกครื้นขึ้นไม่น้อยหลังจากพวกนางได้รับสัตว์อสูรประจำตัว อีกทั้งอาหารและเนื้อที่พวกนางซื้อมาก็เป็นที่พอใจของสัตว์อสูรของตนเองด้วย เสี่ยวจู้ลองชิมอาหารของเจิ้งหลินที่นางซื้อมาให้ก็ติดใจ มันคิดว่าอาหารพวกนี้อร่อยกว่าผลไม้ที่มันเคยกินเสียอีก จึงกินไปจนหมด“ฮ่า ฮ่า เจิ้งหลิน เจ้าดูเสี่ยวจู้สิ ดูท่าทางมันจะชอบอาหารที่เจ้าซื้อมากเลยนะ”
“นั่นสิ ๆ ท่าทางการกินของเสี่ยวจู้ก็ช่างน่ารักนัก” หานชิงกับอู๋อิงกล่าว
“ข้าเห็นเสี่ยวจู้ชอบก็พอใจแล้วล่ะ หลังจากนี้พวกเราก็จะได้เลี้ยงดูพวกมันให้ดี”
“แน่นอนว่าต้องเลี้ยงดูพวกมันให้ดี ว่าแต่พรุ่งนี้เราต้องเข้าเรียนแล้วสินะ”
“ใช่แล้วล่ะ น่าเบื่อจริง ๆ เลย ข้าไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อาจารย์จะสอนอะไรบ้าง”
“พวกเจ้าก็ตั้งใจเรียนกันดีกว่าน่า อย่างไรตำหนักสัตว์อสูรของเราก็คงสอนเรื่องเกี่ยวกับสัตว์อสูรเท่านั้นแหละ” เจิ้งหลินบอกเพื่อน ๆ
หลังอาหารค่ำ เจิ้งหลินแยกกับเพื่อน ๆ กลับเข้ากระท่อมไปพร้อมเสี่ยวจู้ ก่อนนอนเสี่ยวจู้จึงสอบถามเจิ้งหลินว่านางอยากหัดหลอมยาหรือไม่“หืม? ทำไมเจ้าถามเรื่องนี้เล่าเสี่ยวจู้”
“หากเจ้าอยากเรียนหลอมยา ข้าสอนเจ้าได้นะ” เสี่ยวจู้ยิ้มตอบ
“เจ้าพูดจริงหรือ?” เจิ้งหลินกล่าวอย่างตื่นเต้น นางฝันมานานแล้วว่าอยากหลอมยา
“แน่นอนว่าจริง เจ้าไม่เห็นข้าเก็บสมุนไพรก่อนกลับมากับเจ้าหรือ?”
“เห็น ข้าเห็น แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรู้จักวิธีการหลอมยาด้วย เจ้าเก่งจริง ๆ เสี่ยวจู้”
เจิ้งหลินอุ้มเสี่ยวจู้ขึ้นมาแล้วฟัดแก้มอูม ๆ สองข้างของหมูน้อยสีชมพูอย่างหมั่นเขี้ยว นางไม่คิดว่าสัตว์อสูรตัวน้อยของตนนั้นจะมีความสามารถเช่นนี้“คิก คิก เจ้าพอได้แล้ว ข้าจะสอนขั้นตอนการหลอมยา เจ้าจำให้ดี ๆ”
“ตกลง ๆ ข้าจะตั้งใจเรียนกับเจ้าเสี่ยวจู้”
เสี่ยวจู้เห็นเจิ้งหลินมีแววตาเป็นประกายพร้อมทั้งตั้งใจฟังอย่างที่กล่าว นางก็ค่อย ๆ พูดถึงขั้นตอนการหลอมยาในความทรงจำที่ได้รับมาจากองค์หญิงมังกรคืนนั้นกว่าที่หนึ่งคนหนึ่งสัตว์อสูรจะได้นอนก็ดึกมากแล้ว เสี่ยวจู้บอกให้เจิ้งหลินรีบพักผ่อนก่อน หากจำขั้นตอนจนขึ้นใจแล้วนางจึงจะให้ทดลองหลอมยาด้วยสมุนไพรที่นางเก็บไว้ในมิติจิตทั้งสองตกลงกันก่อนแล้วว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่เช่นนั้นหากมีคนรู้ว่าพวกนางสามารถหลอมยาได้ทั้งที่เป็นคนของตำหนักสัตว์อสูรคงมีเรื่องตามมาอีกไม่น้อยเป็นแน่รุ่งเช้าวันต่อมา เจิ้งหลิน หานชิง อู๋อิงและเซียวเหมยพาสัตว์อสูรของตนไปยังโรงอาหารกลางเพื่อกินข้าวเช้า พวกนางยังต้องเข้าเรียนพร้อมกับสัตว์อสูรของตนเองในวันนี้ตามที่อาจารย์บอกเอาไว้ที่ตำหนักสัตว์อสูรวันนี้คึกคักกันมาก ศิษย์ที่มีสัตว์อสูรต่างยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยรออาจารย์สอน ส่วนศิษย์ที่ยังไม่มีสัตว์อสูรก็เข้าเรียนด้วยเช่นกัน ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีวาสนา แต่การเรียนที่จำเป็นก็ยังต้องเรียนเช่นกัน“วันนี้ข้าจะสอนพวกเจ้าให้เชื่อมจิตกับสัตว์อสูรในเวลาต่อสู้ พวกเจ้าจงตั้งใจฟังกันให้ดีเล่า การเชื่อมจิตกับสัตว์อสูรของตนนั้นต้องใช้สมาธิสื่อสารกับสัตว์อสูรระหว่างการต่อสู้ หากทั้งสองมีใจเป็นหนึ่งเดียวแล้ว พลังการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นมากถึงสองเท่าเป็นอย่างน้อย นี่จะต้องดูด้วยว่าสัตว์อสูรของพวกเจ้ามีพลังมากเพียงใดด้วย เอาล่ะ พวกเจ้าทดลองเชื่อมจิตดูก่อน โดยไหลเวียนลมปราณของตนเองและตั้งสมาธิให้ดี จากนั้นจับที่ตัวของสัตว์อสูรเพื่อเชื่อมจิต หลังจากรับรู้ถึงพลังของกันและกันแล้วเท่านั้นจึงจะนับว่าทั้งสองเชื่อมจิตกันได้อย่างสมบูรณ์”
ศิษย์ที่มีสัตว์อสูรต่างทำตามขั้นตอนที่อาจารย์สอนพร้อมกัน พวกเขาพยายามตั้งสมาธิเพื่อเชื่อมจิตกับสัตว์อสูรของตน หากผู้ใดสามารถเชื่อมจิตได้สำเร็จจะมีแสงสว่างระหว่างเจ้าของสัตว์อสูรกับสัตว์อสูรปรากฏขึ้นพรึ่บ!!!
เจิ้งหลินเป็นคนแรกที่เชื่อมจิตกับเสี่ยวจู้ได้ในเวลาเพียงไม่ถึง 10 ลมหายใจ ทำให้อาจารย์พอใจกับพรสวรรค์ของเจิ้งหลินมากยิ่งขึ้น คนถัดไปเป็นเซียวเหมย อู๋อิงและหานชิงตามลำดับ ส่วนเพื่อนร่วมชั้นอีกหลายคนนั้นยังคงพยายามเชื่อมจิตกันอยู่แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จอย่างรวดเร็วเหมือนพวกนางทั้งสี่ นั่นเพราะสัตว์อสูรของพวกนางมีระดับสูงกว่าคนอื่น ๆ ทำให้การสื่อสารระหว่างกันเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่นเช่นนี้“ดี ดี พวกเจ้าที่เชื่อมจิตได้แล้วทดลองใช้พลังปราณร่วมกับสัตว์อสูรทำลายเป้าที่ด้านโน้นดูสิ” อาจารย์ชี้ไปยังเป้าที่อยู่ในสนามไม่ไกลนัก
เหล่าศิษย์ที่เชื่อมจิตได้แล้วพาสัตว์อสูรของตนไปอีกด้านหนึ่งที่มีเป้าจำนวนมากตั้งอยู่ในลาน เจิ้งหลินทดลองใช้พลังฝ่ามือซัดไปที่เป้าอย่างไม่ออมแรงจนเป้าที่อยู่ห่างออกไปแตกกระจายเป็นผุยผงภายในฝ่ามือเดียว ทั้งที่ปกติหากนางทดลองทำลายเป้าด้วยพลังปราณของนางจะไม่มีพลังรุนแรงมากถึงเพียงนี้ เจิ้งหลินหันไปมองเสี่ยวจู้ที่ยืนยิ้มอยู่ด้านข้างอย่างภูมิใจกับนายของตนคนอื่น ๆ เห็นพลังทำลายของเจิ้งหลินเข้าต่างก็ตกตะลึงกันไม่น้อย พวกเขาไม่คิดเลยว่าเมื่อเจิ้งหลินร่วมต่อสู้กับสัตว์อสูรตัวเล็กน่ารักอย่างเสี่ยวจู้แล้ว พลังทำลายล้างกลับสูงส่งจนแทบเหมือนเป็นคนละคนเลยทีเดียวเมื่อได้เห็นพลังของเจิ้งหลินและเสี่ยวจู้ตัวน้อย ศิษย์คนอื่นก็ทดลองทำตามบ้างเช่นกัน เพียงแต่ด้วยพลังอันน้อยนิดของพวกเขาและสัตว์อสูร จึงทำได้เพียงสร้างความเสียหายเล็กน้อยให้เป้าที่เล็งไว้เท่านั้นอาจารย์ผู้สอนก็ไม่นึกเช่นกันว่าเจิ้งหลินกับสัตว์อสูรตัวน้อยของนางจะสามารถทำลายเป้าที่แข็งแกร่งของตำหนักได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาได้แต่สงสัยว่าสัตว์อสูรหมูน้อยสีชมพูตัวนั้นมีพลังระดับใดกันแน่ เพราะขนาดเขาที่มีพลังปราณสูงส่งยังไม่สามารถตรวจสอบระดับพลังของเสี่ยวจู้ได้แม้แต่น้อยศิษย์ในตำหนักสัตว์อสูรเรียนรู้เรื่องนี้ไปจนกระทั่งเลิกเรียนในตอนเย็น ถึงแม้บางคนจะยังทำได้ไม่ดีนัก แต่ก็นับว่าพอจะร่วมมือกับสัตว์อสูรของตนได้บ้างแล้ว อาจารย์จึงคิดจะสอนพวกเขาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนพอจะรู้วิธีการต่อสู้ร่วมกับสัตว์อสูรของตนแล้วสินะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้อาจารย์จะสอนต่อ โดยให้จับคู่ต่อสู้กัน เลิกเรียนได้”
“ศิษย์คำนับอาจารย์ขอรับ/เจ้าค่ะ” เหล่าศิษย์กล่าวลาเสร็จก็แยกย้ายกันกลับไป
เจิ้งหลินพาเสี่ยวจู้ไปยังกระท่อมที่พักในตำหนักสัตว์อสูรพร้อมเพื่อนทั้งสามคนที่พาสัตว์อสูรของตนเองกลับไปพักผ่อนด้วย“นี่เจิ้งหลิน เจ้าจะออกไปซื้ออาหารกลับมากินด้วยกันหรือไม่” อู๋อิงถาม“พวกเจ้าหิวแล้วหรือ?”“ยังหรอก แต่พวกเราไม่อยากเจอพวกแซ่เฟินนั่นน่ะ เลยอยากไปซื้อมาไว้ก่อน”
“นี่..นี่มันอะไรกันเนี่ย? เหตุใดจึงมีสัตว์อสูรมากมายเช่นนี้ แถมยัง..
หลังจากเจิ้งหลินทำความสะอาดเสี่ยวจู้ดีแล้ว นางก็หันมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย เจิ้งหลินไม่รู้ว่าตัวเองเดินลึกเข้ามามากแค่ไหนแถมตอนนี้นางยังมีหมูน้อยหนึ่งตัวให้ดูแลอยู่“อืม.. ทำอย่างไรดีนะ หากปล่อยให้เจ้าอยู่ในป่าที่อันตรายเช่นนี้ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะถูกสัตว์ป่าตัวอื่นทำร้าย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อข้าไม่พบสัตว์อสูรตัวอื่นที่พอจะทำพันธะสัญญาได้ เจ้าก็มาเป็นสัตว์ในพันธะสัญญาของข้าดีหรือไม่”
สองวันต่อมา อาจารย์แต่ละตำหนักแบ่งกลุ่มศิษย์ของตนออกไปแล้วแยกกันไปคนละทางเพื่อไม่ให้การตามหาสัตว์อสูรไปกระจุกตัวอยู่บริเวณเดียวกัน อาจารย์ทั้งสามคนของแต่ละตำหนักมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของศิษย์ที่อาจจะพลัดหลงเข้าไปในป่าชั้นใน ศิษย์ทุกคนได้รับคำสั่งให้ตามหาสัตว์อสูรขั้นปฐพีและนภาเท่านั้น เพราะฝีมือของพวกเขาคงไม่สามารถกำหราบสัตว์อสูรขั้นฟ้ากระจ่างได้ เพื่อความปลอดภัยเหล่าอาจารย์จึงกำชับให้พวกเขาตามหาสัตว์อสูรเพียงรอบนอกของป่าสัตว์อสูร หากมีศิษย์คนใดขัดคำสั่งและบาดเจ็บขึ้นมา ศิษย์เหล่านั้นจะถูกลงโทษหลังกลับไปถึงสำนัก กลุ่มของเจิ้งหลินพอได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ประจำตำหนัก พวกนางจึงแยกย้ายกันไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ ถึงอย่างไรศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรก็มีความได้เปรียบเรื่องการจับสัตว์อสูรมากกว่าศิษย์จากตำหนักอื่น อีกทั้งพวกเขายังมีฝีมือไม่ธรรมดากันสักคน เพียงแต่ทุกคนในตำหนักต่างเก็บงำฝีมือเอาไว้โดยไม่ให้ตำหนักอื่นระแคะระคายได้แม้แต่น้อย นี่เป็นการสั่งสอนของเจ้าตำหนักที่ไม่อยากให้เด็ก ๆ ในตำหนักโอ้อวดความเก่งกาจจนมีภัยมาถึงตนใจกลางป่าสัตว์อสูร“ท่านเสี่ยวจู้ขอรับ คนจากสำนักพรตหนานหนิงมากั
หนึ่งเดือนผ่านไป เสี่ยวจู้ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้นำของเหล่าสัตว์อสูรหลอมยาจำนวนมากให้กับสัตว์อสูรจนพวกมันบางตัวก็สามารถเลื่อนระดับขั้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้สัตว์อสูรทุกตัวต่างยอมรับนับถือหมูน้อยสีชมพูตัวนี้มากขึ้นไปอีก พวกมันไม่อยากให้นางจากไปเลย หากนางยังคงอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ พวกมันคงสามารถพัฒนาระดับขั้นขึ้นมาได้อีกมากเป็นแน่ แต่อย่างไรพวกมันก็ไม่สามารถห้ามนางได้เช่นกัน พวกมันคงทำได้เพียงใช้เวลาที่นางยังไม่พบเจ้านายคนใหม่ หาสมุนไพรมาให้นางช่วยหลอมให้ได้มากที่สุดเท่านั้น เสี่ยวจู้ในระหว่างที่อยู่กับเหล่าสัตว์อสูรในป่าแห่งนี้มีความสุขมากเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวจู้ซึ่งเพิ่งออกจากไข่มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย พวกเขาทำให้เสี่ยวจู้รู้ว่าการมีเพื่อนมาก ๆ แบบนี้ไม่เหงาเหมือนตอนอยู่ในไข่เลยสักนิด ในโลกมนุษย์ไม่ได้แย่อย่างที่เสี่ยวจู้คิดกลัวในตอนแรกเลย ตอนนี้เสี่ยวจู้สามารถปกปิดพลังสัตว์เทพเอาไว้ได้แล้ว หลังจากที่ฝึกฝนมาตลอดตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา ทำให้เสี่ยวจู้ดูเหมือนหมูน้อยน่ารักสีชมพูตัวหนึ่งเท่านั้น ยกเว้นพวกสัตว์อสูรทั้งหมดในป่าแห่งนี้ที่รู้ว่าเสี่ยวจู้ไม่ใช่หม
ณ วังมังกร แดนสวรรค์ องค์หญิงหลงเอ้อหลิงใช้เวลาในการสร้างไข่สัตว์เทพเพื่อให้ช่วยเก็บสมุนไพรและปรุงยาให้นางมาเกือบสามร้อยปี โดยตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าในไข่นั้นจะเป็นสัตว์เทพชนิดใด แต่ด้วยพลังเทพมังกรซึ่งเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง นางมั่นใจว่าไข่สัตว์เทพของนางจะต้องมีพลังและความสามารถมากมายจากที่นางมอบความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรรวมถึงการปรุงยาให้กับสัตว์เทพในไข่ ไม่เว้นแม้กระทั่งพลังการต่อสู้ที่นางมอบให้เพื่อป้องกันการถูกรังแกจากสัตว์ตัวอื่นระหว่างการหาสมุนไพร นางเฝ้าฟูมฟักจนไข่ใกล้จะฟักออกมาในอีกไม่นานนี้แล้ว ก่อนที่ไข่จะฟักออกมา องค์หญิงเห็นว่าสมุนไพรของนางลดลงไปมากจึงออกไปที่ป่าสวรรค์ชั้นในและคิดจะรีบกลับมาเพื่อรอไข่ฟัก ระหว่างที่นางไม่อยู่ในตำหนัก หลานชายตัวน้อยที่อายุเพียงไม่กี่ร้อยปีกลับไม่รู้ว่าอาหญิงไม่อยู่ เขาชอบมาเล่นที่นี่กับอาหญิงบ่อย ๆ พอเห็นไข่กลม ๆ วางอยู่ในตำหนัก เขาจึงคิดว่าเป็นของเล่นที่อาหญิงน่าจะเตรียมเอาไว้ให้ องค์ชายน้อยที่มีพลังมังกรมาตั้งแต่เกิดหยิบไข่ขึ้นมาแล้วนำออกไปเล่นที่ลานกลางวังมังกรอย่างสนุกสนาน กระทั่งเขานึกเบื่อจึงเขวี้ยงไข่ออกไปจนสุดแรงโดยไม่สนใจทิศทาง เขาคิด