“นี่..นี่มันอะไรกันเนี่ย? เหตุใดจึงมีสัตว์อสูรมากมายเช่นนี้ แถมยัง..ไม่มีท่าทางก้าวร้าวเลยสักนิดอ่ะ” อู๋อิงหันไปถามเพื่อน ๆ อย่างอดไม่ได้
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” หานชิงส่ายหน้าอย่างประหลาดใจ
“เสี่ยวจู้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เจิ้งหลินหันไปถามเสี่ยวจู้ที่นอนเล่นรออยู่ข้าง ๆ
“หืม? เพื่อนของท่านไม่ได้ต้องการสัตว์อสูรประจำตัวหรือ? ข้าเพียงแค่เรียกพวกเขามาให้เพื่อนของท่านเลือกเท่านั้นเอง” เสี่ยวจู้เงยหน้าตอบตาปริบ ๆ
เจิ้งหลินพอฟังแล้วเห็นหน้าตาน่ารักของหมูน้อยตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะไปอุ้มเสี่ยวจู้ขึ้นมาหอมแก้มเสียหลายฟอด“ขอบคุณเจ้ามากเสี่ยวจู้ เจ้าน่ารักจริง ๆ ฟอด”
“ฮิ ฮิ ท่านทำอะไร ข้าจั๊กจี้นะ ฮิ ฮิ” เสี่ยวจู้หัวเราะคิกคัก
“พวกเจ้าได้ยินเสี่ยวจู้พูดแล้วนะ ลองเลือกดูว่ามีสัตว์อสูรตนใดที่พวกเจ้าอยากทำพันธะสัญญาบ้าง อ้อ อย่าลืมขอบคุณเสี่ยวจู้ของข้าด้วยเล่า ฮิ ฮิ” เจิ้งหลินพูดอย่างภาคภูมิใจกับสัตว์อสูรสุดน่ารักของนาง
“ตกลง ๆ ขอบคุณมากนะเสี่ยวจู้ เจ้าน่ารักมากจริง ๆ” เซียวเหมยรีบหันไปหาเสี่ยวจู้
“ใช่ ๆ ขอบคุณมากนะเสี่ยวจู้” อู๋อิงหันไปขอบคุณเช่นกัน
“ข้าเองก็ต้องขอบคุณเจ้านะเสี่ยวจู้ หากไม่ได้เจ้าช่วย พวกเราคงหาสัตว์อสูรในพันธะสัญญาไม่ได้แน่” หานชิงยิ้มขอบคุณ
ทั้งสามรีบขอบคุณเสี่ยวจู้ตัวน้อยก่อนจะหันไปเลือกดูว่าอยากได้สัตว์ตัวใดเป็นสัตว์อสูรประจำตัวของตนเอง สัตว์อสูรตรงหน้าพอเห็นว่ามีใครบ้างที่มากับนายใหม่ของท่านเสี่ยวจู้ ทุกตัวต่างกระตือรือร้นเพื่อที่จะให้เป็นผู้ถูกเลือกจะได้ติดตามท่านเสี่ยวจู้ออกไปนอกป่านี้เพื่อดูโลกภายนอกบ้างเสือดำระดับฟ้ากระจ่างรีบลุกเดินออกไปหมอบลงตรงหน้าอู๋อิงเพื่อให้นางเลือกตนเอง อู๋อิงนึกไม่ถึงว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะเดินมาให้นางเลือก“นี่ พวกเจ้าว่าเสือตัวนี้น่ารักหรือไม่ เจ้าดูสิ มันมองข้าตาแป๋วเลย” อู๋อิงหันไปกล่าว
“ข้าว่ามันก็น่ารักดีนะ ดูเชื่องเชื่อไม่น้อย หากเจ้าได้ไปน่าจะช่วยเหลือเจ้าได้เยอะเลย”
“ข้าก็เห็นด้วยกับอาชิงนะ” เซียวเหมยพยักหน้ายิ้มตอบเพื่อน
“อืม เช่นนั้นข้าขอฝากตัวด้วยนะเจ้าเสือดำ” อู๋อิงยื่นมือไปให้เสือดำทำพันธะสัญญา
แสงสว่างระดับฟ้ากระจ่างส่องประกายออกมาหลังจากการทำพันธะสัญญาแบบเท่าเทียมเสร็จสิ้น อู๋อิงไม่อยากทำพันธะสัญญาทาสกับเสือดำตัวนี้ นางจึงเลือกใช้พันธะสัญญาแบบเท่าเทียมแทน ทำให้เสือดำคิดไม่ผิดที่เลือกนางมาเป็นนายตนหานชิงเองก็มีสิงโตทองเดินมาหมอบตรงหน้าเช่นเดียวกัน นางจึงไม่รีรอที่จะทำพันธะสัญญากับมันทันทีไม่ต่างจากอู๋อิง แสงสว่างอีกดวงส่องสว่างขึ้นมาเพื่อแสดงว่าการทำพันธะสัญญาได้เกิดขึ้นแล้วส่วนเซียวเหมยนั้นมีอินทรีฟ้าที่ลดขนาดตัวลงไปยืนเกาะอยู่ที่ไหล่ของนางอย่างถือสิทธิ์ ทำให้สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ไม่กล้าแย่งเจ้านายกับเขา เซียวเหมยหันมองก็เห็นว่านกตัวนี้น่ารักไม่แพ้หมูน้อยของเจิ้งหลินจึงไม่ลังเลที่จะทำพันธะสัญญากับมันเช่นเดียวกับเพื่อน ๆ ทุกคนต่างทำพันธะสัญญาแบบเท่าเทียมเหมือนกัน พวกนางรู้ดีว่าสัญญาแบบนี้จะทำให้สามารถอยู่ร่วมกับสัตว์อสูรของตนได้ดีกว่าการใช้สัญญาทาสที่เอาเปรียบสัตว์อสูรเหล่านี้หลังจากการทำพันธะสัญญาเสร็จสิ้นลง เสี่ยวจู้ก็ใช้กระแสจิตบอกให้สัตว์ที่เหลือตามหาผู้มีวาสนากับตนเอง เผื่อว่าพวกมันจะได้พบกับนางอีกครั้งที่สำนักของเจิ้งหลินบ้าง สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ รับคำเสี่ยวจู้ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามหาเจ้านายตนตามคำแนะนำของเสี่ยวจู้ทันที“ตอนนี้พวกเราก็ได้สัตว์อสูรกันครบแล้ว เราจะทำอะไรกันต่อล่ะ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวันในการตามหาสัตว์อสูรนะ” อู๋อิงถามเพื่อน ๆ
“ข้าว่าเราเดินเล่นหาผลไม้กับแม่น้ำเพื่อล้างหน้าล้างตากันสักหน่อยเถอะค่อยว่ากัน”
“ตกลง ไปกัน ๆ” เซียวเหมยยิ้มตอบเพื่อน
ทั้งสี่คนเดินไปตามทางที่เจิ้งหลินจำได้ว่ามีแม่น้ำสายหนึ่งอยู่เมื่อวานนี้ เพื่อนทั้งสามของนางต่างคุยกับสัตว์อสูรของตนเพื่อแนะนำตัวในระหว่างทาง ทั้งยังตั้งชื่อให้กับสัตว์อสูรของตนตามคำที่พวกมันร้องของด้วย เสือดำของอู๋อิงได้ชื่อใหม่ว่าเสี่ยวเฮย สิงโตทองของหานชิงได้ชื่อว่าเสี่ยวเหวิน ส่วนอินทรีฟ้าของเซียวเหมยได้ชื่อว่าเสี่ยวเหิง เสือดำและสิงโตทองให้นายของพวกมันนั่งบนหลังเดินตามเจิ้งหลินกับเซียวเหมยไปอย่างสบาย ๆ ทำให้ทั้งสองอิจฉาไม่น้อย เพียงแต่พวกนางมีหรือจะกล้านั่งกันบนหลังของสัตว์อสูรตนเองอย่างเพื่อนทั้งสอง เพราะเจิ้งหลินรักและเอ็นดูเสี่ยวจู้มากจนไม่กล้าทำเช่นนั้น ส่วนเซียวเหมยก็กลัวว่าอินทรีฟ้าของตนจะลำบาก พวกนางจึงเดินเท้าด้วยตัวเอง ทั้งยังกอดสัตว์อสูรทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ด้วยอาจารย์ทั้งสามในตำหนักสัตว์อสูรไม่รู้ว่าพวกเจิ้งหลินเข้าไปในป่าชั้นกลางกันแล้ว เป็นเพราะมีศิษย์มากกว่าอาจารย์จึงทำให้พวกเขาไม่ทันสังเกต หากพวกเขารู้ว่าเจิ้งหลินกับเพื่อนเข้าไปในป่าชั้นกลางคงถูกทำโทษกันเป็นแน่หลังจากที่เจิ้งหลินพาทุกคนพักผ่อนที่ริมแม่น้ำเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว นางจึงชวนเพื่อน ๆ ไปหาสมุนไพรโดยมีเสี่ยวจู้กับสัตว์อสูรทั้งสามช่วยกันตามหาเพื่อคร่าเวลาจนกว่าจะถึงวันเดินทางกลับในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ศิษย์คนอื่น ๆ ในตำหนักสัตว์อสูรถึงแม้จะได้สัตว์อสูรระดับสูงสุดเพียงแค่ระดับนภาเท่านั้น แต่พวกเขาก็ดีใจกันมากแล้ว ขอเพียงตั้งใจฝึกฝน พวกเขากับสัตว์อสูรในพันธะสัญญาจะต้องมีพลังเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอนสำหรับศิษย์ในตำหนักปรุงยากับตำหนักกระบี่นั้นไม่ค่อยใส่ใจมากนักกับเรื่องระดับของสัตว์อสูร พวกเขาเพียงหาตัวที่เหมาะสมสำหรับการต่อสู้และช่วยหาสมุนไพรให้เท่านั้นเฟินเสี่ยวหยางที่บาดเจ็บตั้งแต่วันแรกนั้นได้รับสัตว์อสูรจิ้งจอกเงินระดับนภาด้วยการบังคับทำพันธะสัญญาในวันที่สองของการเดินทาง ทำให้จิ้งจอกเงินรังเกียจเฟินเสี่ยวหยางที่จู่ ๆ มาบังคับมันไม่น้อย แถมยังทำให้มันเป็นทาสตนเองอีกด้วย มันได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ติดตามท่านเสี่ยวจู้ไปอีกทางหนึ่งจึงต้องมาซวยถูกคนเลวจับตัวไปเช่นนี้เฟินเสี่ยวเซี่ยเองก็พบกับหนูทองสำหรับใช้หาสมุนไพรระดับปฐพีตัวหนึ่งเข้าเช่นกัน นางก็ไม่ต่างกับพี่ชายที่บังคับทำสัญญาทาสกับหนูทองเช่นเดียวกัน หนูทองได้แต่โมโหที่เจอนายแบบนี้ นางสัญญากับตนเองว่าจะไม่ยอมหาสมุนไพรดี ๆ ให้กับเฟินเสี่ยวเซี่ยแน่จนกว่ามันจะสามารถยกเลิกพันธะสัญญาได้บ่ายของวันที่สาม เหล่าศิษย์ต่างออกมารวมตัวกันในจุดนัดพบที่นอกป่าสัตว์อสูรตามคำสั่งของอาจารย์ในวันแรก มีหลายคนที่ไม่พบสัตว์อสูรที่ต้องการทำให้ปีหน้าพวกเขาจะต้องเดินทางเข้ามาตามหาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะเดินทางร่วมกันกลับไปยังสำนักพรตหนานหนิงพร้อมสัตว์อสูรของตนเอง คนที่เห็นสัตว์อสูรของเจิ้งหลินต่างตกหลุมรักหมูน้อยน่ารักตัวนี้เข้าเต็มเปา พวกเขาไม่คิดว่าในป่าสัตว์อสูรจะยังมีสัตว์ที่น่ารักได้มากขนาดนี้ นอกจากพวกของเฟินเสี่ยวหยางกับเฟินเสี่ยวเซี่ยแล้ว คนอื่น ๆ ต่างชื่นชมเจิ้งหลินแทบทั้งนั้น“เฮอะ แค่หมูตัวหนึ่งทำเป็นได้ใจ สู้จิ้งจอกเงินของข้าก็ไม่ได้” เฟินเสี่ยวหยางกล่าวอย่างอวดโอ่เสียงดัง
“พี่ชายพูดถูก แค่หมูตัวเดียวจะไปมีพลังอะไรได้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี” เฟินเสี่ยวเซี่ยรีบกล่าวรับพี่ชายตนเอง
“เสียงหมาที่ใดเห่าอีกแล้วล่ะเนี่ย พวกเจ้าได้ยินไหมหลินเอ๋อ ชิงเอ๋อ” เซียวเหมยกล่าว
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันนะอาเหมย น่าจะเป็นพวกหมาไม่มีเจ้าของน่ะ” อู๋อิงเสริม
“หนอย!! พวกสารเลว คิดว่ามีสัตว์อสูรเป็นเสือกับสิงโตแล้วพวกข้าจะกลัวหรือ?”
“โอ้ หมามันเห่าอีกแล้ว พวกเรารีบไปห่าง ๆ จะดีกว่า ข้ากลัวว่าหมามันจะกัดเอา”
“เฮ้อ พวกเจ้านี่นะ อย่าไปสนใจพวกเขาก็สิ้นเรื่อง เราไปเดินด้านโน้นกันดีกว่าจะได้ไม่ต้องคอยรำคาญเสียงพวกนี้” เจิ้งหลินรีบชวนเพื่อนไปเดินอีกทางหนึ่ง
“เฮอะ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ขี้ขลาด” เฟินเสี่ยวหยางกล่าวอย่างดูถูก
เจิ้งหลินที่กำลังอุ้มเสี่ยวจู้ไม่สนใจคำถากถางของพวกเขา นางเบื่อที่จะต้องมีเรื่องกับคนตระกูลเฟินเต็มที หน้าที่นางมาเพื่อร่ำเรียนให้สมกับที่ท่านตาคาดหวังเอาไว้ นางไม่อยากให้เกิดเรื่องจนเสียชื่อเสียงไปถึงท่านตาของนางเหล่าอาจารย์ใช่ว่าจะไม่ได้ยิน พวกเขาได้แต่ส่ายหัวอย่างระอากับเด็กตระกูลเฟินสองคนนี้ที่คอยแต่จะหาเรื่องหลานสาวท่านกั๋วกง ทั้งที่จวนของตนเองเป็นเพียงขุนนางขั้นสี่เท่านั้น แต่ในเมื่อเจิ้งหลินไม่ต้องการมีเรื่องมีราว พวกเขาที่เป็นอาจารย์จึงได้แต่ไม่พูดสิ่งใด ปล่อยให้เด็กนิสัยเสียพวกนั้นพูดพร่ำไปดั่งหมาเห่าตามที่เพื่อนของเจิ้งหลินพูดนั่นแหละดีแล้วเสี่ยวจู้ตอนแรกคิดว่าเจิ้งหลินจะมีเรื่องก็ตั้งใจจะแสดงฝีมือสักหน่อย พอเห็นเจิ้งหลินพานางเดินไปทางอื่นพร้อมเพื่อน เสี่ยวจู้จึงได้แต่เงยหน้ามองเจิ้งหลินตาแป๋ว เสี่ยวจู้ไม่คิดว่านายใหม่คนนี้จะมีจิตใจแข็งแกร่งและสงบนิ่งเช่นนี้ หากว่าเสี่ยวจู้สอนเจิ้งหลินให้หลอมยาก็น่าจะไม่ยากนัก เพราะนักหลอมยาจะต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งและสงบนิ่งมากจึงจะหลอมยาออกมาได้เป็นอย่างดี เสี่ยวจู้รู้ว่าเจิ้งหลินเข้าเรียนที่ตำหนักสัตว์อสูรจากการที่อยู่ร่วมกันมาหลายวัน หากเสี่ยวจู้ทำให้เจิ้งหลินเป็นนักปรุงยาแบบลับ ๆ ได้ล่ะก็ การทำให้พลังปราณของเจิ้งหลินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ไม่ใช่เรื่องยากกว่าที่ทุกคนในสำนักพรตหนานหนิงจะกลับถึงตำหนักของตนเองก็เลยเวลาอาหารเย็นไปมากแล้ว ศิษย์ทุกคนจึงนำเสบียงที่เหลืออยู่กินแทนก่อนจะเข้าไปอาบน้ำและนอนพักผ่อนเพื่อเข้าเรียนกันในวันพรุ่งนี้ สำหรับการรายงานสัตว์อสูรของตนเองนั้นจะมีอาจารย์คอยสำรวจในวันพรุ่งนี้ก่อนเข้าเรียนเช่นกันคืนนั้นเสี่ยวจู้ส่งกระแสจิตบอกตำแหน่งของตนให้กับสัตว์อสูรที่ออกจากป่าพร้อมกันว่าหากมีเรื่องใดให้มาหาที่นี่ เสี่ยวจู้จะช่วยเหลือพวกเขาอย่างแน่นอน ทำให้สัตว์อสูรที่ถูกบังคับทำสัญญาต่างอยากรีบมาหาเสี่ยวจู้ให้ช่วยเหลือพวกมันหลายตน หลังจากคุยรายละเอียดแล้วเสี่ยวจู้ได้แต่บอกพวกมันอย่างเศร้า ๆ ว่าตอนนี้พลังของเสี่ยวจู้ยังไม่สามารถช่วยตัดพันธะสัญญาให้กับพวกมันได้ ต้องรอให้นางมีพลังเพิ่มมากกว่านี้เสียก่อนจึงจะช่วยได้สัตว์ทั้งหลายที่ถูกบังคับมาเข้าใจดีถึงความลำบากของท่านเสี่ยวจู้ พวกมันจึงบอกให้เสี่ยวจู้ไม่ต้องกังวล พวกมันจะรอจนกว่าเสี่ยวจู้จะมีพลังเพียงพอ ตอนนั้นพวกมันจะได้แก้แค้นคนที่บังคับพวกมันมาด้วยเช่นเดียวกันชินอ๋องเห็นท่าทางสงสัยของเจิ้งหลิน พระองค์จึงถามนางดู พอรู้ว่านางหากิเลนไฟอยู่ พระองค์จึงเล่าให้นางฟังว่ากิเลนไฟไปหาเสบียงอาหารในป่าให้กองทัพได้สองสามวันแล้ว เพราะในค่ายตอนนี้เหลือเพียงข้าวฟ่างเป็นเสบียงพอได้กินวันละมื้อเท่านั้น ทหารบางกลุ่มก็ออกไปล่าสัตว์มาเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้ไปไกลจากค่ายนักด้วยกลัวว่าจะมีศัตรูซุ่มโจมตี“ลำบากเสด็จพี่แล้วนะเพคะ เสบียงที่หม่อมฉันนำมาครั้งนี้มีทั้งข้าว ข้าวฟ่าง แป้ง ผักและเนื้อสัตว์ที่กว้านซื้อมาจากชาวบ้าน รับรองว่าของที่เก็บไว้ในกำไลเก็บของจะไม่เสียหายแม้แต่น้อยเพคะ” เจิ้งหลินยิ้มตอบชินอ๋อง“ขอบคุณน้องหญิงมาก เจ้าอยากพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่”
เจิ้งหลินส่งองครักษ์เข้าไปรายงานว่านางจะเดินทางไปส่งเสบียงให้ชินอ๋องที่ชายแดนแคว้นหยางด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นหากมีการยักยอกเสบียงหรือเดินทางไปถึงช้า อาจทำให้กองทัพที่กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้าอดอยากจนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยึดคืนพื้นที่เมืองของแคว้นชิง“เจ้าบอกพระชายาชินอ๋องให้ระมัดระวังตัวด้วย เราขอบคุณแทนกองทัพที่นางช่วยเหลือในครั้งนี้ ส่วนเงินค่าเสบียงนั้น ให้นางส่งรายการบัญชีมาเบิกกับเราได้” ฮ่องเต้ตรัสบอกองครักษ์ของเจิ้งหลินที่แอบมาส่งข่าว“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่อนุญาตให้พระชายาไป”“
สองปีต่อมา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของชินอ๋องและเจิ้งหลิน ตอนนี้พวกเขาต่างมีระดับพลังปราณสูงถึงระดับผ่าสวรรค์ขั้นปลายแล้ว ส่วนการหลอมอาวุธและชุดเกราะของเสี่ยวจู้ก็เป็นไปด้วยดีมาตลอด ยิ่งเสี่ยวจู้ได้รับเงินจำนวนมากจากฮ่องเต้เพื่อให้มันช่วยหลอมอาวุธระดับสวรรค์ให้ด้วยแล้ว เสี่ยวจู้กับกิเลนไฟก็ช่วยกันหลอมอาวุธแทบจะทุกวัน ยกเว้นเวลาที่ชินอ๋องมีราชกิจ กิเลนไฟจะไม่ได้ช่วยเสี่ยวจู้หลอมอาวุธเพราะต้องติดตามชินอ๋องไป
กว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็เกือบรุ่งสาง กิเลนไฟยังไม่ได้คุยกับเสี่ยวจู้เรื่องทำชุดเกราะให้มัน แต่มันคิดว่าเสี่ยวจู้น่าจะช่วยมันสร้างขึ้นมาได้ อีกอย่างพลังไฟสวรรค์ของมันก็ใช้หลอมอาวุธได้ดีกว่าพลังจิตวิญญาณที่เสี่ยวจู้ใช้อยู่ หากมันร่วมมือกันกับเสี่ยวจู้ กิเลนไฟคาดว่าความเร็วและคุณภาพของการหลอมน่าจะดีขึ้นยิ่งกว่าที่เสี่ยวจู้หลอมด้วยตัวเอง ขุนนางและชาวเมืองเห็นประกาศจากราชสำนักถึงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ก็ได้แต่ชื่นชมบุญวาสนาของชินอ๋อง พวกเขาไม่คิดว่าการสร้างอ
เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง เสี่ยวจู้ขอแยกตัวออกไปหลอมอาวุธที่เรือนของเจิ้งหลิน ชินอ๋องกับเจิ้งหลินนั้นอยู่ฝึกฝนพลังปราณที่เรือนหลักด้วยกัน เพราะทั้งสองไม่อยากรบกวนเสี่ยวจู้หลอมอาวุธ ส่วนอาหารนั้นบ่าวในจวนจะนำไปให้เสี่ยวจู้ตามเวลาอาหารของจวนตามปกติ เจิ้งหลินมอบยาเพิ่มปราณระดับสวรรค์ให้ชินอ๋องสามเม็ด นางเองก็กินลงไปสามเม็ดเช่นเดียวกัน ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะหลับตาเข้าสู่สมาธิเพื่อดูดซับฤทธิ์ยาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เรื่องการกินยาหลายเม็ดพร้อมกันไม่น
ผู้คนภายในงานต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเจิ้งหลินอย่างสนุกปาก เพียงแต่เรื่องนี้พวกนางไม่อาจทำสิ่งใดได้ หากเรื่องไปถึงหูของฝ่าบาทและฮองเฮา พวกนางก็กลัวว่าจะถูกตำหนิแทน อย่างไรพระชายาของชินอ๋องก็มีอำนาจมากกว่าพวกนางที่เป็นเพียงฮูหยินขุนนางเท่านั้น เรื่องในครั้งนี้จึงทำให้หลังจากนั้น เจิ้งหลินไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงใด ๆ ที่ได้รับเทียบเชิญอีกเลย กระทั่งชินอ๋องกลับมาจากภารกิจในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจิ้งหลินจึงชวนชินอ๋องไปหาซื้อเตาหลอมอาวุธตามที่เสี่ยวจู้อยากได้&