คืนนั้นเสี่ยวจู้ทดลองหลอมยาเพิ่มปราณระดับปฐพีให้เจิ้งหลินดูเป็นตัวอย่าง แต่เจิ้งหลินที่พลังปราณยังอยู่แค่ระดับฟ้ากระจ่างไม่สามารถหลอมได้อย่างที่เสี่ยวจู้ทำ นางได้แต่ทอดถอนใจอย่างเหนื่อยล้า ด้วยไม่คิดว่าการหลอมยานั้นจะยากลำบากมากเช่นนี้
“เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้ไปเจิ้งหลิน ข้าคิดว่าเจ้าคงต้องใช้เตาหลอมยาช่วยจึงจะหลอมได้”
“เฮ้อ ข้าเข้าใจเสี่ยวจู้ เพียงแต่เตาหลอมยาใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่าย ๆ อีกอย่างยังมีราคาแพงด้วยนะ ข้าไม่อยากใช้เงินเกินตัว”
“ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นถึงหลานสาวของกั๋วกงมิใช่หรือ? เหตุใดเจ้าไม่เขียนจดหมายไปหาตาของเจ้าให้เขาหาให้เล่า แบบนี้ข้าคิดว่าน่าจะดีกว่านะ” เสี่ยวจู้ออกความเห็น
“ข้าไม่อยากรบกวนท่านตามากนักน่ะสิ จวนกั๋วกงของข้าใช่ว่าจะสามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ ข้าจึงประหยัดกินประหยัดใช้มาตลอดตั้งแต่เข้าสำนัก”
“ข้าว่าเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หากตาของเจ้ารู้ว่าเจ้ากำลังหัดหลอมยาอย่างลับ ๆ อยู่ ข้ารับรองว่าเขาจะต้องส่งเสริมเจ้าเป็นแน่ ในเมื่อเจ้าเป็นหลานสาวคนเดียวของท่าน”
“ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าจะลองเขียนจดหมายไปหาท่านตาดู ส่วนพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนเราค่อยไปดูที่ร้านค้าในสำนักว่าจะพอมีเตาหลอมยาถูก ๆ ขายหรือไม่ก่อน”
“ตกลง แต่เจ้าต้องระวังไม่ให้ใครรู้ว่าเจ้าต้องการเตาหลอมยานะ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนรู้ว่าเจ้ากำลังเรียนรู้การหลอมยาจากข้า” เสี่ยวจู้รีบเตือน
“ข้าเข้าใจ เจ้าอย่ากังวลไปเลย ช่วงเลิกเรียนไม่ค่อยมีคนไปที่ร้านนักหรอก ส่วนใหญ่พวกเขาจะไปกันช่วงเที่ยงมากกว่าน่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี เรารีบนอนกันเถอะ พรุ่งนี้เจ้ายังต้องเรียนอีกทั้งวันนะ”
“ได้สิ เจ้ามาให้ข้ากอดนอนเร็วเข้าเสี่ยวจู้” เจิ้งหลินกวักมือเรียกเสี่ยวจู้
เสี่ยวจู้ที่ได้รับอ้อมกอดอุ่นของเจิ้งหลินก็รู้สึกดีมาตลอด มันจึงไม่ขัดขืนเวลาที่เจิ้งหลินกอด ทั้งสองนอนหลับไปในเวลาไม่นานเช้าตรู่วันต่อมา เจิ้งหลินนั่งเขียนจดหมายหาท่านตาและพกไปที่โรงอาหารด้วยเพื่อฝากจดหมายกับเจ้าหน้าที่ประจำสำนักที่ทำหน้าที่รับ ส่งจดหมายหลังกินอาหารกับเพื่อน ๆเสร็จ“เหตุใดเจ้าจึงส่งจดหมายเร็วนักเล่า ปกติเจ้าส่งตอนสิ้นเดือนนี่นาเจิ้งหลิน”
“ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าเพียงเล่าเรื่องที่ได้รับสัตว์อสูรให้ท่านตาฟังเท่านั้น”
“อ้อ เช่นนั้นพวกข้าก็คงต้องเขียนจดหมายกลับบ้านกันบ้างแล้วล่ะ ไม่ได้เขียนหาที่บ้านมานานแล้วเช่นกัน” หานชิงกล่าว
“พวกข้าก็จะเขียนด้วย ตกลงไหมอู๋อิง” เซียวเหมยหันไปหาเพื่อน
“ใช่ ๆ ข้าจะได้อวดพี่ใหญ่ว่าข้ามีเสือดำเป็นสัตว์อสูร ฮิ ฮิ เขาต้องอิจฉาข้าแน่”
ทั้งสี่คนเดินไปคุยไปอย่างสนุกสนาน โดยไม่สนใจกลุ่มของเฟินเสี่ยวหยางกับเฟินเสี่ยวเซี่ยที่เดินผ่านมา พวกนางไม่อยากสนใจอันธพาลสองพี่น้องให้เสียอารมณ์ก่อนจะเข้าเรียนในวันนี้“ชิ แค่สัตว์อสูรกระจอก ๆ ทำเป็นอยากอวด” เฟินเสี่ยวหยางกล่าวเสียงดัง
“นั่นสิพี่ใหญ่ พวกเราได้สัตว์อสูรดี ๆ มายังไม่เห็นต้องป่าวประกาศให้ที่บ้านรู้เลย”
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเด็กกำพร้าอย่างนางจะทำสิ่งใดได้นอกจากอวดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
“ฮ่า ฮ่า นั่นสินะ ข้าก็ลืมไปว่านางเป็นกำพร้า”
เจิ้งหลินกำหมัดแน่นอย่างอดทน นางไม่อยากได้ยินคำพวกนี้จึงเร่งเดินจากไปยังตำหนักสัตว์อสูรพร้อมเพื่อน ๆ อย่างรวดเร็วเสี่ยวจู้ที่รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเจิ้งหลินก็ยิ่งรังเกียจกลุ่มของเฟินเสี่ยวหยางและเฟินเสี่ยวเซี่ย เสี่ยวจู้จึงส่งกระแสจิตบอกให้สัตว์อสูรตัวอื่นสั่งสอนสองพี่น้องเป็นบทเรียนหลังจากกลุ่มของเจิ้งหลินห่างออกไปไกลแล้ว สัตว์อสูรที่ได้รับคำสั่งจากท่านเสี่ยวจู้ก็เข้าไปรุมทำร้ายกลุ่มของเฟินเสี่ยวหยางกับเฟินเสี่ยวเซี่ยจนวุ่นวายไปหมด กว่าที่จะมีคนมาหยุดพวกมันได้ สองพี่น้องกับเพื่อนร่วมกลุ่มต่างบาดเจ็บกันไปไม่น้อยเลยทีเดียวเหล่าอาจารย์เองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดจู่ ๆ สัตว์อสูรพวกนี้จึงได้ทำร้ายคนอย่างไม่มีสาเหตุ พวกเขาได้แต่พาศิษย์ที่บาดเจ็บไปยังโรงหมอในสำนักเท่านั้นเสี่ยวจู้ได้รับรายงานจากสัตว์อสูรตัวหนึ่งก็พยักหน้าอย่างพอใจ และนัดให้พวกมันมารับยาเพิ่มพลังปราณกับนางในช่วงกลางดึกหลังจากเจิ้งหลินหลับไปแล้ว นี่เป็นรางวัลที่นางต้องให้พวกมันซึ่งทำงานตามคำสั่งนาง อีกทั้งเสี่ยวจู้ยังมียาที่หลอมเอาไว้อยู่ในมิติจิตเป็นจำนวนมากด้วยเหล่าศิษย์ตำหนักสัตว์อสูรเข้าเรียนอย่างพร้อมเพรียงกัน ผู้ที่มีสัตว์อสูรถูกจับฉลากจับคู่ต่อสู้ในเวลาไม่นาน อาจารย์ตรวจสอบรายชื่อที่ถูกจับคู่เสร็จก็สั่งให้ศิษย์คู่แรกขึ้นมาบนลานประลองทันทีทั้งสองต่างเชื่อมจิตกับสัตว์อสูรของตนและต่อสู้กันอย่างดุเดือด กระทั่งได้ผู้ชนะในเวลาเกือบสามเค่อ ศิษย์ทั้งสองต่างกล่าวขอบคุณกันและกันก่อนจะลงจากลานประลองไปการต่อสู้ดำเนินไปนานกว่าหนึ่งชั่วยาม กระทั่งมาถึงคู่ของเจิ้งหลินที่ต้องสู้กับเฟิงฉิงที่มีสัตว์อสูรกระทิงเป็นคู่หู คนอื่น ๆ ต่างพนันกันว่าเฟิงฉิงจะต้องชนะอย่างแน่นอน เพราะด้วยรูปร่างที่เล็กจิ๋วและความน่ารักของเสี่ยวจู้ไม่น่าจะเอาชนะกระทิงตัวใหญ่เช่นนั้นได้“เสี่ยวจู้ หากสู้ไม่ไหวก็อย่าฝืนนะ” เจิ้งหลินเป็นห่วงสัตว์อสูรของตนกล่าวขึ้น
“ข้าไหว เจ้าอย่าคิดมาก ลุยกันเถอะ” เสี่ยวจู้ยิ้มตอบอย่างร่าเริง
เจิ้งหลินพยักหน้ายิ้มรับก่อนจะเชื่อมจิตกับเสี่ยวจู้แล้วเริ่มการต่อสู้หลังเสียงอาจารย์สั่งทันที ถึงแม้เจิ้งหลินจะปิดบังพลังปราณของตน แต่การต่อสู้กับเฟิงฉิงที่มีพลังเพียงระดับนภาขั้นกลางนั้นก็ไม่ลำบากเลยแม้แต่น้อยสัตว์อสูรกระทิงพอรู้ว่าต้องสู้กับท่านเสี่ยวจู้ก็ได้แต่หนักใจ อย่างไรมันก็รู้ดีถึงความสามารถอันล้นเหลือของเสี่ยวจู้ แต่หากมันยอมแพ้ไปก็ดูจะน่าขายหน้าไปสักหน่อย มันจึงกัดฟันพุ่งเข้าใส่เสี่ยวจู้ทันทีเสี่ยวจู้เห็นเจ้ากระทิงวิ่งเข้ามาก็ยิ้มอย่างพอใจ นางอยากแสดงฝีมือให้เจิ้งหลินเห็นมานานแล้ว เมื่อกระทิงวิ่งเข้ามาใกล้เสี่ยวจู้ในระยะเพียงก้าวเดียว เสี่ยวจู้ก็ใช้เท้าเล็ก ๆ เตะเจ้ากระทิงจนลอยละลิ่วตกลงไปนอกลานประลองในทีเดียว ทำเอาทั้งศิษย์และอาจารย์ที่มองดูการต่อสู้อยู่ต่างตกตะลึงกับพลังของหมูน้อยสีชมพูที่ตอนนี้ยิ้มแป้นอยู่บนเวทีประลอง“โอ้ นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?” ศิษย์คนหนึ่งขยี้ตาถามเพื่อนข้าง ๆ
“ข้าก็เห็นเหมือนเจ้านั่นแหละ เหตุใดหมูน้อยตัวหนึ่งจึงได้มีพลังมากมายปานนี้”
“นั่นน่ะสิ นี่มันหมูจริงหรือหมูปลอมเนี่ย เจิ้งหลินโชคดีจริง ๆ”
“ใช่ ๆ หมูของนางทั้งน่ารักทั้งแข็งแกร่ง แบบนี้เราจะเอาอะไรไปสู้ได้เล่า”
เสียงดังเซ็งแซ่ของศิษย์ที่อยู่รอบ ๆ ลานประลองดังก้องไปทั่ว เจิ้งหลินที่สู้กับเฟิงฉิงอยู่ก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน นางไม่คิดว่าเสี่ยวจู้จะมีพลังที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ากระทิงยักษ์ตัวนั้นเสียอีก ยิ่งเห็นสัตว์อสูรของตนเอาชนะไปอย่างง่ายดายแล้ว เจิ้งหลินจึงเร่งลงมือเพื่อเอาชนะเฟิงฉิงภายใน 10 กระบวนท่าเท่านั้น อาจารย์เห็นดังนั้นก็ตัดสินให้เจิ้งหลินชนะในทันทีเจิ้งหลินอุ้มเสี่ยวจู้ลงมาจากเวทีประลองพร้อมรอยยิ้ม ศิษย์คนอื่น ๆ เห็นนางลงมาก็รีบเข้าไปลูบหัวเสี่ยวจู้อย่างเอ็นดูที่หมูน้อยน่ารักตัวนี้ช่างเก่งกาจยิ่งนัก ทำเอาเจิ้งหลินอดที่จะภูมิใจในสัตว์อสูรของตนเองไม่ได้การต่อสู้คู่อื่นหลังจากเจิ้งหลินก็สูสีกันมากจนกินเวลาไปจนถึงช่วงเย็นของวันเลยทีเดียว อาจารย์ที่เห็นว่าได้ผู้ชนะครบแล้วก็สั่งให้ศิษย์แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน วันพรุ่งนี้เขาจะให้คำแนะนำว่าศิษย์แต่ละคนจะต้องปรับปรุงตรงไหนจากการดูการต่อสู้ในวันนี้กลุ่มของเจิ้งหลินเดินกลับที่พักอย่างร่าเริง ทุกคนต่างได้รับชัยชนะในการประลองวันนี้ทุกคนเลยทีเดียว โชคดีที่พวกนางไม่ได้จับคู่เจอกัน ไม่เช่นนั้นพวกนางคงลำบากใจแย่ที่ต้องสู้กับเพื่อนสนิทเจิ้งหลินขอแยกตัวจากเพื่อนก่อนถึงที่พักเพื่อไปยังร้านค้าของสำนัก คราแรกเพื่อน ๆ นางจะไปด้วย แต่เจิ้งหลินกลับปฏิเสธ พวกนางจึงกลับที่พักก่อน“เจ้ารีบกลับมาเล่า พวกเราจะไปซื้ออาหารมาให้เอง”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก ข้าไปดูของที่ร้านค้าเสร็จจะรีบกลับมา”
เจิ้งหลินเดินตามทางไม่นานก็มาถึงร้านค้าขนาดใหญ่ของสำนักที่ขายสิ่งของจำเป็นจิปาถะให้กับศิษย์ในสำนัก นางเข้าไปสอบถามศิษย์พี่ที่ทำหน้าที่ขายของอย่างมีมารยาททันที“ศิษย์พี่เจ้าคะ ไม่ทราบว่าที่นี่พอจะมีเตาหลอมยาขายหรือไม่?”
“โอ้ เจ้าต้องการเตาหลอมยาหรือ? ที่นี่มีมากมายเชียวล่ะ เจ้าขึ้นไปดูที่ชั้นสองได้เลย แล้วค่อยมาคิดเงินกับข้าตรงนี้”
“ขอบคุณศิษย์พี่มากเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวไปดูสักหน่อย” เจิ้งหลินค้อมหัวคำนับแล้วจากไปพร้อมเสี่ยวจู้ที่ยังคงนอนเล่นในอ้อมแขนนาง
ที่ชั้นสองของร้านค้านั้นเต็มไปด้วยเตาหลอมยาและอาวุธต่าง ๆ มากมายให้เลือกชม อีกทั้งระดับของแต่ละชิ้นยังมีหลายระดับ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงสิ่งของในระดับไม่เกินจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ก็ถือว่าดีมากแล้ว“เสี่ยวจู้ เจ้าว่าข้าควรเลือกเตาหลอมระดับใดดี?” เจิ้งหลินเอ่ยถาม นางไม่รู้จริง ๆ ว่าระดับพลังของนางนั้นเหมาะที่จะใช้เตาหลอมระดับใด
“อืม… ข้าคิดว่าเจ้าลองดูเตาหลอมระดับฟ้ากระจ่างดีกว่านะ อย่างไรพลังปราณของเจ้ายังไม่สามารถควบคุมเตาหลอมที่มีระดับมากกว่านี้ได้อยู่ดี” เสี่ยวจู้แนะนำ
“ตกลง แต่ข้าไม่รู้ว่ามันจะราคาแพงหรือไม่นี่สิ หรือเราจะซื้อแค่เตาระดับนภามาลองดูก่อนดี”
“นั่นก็ไม่มีปัญหา อย่างไรเจ้าก็สามารถหลอมยาเพิ่มปราณระดับนภาจากเตานี่ได้เช่นกันนะ”
“จริงหรือ? หากข้าหลอมยาได้ก็จะสามารถขายได้ด้วยน่ะสิ”
“ใช่แล้วล่ะ เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะหลอมไม่ได้ มีข้าอยู่ เจ้าต้องหลอมได้แน่นอน”
“ขอบใจเจ้ามากนะเสี่ยวจู้ เช่นนั้นข้าเลือกเตาหลอมระดับนภาเก่า ๆ อันนี้ดีกว่า ราคาน่าจะถูกกว่าเตาหลอมอันอื่น”
“หืม? ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูใกล้ ๆ หน่อยสิ” เสี่ยวจู้รับรู้ถึงพลังของเตาหลอมจึงอยากตรวจดูให้แน่ชัด
เจิ้งหลินนำเตาหลอมมาถือไว้ใกล้กับตัวเสี่ยวจู้ เจ้าหมูน้อยเพ่งกระแสจิตเข้าไปในเตาหลอมตรงหน้าก่อนจะพบว่าที่ก้นเตาหลอมมีตราประทับปิดกั้นพลังของเตาหลอมเอาไว้หลายชั้น นางจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเตาหลอมนี้จึงมาอยู่เพียงแค่ระดับนภาเท่านั้น เสี่ยวจู้คิดว่านี่คงเป็นวาสนาของเจิ้งหลินที่จะได้รับเตาหลอมวิเศษจึงพยักหน้าให้นางซื้อเตานี้ได้เลย กว่าที่เจิ้งหลินจะรู้ว่านางได้รับเตาวิเศษก็เป็นตอนที่นางมีปราณระดับขั้นสวรรค์แล้วเจิ้งหลินส่งองครักษ์เข้าไปรายงานว่านางจะเดินทางไปส่งเสบียงให้ชินอ๋องที่ชายแดนแคว้นหยางด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นหากมีการยักยอกเสบียงหรือเดินทางไปถึงช้า อาจทำให้กองทัพที่กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้าอดอยากจนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยึดคืนพื้นที่เมืองของแคว้นชิง“เจ้าบอกพระชายาชินอ๋องให้ระมัดระวังตัวด้วย เราขอบคุณแทนกองทัพที่นางช่วยเหลือในครั้งนี้ ส่วนเงินค่าเสบียงนั้น ให้นางส่งรายการบัญชีมาเบิกกับเราได้” ฮ่องเต้ตรัสบอกองครักษ์ของเจิ้งหลินที่แอบมาส่งข่าว“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่อนุญาตให้พระชายาไป”“
สองปีต่อมา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของชินอ๋องและเจิ้งหลิน ตอนนี้พวกเขาต่างมีระดับพลังปราณสูงถึงระดับผ่าสวรรค์ขั้นปลายแล้ว ส่วนการหลอมอาวุธและชุดเกราะของเสี่ยวจู้ก็เป็นไปด้วยดีมาตลอด ยิ่งเสี่ยวจู้ได้รับเงินจำนวนมากจากฮ่องเต้เพื่อให้มันช่วยหลอมอาวุธระดับสวรรค์ให้ด้วยแล้ว เสี่ยวจู้กับกิเลนไฟก็ช่วยกันหลอมอาวุธแทบจะทุกวัน ยกเว้นเวลาที่ชินอ๋องมีราชกิจ กิเลนไฟจะไม่ได้ช่วยเสี่ยวจู้หลอมอาวุธเพราะต้องติดตามชินอ๋องไป
กว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็เกือบรุ่งสาง กิเลนไฟยังไม่ได้คุยกับเสี่ยวจู้เรื่องทำชุดเกราะให้มัน แต่มันคิดว่าเสี่ยวจู้น่าจะช่วยมันสร้างขึ้นมาได้ อีกอย่างพลังไฟสวรรค์ของมันก็ใช้หลอมอาวุธได้ดีกว่าพลังจิตวิญญาณที่เสี่ยวจู้ใช้อยู่ หากมันร่วมมือกันกับเสี่ยวจู้ กิเลนไฟคาดว่าความเร็วและคุณภาพของการหลอมน่าจะดีขึ้นยิ่งกว่าที่เสี่ยวจู้หลอมด้วยตัวเอง ขุนนางและชาวเมืองเห็นประกาศจากราชสำนักถึงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ก็ได้แต่ชื่นชมบุญวาสนาของชินอ๋อง พวกเขาไม่คิดว่าการสร้างอ
เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง เสี่ยวจู้ขอแยกตัวออกไปหลอมอาวุธที่เรือนของเจิ้งหลิน ชินอ๋องกับเจิ้งหลินนั้นอยู่ฝึกฝนพลังปราณที่เรือนหลักด้วยกัน เพราะทั้งสองไม่อยากรบกวนเสี่ยวจู้หลอมอาวุธ ส่วนอาหารนั้นบ่าวในจวนจะนำไปให้เสี่ยวจู้ตามเวลาอาหารของจวนตามปกติ เจิ้งหลินมอบยาเพิ่มปราณระดับสวรรค์ให้ชินอ๋องสามเม็ด นางเองก็กินลงไปสามเม็ดเช่นเดียวกัน ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะหลับตาเข้าสู่สมาธิเพื่อดูดซับฤทธิ์ยาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เรื่องการกินยาหลายเม็ดพร้อมกันไม่น
ผู้คนภายในงานต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเจิ้งหลินอย่างสนุกปาก เพียงแต่เรื่องนี้พวกนางไม่อาจทำสิ่งใดได้ หากเรื่องไปถึงหูของฝ่าบาทและฮองเฮา พวกนางก็กลัวว่าจะถูกตำหนิแทน อย่างไรพระชายาของชินอ๋องก็มีอำนาจมากกว่าพวกนางที่เป็นเพียงฮูหยินขุนนางเท่านั้น เรื่องในครั้งนี้จึงทำให้หลังจากนั้น เจิ้งหลินไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงใด ๆ ที่ได้รับเทียบเชิญอีกเลย กระทั่งชินอ๋องกลับมาจากภารกิจในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจิ้งหลินจึงชวนชินอ๋องไปหาซื้อเตาหลอมอาวุธตามที่เสี่ยวจู้อยากได้&
หนึ่งเดือนต่อมา เจิ้งกั๋วกงที่อยู่เป็นเพื่อนหลานสาวและเสี่ยวจู้มานานก็ได้เวลาต้องกลับไปยังแคว้นหนานแล้ว เจิ้งหลินน้ำตาคลอเบ้าเมื่อต้องลาท่านตาของนาง เสี่ยวจู้ยังมอบยาเพิ่มปราณระดับเซียนให้ท่านตาอีกเม็ดหนึ่ง มันหวังว่าท่านตาจะเข้าใกล้สู่การเป็นเซียนอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี