Share

บทที่ 5

Author: กวนเหอว่านหลี่
เหตุผลที่จูหยวนจางไม่ได้ประกาศเรื่องสงครามทางใต้ในราชสำนัก ก็เพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้คนเกิดความตื่นตระหนก

เพราะตอนที่ส่งหลานอวี้ขึ้นเหนือไปตีหยวน ก็มีเสียงคัดค้านอยู่ไม่น้อย

โดยเฉพาะกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นแห่งเจ้อตง มีขุนนางตรวจการบางคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ถึงกับกล่าวว่าการยกทัพขึ้นเหนือไปตีหยวนเป็นการสิ้นเปลืองแรงงานและทรัพย์สิน!

หากได้ข่าวว่าคนเถื่อนทางใต้รวบรวมทัพสามแสนนาย ซึ่งมีกองทัพช้างศึกห้าพันตัวรวมอยู่ด้วย คนพวกนี้จะไม่ขวัญหนีดีฝ่อไปเลยหรือ!

เสียงที่เรียกร้องให้หลานอวี้ถอยทัพจะต้องดังก้องกังวานขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน!

ประกอบกับหลายปีมานี้ ต้องเสริมความแข็งแกร่งของเมืองชายแดนและประสบกับภัยแล้งและอุทกภัยติดต่อกัน ทำให้ไม่สามารถรับมือสงครามสองด้านได้อีกต่อไป

เสนาบดีกรมคลังยังคงจ้องมองฎีกาลับอย่างละเอียด เช็ดเหงื่อแล้วทูลว่า “ฝ่าบาท แผนการในตอนนี้ มีเพียงต้องรีบระดมกำลังทหารจากสำนักผู้ว่าการซื่อชวน สำนักผู้ว่าการกว่างซี และสำนักผู้ว่าการกุ้ยโจวไปยังอวิ๋นหนานอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉางเซิงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมเสนอให้เคลื่อนกองทัพค่ายศาสตราอัคคี มีเพียงอาวุธเพลิงเท่านั้นจึงจะรับมือกองทัพช้างศึกได้พ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมกลาโหมส่ายหน้า “การเคลื่อนกองทัพค่ายศาสตราอัคคี เกรงว่าจะไม่ทันการณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

จูหยวนจางหันไปหาจูอวิ่นเทิง เมื่อวานพระราชนัดดามิได้พูดหรอกหรือว่าสงครามทางใต้นั้น “ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย”

ความมั่นใจของเขามาจากไหนกัน?

คนหลายคนต่างประหลาดใจ ฝ่าบาทมองจูอวิ่นเทิงผู้นี้ทำไม?

เพื่อขอความเห็นจากเขาอย่างนั้นหรือ?

คำตอบของเขาในวันนี้ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่าบาทเห็นความสามารถของเขา หรือว่าต้องการหาความสุขจากความไร้ความสามารถของเขากันแน่

เป็นไปตามคาด จูอวิ่นเทิงส่ายหน้า “ช้างนี่ เกรงว่าจะมีเพียงอาวุธเพลิงเท่านั้นที่จะควบคุมมันได้”

[ช้าง ก็แค่สัตว์ตัวมหึมาเท่านั้น มีอะไรน่ากลัว?]

[มู่อิงเป็นผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ค้นพบประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง]

[มีคนบอกมู่อิงว่า ช้างกลัวสิงโต มู่อิงก็เลยให้คนเอากระดาษแข็งมาวาดรูปสิงโต คิดจะทำให้ช้างตกใจหนีไป]

[ตอนนั้นมันก็หนีไปจริงๆ แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะครั้งแรกพวกเขาจุดประทัดด้วย]

[ที่น่าขำก็คือ พอรายงานการรบมาถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางก็พากันคิดว่าช้างกลัวสิงโต]

[แค่วาดรูปสิงโตปลอมๆ ก็ทำให้ช้างตกใจหนีไปได้? พวกท่านคิดจะทำให้ช้างหัวเราะจนตายหรือไง?]

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ จูหยวนจางก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้

ตอนนั้นเขาเองก็คิดเช่นนั้นจริงๆ

ต่อมากองทัพของมู่อิงก็วาดรูปสิงโตอีกครั้ง ผลปรากฏว่าช้างไม่หลงกล วิ่งเข้าชนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กองทัพหมิงบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย

[มู่อิงค้นพบแล้วว่า ที่แท้ช้างไม่ได้กลัวสิงโต แต่กลัวเสียงต่างหาก]

[แน่นอนว่า มู่อิงย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าช้างกลัวเสียงที่ไม่คุ้นเคย หากครั้งนี้มู่อิงยังใช้เสียงที่ช้างเคยได้ยินมาแล้วอีก เกรงว่าจะต้องพ่ายแพ้ยับเยิน]

[ยุคโรมันโบราณ ก็เคยมีกองทัพที่ใช้เสียงร้องของหมู ทำให้ทัพช้างตกใจหนีไป]

[ผลการวิจัยในภายหลังชี้ว่า ขอเพียงเป็นเสียงที่ช้างไม่เคยได้ยินมาก่อน พอได้ยินแล้วจะหนีอย่างแน่นอน อย่าเห็นว่าช้างตัวใหญ่ ที่จริงแล้วจิตใจมันเปราะบางมาก]

โรมันโบราณคืออะไร? เป็นสถานที่ใด หรือว่าเป็นราชวงศ์ไหนกัน?

ผลการวิจัย ใครเป็นคนวิจัย?

พระราชนัดดาคนนี้ของพระองค์ ไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังมีความลับที่ไม่รู้อีกมากมาย!

ความลับเหล่านี้ กำลังรอให้เขาคลี่คลายทีละขั้น

[นอกจากการทำให้ช้างตกใจหนีไปแล้ว ก็ยังมีวิธีอื่นอีก!]

ยังมีวิธีอะไรอีก?

จูหยวนจางเงี่ยหูฟัง

“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าเพื่อความปลอดภัย...” ฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหมยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกจูหยวนจางขัดจังหวะอย่างกะทันหัน

“เจ้าหุบปาก!”

สีหน้าของฉีไท่พลันมืดมนลง ฝ่าบาททรงพิโรธขึ้นมากะทันหันได้อย่างไร หรือว่าช่วงนี้ตนเองทำอะไรผิดพลาด หรือพูดอะไรผิดไป?

เมื่อนึกถึงความไร้ปรานีของฝ่าบาทตอนที่สังหารขุนนาง ฉีไท่ก็รู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอย

[อย่างน้อยที่สุด มู่อิงก็น่าจะคิดวิธีใช้ม้าได้ เอาผ้าปิดตาม้า แล้วจุดประทัดที่หางของมัน ม้าที่มองไม่เห็นก็จะวิ่งเข้าชนฝูงช้าง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง]

ยอดเยี่ยม!

จูหยวนจางได้ฟังแล้วก็อยากจะปรบมือให้จริงๆ

นี่มิใช่กลยุทธ์วัวเพลิงที่คนโบราณเคยใช้หรอกหรือ?

[แต่ว่า วิธีนี้ค่อนข้างเปลืองม้า! สู้ใช้เสียงประหยัดเงินประหยัดแรงกว่าเยอะ แต่ละครั้งก็ใช้เสียงที่ต่างกันไป ใช้เสียงหมูร้อง เสียงลิงครวญ เสียงสิงโตคำราม เสียงหมาป่าหอน จัดมหกรรมรวมพลสัตว์ไปเลย!]

[เสียงชนิดหนึ่ง ใช้ได้หนึ่งครั้ง ขับไล่ทัพช้างห้าพันตัวหนีไปได้ ยังใช้ไม่หมดด้วยซ้ำ]

ยังมีวิธีแบบนี้ด้วยหรือ?

มันจะง่ายเกินไปหน่อยหรือไม่?

ที่อวิ๋นหนานแห่งนั้น คนไม่เยอะ เสบียงไม่มาก แต่มีสัตว์ต่างๆ มากมาย!

ทว่าวิธีนี้จะได้ผลจริงหรือไม่ ก็ยังไม่กล้ายืนยัน

สิ่งที่ยืนยันได้คือ เสียงในใจของพระราชนัดดาไม่ได้หลอกลวงเขา

เพราะตระกูลจูได้ครอบครองแผ่นดิน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการพ้องเสียง ทุกคนจึงห้ามเรียกหมูว่าจู

ตั้งแต่ทางราชการไปจนถึงชาวบ้าน ต้องเรียกหมูว่า “สื่อ”

พระราชนัดดาเรียกหมูว่าจูในใจ แม้จะฟังดูไม่สบายหู แต่ก็ตำหนิเขาไม่ได้

เช่นนั้นก็เอาวิธีของพระราชนัดดาเขียนเป็นสาส์นลับ ส่งให้มู่อิงอย่างเร่งด่วน ให้เขาทำตาม

ขอเพียงขับไล่ทัพช้างห้าพันตัวนี้ได้ ที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหา

หากวิธีนี้ได้ผล พระราชนัดดาก็ช่วยแก้ปัญหาใหญ่ให้เขาได้!

แน่นอนว่าสาส์นลับนี้ควรให้องครักษ์เสื้อแพรเป็นผู้จัดการจะดีที่สุด หากรั่วไหลออกไป พระราชนัดดาคงจะระวังตัวแน่

เรื่องที่สามารถแอบฟังเสียงในใจของพระราชนัดดาได้ ห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้เด็ดขาด

จูหยวนจางใช้ไม้ยาวชี้ไปทางทิศใต้ แล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่ต้องระดมพลจัดหาเสบียง เราเชื่อมั่นในตัวมู่อิง! ทัพช้างแค่ห้าพันตัว ไม่น่ากลัวพอ!”

หลายคนต่างมองหน้ากันไปมา ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป?

หรือฝ่าบาททรงพบวิธีเอาชนะศัตรูแล้ว หรือว่าทรงเชื่อมั่นในบุตรบุญธรรมผู้นี้จริงๆ ?

ไม่มีใครกล้าถาม

[ต้องได้สัมผัสใกล้ชิดเท่านั้น ถึงจะรู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของตาเฒ่าจู! นี่แหละที่เรียกว่า ไม่ใช้คนที่น่าสงสัย และไม่สงสัยคนที่ใช้!]

[มู่อิง ท่านสามารถเชื่อมั่นได้เสมอ!]

[หากไม่มีมู่อิง ก็ไม่มีอวิ๋นหนานในวันนี้!]

จูหยวนจางดีต่อมู่อิงอย่างยิ่ง ปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นบุตรของตนเอง ไม่เพียงแต่สอนให้เขาอ่านหนังสือ ยังสอนวิธีการนำทัพทำศึกอีกด้วย

มู่อิงเป็นแม่ทัพเพียงไม่กี่คนในราชวงศ์หมิงที่เคยทำศึกใหญ่ทั้งทางเหนือ ทางตะวันตก และทางใต้

เมื่อได้ยินจูอวิ่นเทิงยกย่องมู่อิงถึงเพียงนี้ ในใจของจูหยวนจางกลับรู้สึกกระหยิ่มใจขึ้นมาเล็กน้อย

แม้เจ้าหลานคนนี้จะไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เรียกเขาว่า “ตาเฒ่าจู” แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ถึงความเก่งกาจของเขา!

ในใจของจูหยวนจางกลับเกิดความรู้สึกสนิทสนมขึ้นมาเล็กน้อย

“วันนี้เรามีความสุข มีความสุขจริงๆ! มา กินข้าวด้วยกัน”

ฉีไท่และคนอื่นๆ รีบประสานมือ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่พระราชทานอาหาร (พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่)!”

เพราะต้องเข้าประชุมเช้าตรู่ ขุนนางส่วนใหญ่จึงไม่ทันได้กินอาหารเช้า

ขุนนางบางคนจะพกไข่ต้มหรือแป้งทอดติดตัวไว้กินรองท้อง

ก่อนรัชสมัยหงอู่ปีที่สิบ ราชสำนักยังมีการเตรียมอาหารให้ขุนนางในวัง

ต่อมา จูหยวนจางรู้สึกว่าขุนนางกินเงินเดือนหลวง ควรจะประหยัดมัธยัสถ์บ้าง จึงได้ยกเลิกการพระราชทานอาหารเช้าไป

ไม่คาดคิดว่าวันนี้ จูหยวนจางจะพระราชทานอาหารให้ทั้งสามคน!

คราวนี้ฉีไท่ก็วางใจได้ในที่สุด ที่แท้เมื่อครู่ที่จูหยวนจางให้ตนหุบปาก เป็นเพียงการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ

มิเช่นนั้น ฝ่าบาทจะพระราชทานอาหารได้อย่างไร?

นี่คือตำหนักหย่างซินนะ!

ไม่ใช่การพระราชทานอาหารธรรมดา แต่เป็นการร่วมรับประทานอาหารเช้ากับฝ่าบาท!

นี่เป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เพียงใด!

เมื่อออกไปแล้ว เหล่าขุนนางจะต้องมองตนใหม่ด้วยความชื่นชมอย่างแน่นอน

ฉางเซิงรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง นับตั้งแต่ชายารัชทายาทสิ้นไป ตระกูลฉางก็ถูกฝ่าบาททอดทิ้ง

ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับฝ่าบาท

หรือว่าเป็นเพราะจูอวิ่นเทิงหลานนอกของตน?

แต่ว่า วันนี้จูอวิ่นเทิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากนี่นา

กรมพระเครื่องต้นยกอาหารเช้าขึ้นมา โจ๊กปลายข้าว ผักดอง ก้านผักกาดขาว กระเทียมที่ปอกเปลือกแล้ว

เสนาบดีทั้งสองกินอย่างเอร็ดอร่อย น้ำตาไหลหยดลงไปในชาม

ข้าไม่ได้กินข้าว แต่กินเกียรติยศ!

จูหยวนจางไม่สนใจภาพลักษณ์ ยกชามขึ้นมากิน ในปากยังมีเสียงดังจั๊บๆ

[ตาเฒ่าจูมาจากครอบครัวที่ลำบากจริงๆ! เป็นฮ่องเต้แล้ว ยังเรียบง่ายขนาดนี้!]

[ฮ่องเต้แบบนี้ ขอให้ข้าสักโหลหนึ่ง!]

[ไม่สิ ฮ่องเต้ต้องมีเพียงคนเดียว!]

[แต่ว่า กับข้าวพวกนี้นี่รับไม่ได้จริงๆ!]

[เทียบกับหม้อไฟ ข้าวผัดของข้าแล้ว นี่มันอาหารหมูชัดๆ!]

[เจ้าพวกนี้เป็นหมูหรือไง? กินกันอร่อยขนาดนี้?]

อาหารหมู?

แค่ก แค่ก จูหยวนจางที่กำลังซดโจ๊กอยู่ถึงกับสำลัก
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 83

    “ท่านอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!”ยิ่งมูเหยาขัดขืน จูอวิ่นเทิงก็ยิ่งเข้ามาแนบชิด“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันมีกายเป็นหญิง” มู่เหยาพูดจบ จูอวิ่นเทิงก็ปล่อยนางมู่เหยาไม่คิดว่าจูอวิ่นเทิงจะปล่อยมือในตอนนี้อดรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้“เจ้ามีกายเป็นหญิง เป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมา ฟังดูเหลวไหลมาก บอกมาดีกว่า อย่ามาหลอกข้า”เสี้ยวอำมหิตฉายวาบในดวงตาของจูอวิ่นเทิงมู่เหยาแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร “อู๋อ๋อง หม่อมฉันเป็นคนอวิ๋นหนาน เมื่อราชวงศ์ต้าหมิงเริ่มก่อตั้ง จำนวนขันทีขาดแคลนมาก ทางการจึงยัดเยียดรายชื่อหนึ่งให้กับครอบครัวของหม่อมฉัน”“หม่อมฉันมีน้องชายเพียงคนเดียว พ่อแม่หม่อมฉันตัดใจไม่ลง”“ครอบครัวของหม่อมฉันในท้องถิ่นถือว่ามั่งคั่ง จึงใช้เงินเพื่อติดสินบนขุนนางทุกระดับ สุดท้ายก็ให้หม่อมฉันเข้าวังมา”“หม่อมฉันเป็นหญิง ฝ่าบาทก็ไม่รู้เช่นกัน”จูอวิ่นเทิงเดินวนรอบกายมู่เหยา เกรงว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริงประการแรก ฝ่าบาทเป็นคนส่งมู่เหยามาจริง ๆ เรื่องนี้เจิ้งเหอสามารถเป็นพยานได้สุขภาพของตนเองอ่อนแอ เรื่องนี้ฝ่าบาทรู้ฝ่าบาทส่งขันทีคนหนึ่งมาเพื่อไม่ปล่อยให้วัน ๆ เขาเอาแต่จมดิ่งอยู่ในความเย้าย

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 82

    จูอวิ่นเทิงกลับมาถึงเรือน เจิ้งเหอ เหมยเอ๋อร์ และหลานเอ๋อร์ถูกแก้มัดเชือกกันหมดแล้ว“มู่เหยาไปไหนหรือ?”“มู่เหยาบอกว่า เขาจะเข้าวังเพคะ” เหมยเอ๋อร์กล่าวเอ๊ะ ฮ่า ๆ!มู่เหยาไม่อยู่!อย่างนั้นก็เข้าไปในห้องกับเหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์ ถ่ายทอดความรู้ทางร่างกายแก่พวกนางได้น่ะสิ?เจิ้งเหอรู้ว่าหัวใจวสันต์ของคุณชายเริ่มหวั่นไหวอีกแล้ว แอบอิจฉาเล็กน้อย ก่อนกลับไปยังห้องของตัวเอง“เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้าเข้าไปแล้วนะ”จูอวิ่นเทิงเพิ่งจะเข้ามาในห้อง ก็ได้ยินเสียงของมู่เหยา “เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!”ร่างของจูอวิ่นเทิงพลันชะงัก ขันทีน้อยผู้นี้กลับมาได้จังหวะพอดีจริง ๆ!ไม่ใช่สิ กลับมาได้ไม่ถูกจังหวะเลยต่างหาก!เหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์เห็นดังนั้น ก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบถอยไปยังหลังเรือนมู่เหยาเข้ามาในเรือน จูอวิ่นเทิงได้โผเข้าหาทันทีสวมกอดมู่เหยาไว้ว้าย! มู่เหยาไม่ทันตั้งตัว จึงร้องออกมาเสียงดัง“อย่าร้อง ร้องไปก็เปล่าประโยชน์!”จูอวิ่นเทิงดันมู่เหยาไปชิดผนังอย่างดุดันมู่เหยาคิดขัดขืน แต่จูอวิ่นเทิงพลันยันผนังคร่อมไว้“ท่าน ท่านคิดจะทำอะไรน่ะ?” มู่เหยาหน้าแดงก่ำ“ข

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 81

    [ตาเฒ่า ท่านจะเอาแต่ดื้อรั้นเช่นนี้ไม่ได้! อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลบ้าง]การบ่นของจูอวิ่นเทิงทำให้จูหยวนจางหมดคำพูด เราสามารถพูดเสียงในใจของเจ้าออกมาได้ไหม?[เหตุผลก็เห็นอยู่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?][เจ้าเมืองคนหนึ่ง เก็บภาษีเงินและเสบียงได้เกินเป้าทุกปี! นี่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรอกหรือ?]จูหยวนจางคิดในใจว่า การเก็บภาษีได้เกินเป้ามันคือผลงาน เหตุใดถึงกลายเป็นปัญหาไปได้?ความคิดของหลานสามผู้นี้ มักจะพิลึกพิลั่นอยู่เสมอ![ตำแหน่งกำหนดความคิด เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เป็นขุนนางสมัยหนึ่ง ก็ต้องสร้างคุณประโยชน์ให้ท้องถิ่นนั้น นี่คือจุดยืนและมุมมองอันเป็นพื้นฐานที่สุด!][ราชสำนักให้เจ้าเก็บเสบียงและภาษีเกินเป้าแล้วหรือ?][เมื่อไม่ได้ให้เจ้าเก็บภาษีเกินเป้า หวงจื่อซิ่น เจ้าหลอกลวงเบื้องบน!][ประชาชนคิดว่าราชสำนักให้เก็บเสบียงและภาษีเพิ่ม หวงจื่อซิ่น เจ้าปิดบังเบื้องล่าง!][เก็บเกินเป้าสองส่วน หนึ่งส่วนที่เพิ่มมามอบให้ราชสำนัก ได้รับชื่อเสียงในฐานะขุนนาง! อีกหนึ่งส่วนเก็บไว้กับตนเอง เบียดบังผลประโยชน์ใส่ตัว!][เพิ่มภาระให้กับชาวนา! ทวีความคับแค้นของชาวนาที่มีต่อราชสำนัก! อาศัยเรื่องน

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 80

    ดวงพระเนตรของจูหยวนจางเบิกกว้างโดยพลัน มองไปทางจูอวิ่นเทิงการสิ้นพระชนม์ของรัชทายาท!!!เกี่ยวข้องกับหวงจื่อซิ่น?!จูอวิ่นเทิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่ราวกับจะฆ่าคนของจูหยวนจาง มันทำให้เขาสะดุ้งตกใจ[ไม่ใช่กระมัง ตาเฒ่าจู ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด!][ตอนแรกข้าก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่พอถูกเขามองแบบนี้กลับทำให้ดูมีเงื่อนงำขึ้นมาได้!][พระทัยของฮ่องเต้ คาดเดาได้ยากจริง ๆ ด้วย]จูหยวนจางรีบละสายตามองไปที่หวงจื่อเฉิงหวงจื่อเฉิงลังเลเล็กน้อยเช่นกัน พระเนตรของฝ่าบาทสามารถฆ่าคนได้เลย!หวงจื่อซิ่นเป็นญาติผู้น้องของเขา!ที่หวงจื่อซิ่นสามารถเป็นเจ้าเมืองหางโจว ก็เพราะจูอวิ่นเหวินเป็นคนแนะนำให้จูเปียวฝ่าบาทรู้ว่าเขากับฉีไท่สนิทกัน การที่ฉีไท่เป็นคนแนะนำหวงจื่อซิ่นแบบนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างไร[ช่วงนี้ฝ่าบาทอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง แต่ก็ไม่แปลก การตายของรัชทายาทคงทำให้ไม่อาจสงบพระทัย][หวงจื่อซิ่น นึกออกแล้ว! เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้!][ชาวอุทัยกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาที่เมืองหางโจวภายใต้การนำของอันธพาลท้องถิ่น ทำการเผา สังหาร และปล้นสะดม จากนั้นเดินออกจากเมืองอย่างเปิดเผยไม่เกรงกล

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 79

    หวงจื่อเฉิงไม่ยอมแพ้!เพราะการกระทำของฮ่องเต้ครั้งนี้มันเหลวไหลมากจริง ๆ!สำนักโหรหลวง มันใช่ที่ที่ผู้ใดจะเข้าไปก็ได้หรือ?ต่อให้เจ้ามีความรู้มากมาย มีความสามารถเป็นเลิศ เข้าสำนักโหราศาสตร์ไปแล้วก็คงทำได้แค่มองตาปริบ ๆนอกจากนี้ คนด้านในก็หยิ่งผยองกันทั้งนั้น!อยู่ในถิ่นของพวกเขา อย่าหวังว่าจะเข้าไปยุ่งได้!หากส่งคนที่ไม่รู้เรื่องไปสั่งการ มันจะไม่วุ่นวายไปกันใหญ่หรือ?“ฝ่าบาท เรื่องสำคัญของบ้านเมืองมีสองประการ คือการบูชาและการสงคราม การบูชามีการแจกจ่ายเครื่องเซ่น การสงครามมีการแบ่งสรรอำนาจ ทั้งสองล้วนเป็นพิธีการสำคัญที่ใช้ติดต่อกับสวรรค์เบื้องบน”“แม้อู๋อ๋องจะมีความสามารถ แต่ในแง่ของการสังเกตดวงดาวและภูมิศาสตร์แล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่ด้านที่ถนัด”“ฝ่าบาท กระหม่อมมองว่าการให้อู๋อ๋องดำรงตำแหน่งเจ้ากรมสำนักโหราศาสตร์หลวง ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”จูอวิ่นเทิงโมโหมาก หวงจื่อเฉิงชอบขัดขาเขาอยู่เรื่อย!ข้าก็แค่สั่งสอนหวงเฉิงอิ้นลูกชายเจ้าไปเพียงเล็กน้อยที่สำคัญคือ คนผู้นี้รนหาที่เอง สมควรโดนดี!มาเชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยงแต่กลับวางท่าโอ้อวด!แต่ว่า คำคัดค้านของหวงจื่อเฉิงก็สามารถใช้ให้เกิ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 78

    โหรหลวงคืออะไร หากเป็นคนปกติก็ไม่มีทางที่ผู้ใดจะอยากรับตำแหน่งนี้!โหรหลวงมีชื่อเดิมว่าผู้เฝ้ามองดวงดาว ทำหน้าที่สังเกตปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ คำนวณปฏิทิน สำนักโหรหลวงจะทำงานแค่เฉพาะเหตุการณ์สำคัญเท่านั้นหากมีภัยธรรมชาติ โหรหลวงจะต้องคำอธิบายที่สมเหตุสมผล มิเช่นนั้นฮ่องเต้จะพิโรธหากเกิดสงคราม โหรหลวงจะต้องทำนายสภาพอากาศ ถ้าทำนายผิดพลาด อาจมีภัยมาถึงตัว!ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หนึ่งในหน้าที่ของไท่สื่อลิ่งก็ดูปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และประกอบพิธีบวงสรวง ซือหม่าเชียนที่ถูกตอนก็เคยดำรงตำแหน่งนี้[ครานี้ก็อยู่ที่ว่า ตาเฒ่าจูจะตอบตกลงหรือไม่!][โหลหลวงสบายจะตาย! ไม่ต้องทำงานตั้งแต่เก้าโมงถึงสามทุ่ม หกวันต่อสัปดาห์!][เวลาทำงานก็ยืดหยุ่น! ไม่ต้องตื่นเช้าทุกวัน!][หากมีคนถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขออภัย ฝ่าบาท ข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า!][อะไรนะ เข้าประชุมงั้นหรือ? ประชุมอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า?][ประชุมหรือ? ชู่ว อย่าเสียงดัง! ข้ากำลังคุยกับเง็กเซียนฮ่องเต้!][ตาเฒ่าจู ท่านไม่ให้ข้าออกจากเมืองอิ้งเทียนใช่หรือไม่? ท่านไม่รู้หรือว่าดาวจื่อเวยปรากฏที่เมืองซงเจี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status