LOGINขณะที่ทางนี้พูดอย่างออกรสออกชาติ ทางด้านองค์หญิงผิงอันก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน บรรยากาศทั้งสองอย่างรวมอยู่ในที่เดียวกันชวนให้รู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก
มีเพียงซูเหยาที่วางตัวเองอยู่นอกวงสนทนาทั้งที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากนาง นางยังกินดื่มปกติ เสียดายที่กินไม่กี่คำก็ไม่รับรู้รสชาติเสียแล้ว สุดท้ายก็ยอมแพ้ วางตะเกียบลงแต่โดยดี “อาหารไม่ถูกปากหรือ เดี๋ยวข้าให้คนครัวไปทำมาให้ใหม่ดีหรือไม่” องค์หญิงผิงอันเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล นางจัดงานเลี้ยงเพื่อมาสังสรรค์กับสหาย กลับกลายเป็นว่าทำให้สหายกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเสียเอง น่าตายนักสองคนนั้นต้องการล่มงานเลี้ยงของนางหรืออย่างไร ยิ่งคิดยิ่งไม่สบอารมณ์ ซูเหยาส่ายหน้า โคลงศรีษะเล็กน้อย หันไปยิ้มอ่อนๆ ให้ทีหนึ่ง “ทานไปเยอะถึงเพียงนี้แล้วนะเพคะ หากพระองค์ทรงโปรดให้พวกเขายกเข้ามาอีก เห็นทีท้องน้อยๆของหม่อมฉันคงรับไว้ไม่หมดเป็นแน่” “ข้าว่าไม่ใช่กระมัง เจ้าคงไม่ได้เห็นพี่ห้าของข้าแล้วกินไม่ลงหรอกหรือ หากเป็นอย่างนั้นก็แย่หน่อย เขาไม่ได้ตั้งใจเจ้าเองก็อย่าได้ถือสา” องค์หญิงโซ่วคังพูดไปพลางยิ้มไปพลาง รอบด้านเงียบลงทันตา บรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที องค์หญิงผิงอันถลึงตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ปากน้อยๆกำลังจะเอ่ยออกไปเพียงแต่โดนน้ำเสียงเฉยชาขัดขึ้นเสียก่อน ซูเหยาเลิกคิ้ว “องค์หญิงทรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว เรื่องกินดื่มจะมีใครสู้หม่อมฉันได้ มีใครไม่รู้บ้างว่าหม่อมฉันชอบการกินดื่มเป็นที่สุด ท่านกล่าวเช่นนี้ใช่ติว่าอาหารของตำหนักองค์หญิงผิงอันรสชาติไม่ดี หรือคังอ๋องหน้าตาไม่ดีพอทำให้คนอื่นไม่เจริญอาหารกันล่ะ” “เจ้า!” ใบหน้าขององค์หญิงโซ่วคังปรากฏสีแดงสลับดำ ชี้หน้าซูเหยาอย่างโกรธเคือง พูดอะไรไม่ออกเป็นนาน “เอ๊ ที่ซูเหยาพูดมาก็ไม่ผิด หรือพี่หญิงคิดว่าไม่ใช่?” องค์หญิงผิงอันกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า หาเรื่องสหายของนางหรือ เป็นองค์หญิงเหมือนกันแล้วอย่างไร นางจำเป็นต้องไว้หน้าหรือ ซูเหยาอุตส่าห์อยู่เฉยๆ ไม่อยากข้องเกี่ยวกับผู้ใด แต่คนน่าตายพวกนี้กำลังทำให้นางอารมณ์เสีย นี่สินะที่เขาเรียกว่า เจ้าไม่หาเรื่อง แต่เรื่องก็มาหาเจ้าอยู่ดี รอยยิ้มบนใบหน้าซูเหยายิ่งกดลึก “ที่แท้เป็นหม่อมฉันเข้าใจผิดไปเอง องค์หญิงจิตใจดีงามจะไม่พอใจเพราะอาหารไม่ถูกปากได้อย่างไร พระองค์อย่าได้ถือสาเลยนะเพคะ” จังหวะที่องค์หญิงโซ่วคั่งทนไม่ไหวกำลังจะเอ่ยปากนั้น คังอ๋องที่นั่งอยู่ข้างกายพลันส่งสายตาห้ามปราม “โซ่วคังอย่าเสียมารยาท” “นางยังเด็ก พูดจาไม่ทันคิด แต่แท้จริงแล้วในใจนางไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด เจ้าอย่าได้โกรธจนทำให้เสียสุขภาพเลย” คังอ๋องยิ้มอย่างจนใจ ใช้น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนอันคุ้นเคยกล่าวปลอบซูเหยา เด็ก? อีกไม่กี่เดือนนางก็อายุสิบแปดปีเต็มแล้ว หากนางเด็ก ข้าคงเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดากระมัง “หรือคังอ๋องฟังไม่เข้าใจ หม่อมเพียงชี้แจงเท่านั้น หาได้มีอารมณ์โกรธเคืองไม่” ซูเหยาเหลือบมองคังอ๋องปราดหนึ่ง ทันได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มอ่อนโยนแข็งค้าง เสียนเฟยที่นั่งอยู่นานเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าอย่าได้ทะเลาะกันให้เสียบรรยากาศเลย ข้าเห็นว่ามีสตรีอยู่รวมกันพร้อมหน้า จะนั่งกินดื่มเพียงอย่างเดียวคงน่าเบื่อเกินไป ไม่สู้ให้แต่ละนางออกมาแสดงความสามารถให้พวกเราได้ชื่นชม องค์หญิงผิงอันคิดว่าเป็นเช่นไร” “ก็ดีเหมือนกัน” ซูเหยาเหลือบมองสหายที่กระพริบตาปริบๆ ส่งมาให้อย่างไร้เดียงสาก็ให้ทอดถอนใจ นางยังกลัวว่าโลกนี้ยังวุ่นวายไม่พอหรือไงนะ ไฉนงานเลี้ยงชมบุปผาดีๆ กลายเป็นสถานที่ดูตัวของเหล่าองค์ชายไปเสียแล้ว เมื่อทรงได้รับอนุญาตจากเจ้าของงานแล้ว บรรยากาศอึมครึมเมื่อสักครู่พลันสลายหายไป ความคึกคักเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีสตรีนางหนึ่งก้าวออกมายืนอยู่กลางวงล้อม ซูเหยาเพ่งพินิจอยู่นานก็นึกชื่อไม่ออก เหมือนจะเป็นบุตรีของขุนนางอาลักษณ์ขั้นสี่คนหนึ่ง เสียนเฟยไม่รอให้นางสงสัยนาน เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าชื่ออะไร” “หม่อมฉันลู่เยว่ บุตรตรีคนโตของไต้เท้าลู่เหิงเพคะ” ลู่เยว่ตื่นเต้นอยู่บ้าง เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดคุยกับคนในราชวงศ์และทำการแสดงต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนี้ มือทั้งสองชื้นเหงื่อ ก้มหน้าไม่กล่าววาจาเกินความจำเป็น เสียนเฟยพยักหน้า ส่งสัญญาณให้ลู่เยว่ “เริ่มได้” เสียงพิณบรรเลงไปอย่างเรียบเรื่อย ไม่มีอันใดน่าสนใจ ซูเหยามองการแสดงอย่างเบื่อหน่าย ในใจก็อดรู้สึกสงสารลู่เยว่เล็กน้อย หากพูดถึงผู้แตกฉานด้านเพลงพิณแล้วล่ะก็ นางรู้จักอยู่คนหนึ่ง ซูเหยากวาดสายตาไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งที่ไม่สะดุดตาผู้คน พลางยกจอกสุราในมือขึ้นจิบ ระหว่างที่ชมหญิงสาวแต่ละนางทยอยแสดงความสามารถอยู่นั้น องค์หญิงผิงอันที่เริ่มง่วงงุนชะโงกหน้ามากระซิบกับซูเหยาแก้เบื่อ “เรื่องของเจ้ากับพี่ห้าเป็นอย่างไร เพราะเหตุใดเจ้าถึงปฏิเสธเขาเล่า” รวบรัดตรงประเด็น ความอยากรู้อยากเห็นไม่เป็นสองรองใคร “ก็ไม่อย่างไร ข้าแค่ไม่ชอบเขาแล้วเท่านั้น” เมื่อได้ยินกันแค่สองคน พวกนางมักจะละทิ้งคำเรียกขานตามบรรดาศักดิ์ทิ้งไป พูดคุยอย่างสหายสนิททั่วไปเท่านั้น “หา พวกเจ้าคบหากันมาสองปีแล้วไม่ใช่หรือ อยู่ๆ จะเลิกชอบก็เลิกได้เร็วปานนี้” ใบหน้าง่วงงุนขององค์หญิงผิงอันเปลี่ยนเป็นงงงวย ไม่ใช่ว่าสหายรักแอบชื่นชมพี่ห้ามาตั้งแต่ยังเยาว์หรอกหรือ ไฉนบทจะเลิกชอบก็เลิกได้ทันท่วงทีอย่างที่พูด “แต่ไหนแต่ไรข้าก็แค่ชอบหน้าตาของเขา ส่วนอื่นไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่” ซูเหยาครุ่นคิด “ท่วงท่าก็ไม่สง่าเท่ากับพี่แปดของเจ้า ส่วนความเก่งกาจข้าพอสูสีกับเขาได้อยู่นะ” พูดจบนางก็หัวเราะออกมาแผ่วบา “หากเจ้าชอบคนหน้าตาดีเช่นนี้ ข้าพอจะรู้จักอยู่คนหนึ่ง” พูดถึงตรงนี้องค์หญิงผิงอันก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ นิสัยชอบคนที่หน้าตาอย่างพวกนางแก้ไม่หายจริงๆ “ใครหรือเพคะ” ซูเหยากลอกตา ทว่าก็เอ่ยถามไปตามน้ำ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม “คุณชายใหญ่ตระกูลมู่หรง มู่หรงไป๋อี้”ซูเหยาโงนเงนก้าวเข้าสู่ห้องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์สีเงินสาดส่องเข้ามาเพียงน้อยนิด ความร้อนรุ่มที่แล่นพล่านอยู่ในกระแสเลือดเผาผลาญสติของนางหมดลงทีละน้อย ดวงตาพร่าเลือนของนางพยายามปรับโฟกัสกับเงาร่างสูงใหญ่ที่นอนบนเตียงในวินาทีที่ร่างนั้นหันมา ความมืดไม่อาจซ่อนรูปโฉมของเขาได้หมด ซูเหยาเบิกตากว้างทันทีที่เห็นสวรรค์ ข้าเบลอคนเห็นภาพหลอนหรือ!ไม่ว่าความทรงจำจะเลือนรางแค่ไหน นางก็ไม่มีวันลืมโครงหน้าอันสมบูรณ์แบบนี้ได้ ความหล่อเหลาที่ราวกับถูกสลักเสลาจากหยกเย็นชั้นดี สูงส่ง เย็นชา และเป็นคนที่นางเคยลอบมองอยู่หลายครั้งเป็นผู้ที่นางหลงใหลอย่างลับ ๆ มาโดยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแค่ก ๆซูเหยาแทบอยากกรีดร้องออกมา โอกาสเดียวที่ฟ้าประทานให้มาถึงแล้ว!แรงปรารถนาที่แล่นพล่านในกายของซูเหยา ทำให้สติสัมปชัญญะของนางพร่าเลือน นางเซถลาเข้าหาร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มที่แม้จะถูกพิษอันร้อนแรงครอบงำ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายก็ยังคงฉับไว มือแกร่งข้างหนึ่งยกขึ้นมารองรับแผ่นหลังของนางไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่ศีรษะข
ลวี่เจานำทางซูเหยาเดินเข้ามาด้านในของจวนหนิงอ๋องที่ห่างไกลจากความครึกครื้นของลานจัดเลี้ยง สายลมยามค่ำพัดผ่านหมู่ไม้ เสียงเสียดสีกันนั้นคล้ายเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนรอบกายซูเหยาตระหนักในทันทีว่าเส้นทางที่กำลังมุ่งไปนี้ไม่ใช่เส้นทางไปยังห้องเปลี่ยนชุดตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เป็นทางวกวนลัดเลาะสู่เรือนเล็กด้านหลังแทนซูเหยากระตุกมุมปาก พวกนางกระทำการโจ่งแจ้งยิ่งนักนางยังคงแสดงสีหน้าอ่อนเพลีย แต่ละก้าวเดินสะเปะสะปะ แต่แอบกวาดมองสำรวจทิศทางอย่างรวดเร็ว หนิงหวางเฟยผู้นั้นช่างรอบคอบนัก เดิมทีก็ไม่คิดจะให้นางเปลี่ยนชุดอยู่แล้ว หากแต่ต้องการล่อให้นางเข้ามาในสถานที่ที่สามารถลงมือได้อย่างลับตาคนแห่งนี้ต่างหาก!จนเมื่อมาถึงเรือนเล็กแห่งหนึ่ง ลวี่เจาเปิดประตูออก “คุณหนูซู เชิญด้านในเจ้าค่ะ ชุดสำรองเตรียมไว้ให้ท่านอยู่บนเตียงแล้ว”ลวี่เจากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม แต่ในแววตานั้นซ่อนความเยาะเย้ยจาง ๆ ไว้กลิ่นกำยานชนิดหนึ่งคลุ้งอยู่ในอากาศ ทำให้ซูเหยาต้องสูดหายใจลึกด้วยความฉุน นางส่งเสียงตอบรับในลำคอ เดินตามลวี่เจาเข้าไป ภายในมีเพียงเตียงแกะสลักและฉากกั้นไม้ที่ทาสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่“หากคุณหนู
ซูเหยามองการจัดเตรียมอาหารทะเลที่หนิงหวางเฟยอุตส่าห์จัดมาให้ เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการใช้นางเป็นสนามอารมณ์ เพื่อให้เหล่าสตรีทั้งหลายริษยา แต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่าปูนึ่งสามรสที่ถูกนำมาตั้งไว้ตรงหน้านั้นช่างยั่วยวนนักท่าทางดื่มด่ำกับอาหารมื้อนี้ขัดตาหลายคนที่มอง นางเช็ดริมฝีปากด้วยผ้าไหมเนื้อดีอย่างสำรวม หลังจากลิ้มรสปูนึ่งสามรสไปจนหมดตัวหนึ่ง พลางเหลือบมองไปทางหนิงหวางเฟย“ปูนึ่งสามรสจานนี้รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน ถูกปากยิ่งนัก เป็นอาหารเลิศรสที่สุดเท่าที่หม่อมฉันเคยทานมาในหัวเฉินเลยเพคะ” ซูเหยากล่าวชมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ“หากชอบก็กินมากหน่อย อย่าได้เกรงใจกันเกินไปเล่า” หนิงหวางเฟยจิบสุราขึ้นดื่ม รอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า“หามิได้เพคะ พระองค์ทรงเมตตาจัดเตรียมให้หม่อมฉันโดยเฉพาะ เหยาเอ๋อร์ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง” ซูเหยาลุกขึ้นยอบกายกล่าวอย่างสุภาพ“แต่ร่างกายของหม่อมฉันอ่อนแอมาตั้งแต่จับไข้ที่เมืองหลวง ไม่กล้าทานอาหาร ‘ร้อนแรง’ เช่นนี้มากนัก เพียงตัวเดียวหม่อมฉัน
ฝั่งบุรุษเสียงสนทนาในศาลาฝั่งชายครึกครื้นไม่แพ้กัน มู่หรงไป๋อี้นั่งเงียบอยู่ในมุมข้าง หน้าต่างด้านข้างของศาลาเปิดออกพอดี ม่านแพสีทองปลิวบางเบาเขาสวมชุดคลุมสีเข้มปักลายคลื่นเงินเรียบง่าย ใบหน้าคมสงบนิ่ง ผิวขาวจนตัดกับผมดำขลับนิ้วเรียวหมุนจอกสุรา ดวงตาเรียวยาวทอดผ่านม่านออกไปยังลานฝั่งหญิงโดยไม่รู้ตัวถังเว่ยซึ่งนั่งตรงข้ามกันหัวเราะเบา ๆ “ไป๋อี้ เจ้าจ้องลานนั่นตั้งแต่คุณหนูสองคนนั้นเข้ามา ข้าไม่เคยเห็นเจ้าสนใจสตรีที่ไหนมาก่อนนะ”หวังอวี่มองตามบ้าง “เจ้ามองอะไรอยู่ไป๋อี้ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่เคยสนใจงานเลี้ยงแบบนี้”“พูดมาก” เขาตอบเรียบ “ข้าเพียงมองดูบรรยากาศ”หรงอี้ที่ติดตามมาแอบกลอกตามองบน จะเป็นใครได้ หากไม่ใช่ท่านผู้นั้นหวังอวี่ที่นั่งข้างกันหัวเราะบ้าง “นั่นน่ะหรือคุณหนูซูเหยา เหลนสายนอกของไทเฮาสตรีผู้เป็นที่กล่าวถึงของทั้งเมืองหลวง เลื่องลือมาถึงฝั่งใต้เรา ถึงเจ้าไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ แต่ต้องเคยได้ยินมาบ้างกระมัง นางถือตนเองว่าได้รับความโปรดปรานของไทเฮา ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หยิ่งยโสโอหัง ทำเรื่องวุ่นวายไม่รู้กี่ครั้ง แม้แต่ในวังหลวงยังกล้าทำมาแล้วครั้งหนึ่ง”เจิ้นหยางเสริมเสียง
เช้าวันงานเลี้ยงแสงแดดลอดผ่านม่านลูกไม้บาง ๆ เข้าสู่เรือนด้านใน กลิ่นฝนเมื่อคืนยังไม่จาง ซูเหยานั่งเอนอยู่หน้ากระจกสำริดในชุดคลุมบางสีงาช้าง ผมยาวปล่อยสยายทั่วบ่า“คุณหนูจะใส่ชุดไหนดีเจ้าคะ” หลี่หลัวถือหีบผ้าเปิดให้ดูทีละชุด ตั้งแต่ผ้าแพรลายมังกรสีฟ้าหยกจนถึงชุดปักทองซูเหยามองเรียงทีละชิ้น “ตัดชุดครามทิ้งไปเลย สีเหมือนน้ำค้างแข็ง ใส่แล้วดูเหมือนคนตายลุกจากโลง”“เจ้าค่ะ” หลี่หลัวอมยิ้มกุ้ยซินยื่นชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนทาบบนตัวนาง “งั้นชุดนี้เจ้าคะ ท่านใส่แล้วดูเหมือนสตรีขี้โรคผู้งดงาม”ซูเหยาปรือตาเหลือบมอง นางชมข้าว่างามหรือไม่งามกันแน่หลี่หลัวหยิบกล่องเครื่องประดับขึ้นมา “ปิ่นหยกที่ไทเฮาพระราชทานอันนี้เข้ากับชุดพอดีเจ้าค่ะ”ซูเหยาเลิกคิ้ว ปล่อยให้สองสาวใช้แต่งตัวให้ตามอำเภอใจ “งั้นใช้เถิด เวลาโดนใครด่า ข้าจะได้มีโล่กำบังอีกชั้น”ขณะพูด ซูเหยาก็หันไปมองเงาสะท้อนในกระจก ผิวซีดจนแทบกลืนกับผ้า แววตาเจอความเหนื่อยล้า เมื่อปัดแป้งบาง ๆ ลงใบหน้า ความอ่อนแอนั้นกลับกลายเป็นเสน่ห์ละมุนอย่างประหลาด เหมือนกลีบดอกที่พร้อมจะร่วง ทว่าคงความสดใหม่“คุณหนู เย็นวันนี้คุณหนูฟางเซียงจะมารับนะเจ้าคะ” สาว
ในห้องเงียบงันมีเพียงเสียงลมลอดกรอบหน้าต่างและกลิ่นธูปจาง ๆ ลอยคลุ้ง ซูเหยาเอนตัวพิงหมอนอยู่บนเตียง สีหน้าอ่อนระโหยตามแบบหญิงป่วยที่ยังไม่ฟื้นดี นางยื่นมือให้หลี่หลัวนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ เตรียมผ้าชุบน้ำเย็นไว้เช็ดหน้าให้ แต่ก็อดไม่ได้จะเอ่ยเรื่องข่าวเมืองหลวงที่เพิ่งได้ยินมา ซูเหยาเอนตัวพิงหมอน ดวงตาปรือปรอยจากความเมื่อยล้า ทว่ามุมปากกลับคลี่ยิ้มบาง“เจ้าเล่าข่าวคราวในเมืองหลวงให้ข้าฟังบ้างสิ ตอนนี้เป็นอย่างไรกันแล้ว”หลี่หลัวถามอย่างยินดี “คุณหนูหมายถึงข่าวบ้านเมืองหรือเจ้าคะ”ซูเหยาเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ “ข่าวบ้านเมือง? หรือว่าฝ่าบาทเปลี่ยนใจสละราชบัลลังก์เสียแล้ว”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” หลี่หลัวรีบมองซ้ายขวากลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน คุณหนูนับวันยิ่งใจกล้า แม้แต่ฮ่องเต้ยังกล้าวิจารณ์“ข้าชอบข่าวคนมากกว่า” ซูเหยาว่าพร้อมหัวเราะกับท่าทีตื่นตระหนกของนาง “ข่าวบ้านเมืองฟังแล้วปวดหัว สตรีในห้องหอจะอยากรู้เรื่องของราชสำนักไปทำไมกัน”หลี่หลัวสบตาซูเหยา ก่อนยิ้มอย่างรู้ทัน “ถ้าอย่างนั้นบ่าวจะเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากพ่อค้าข่าวในตลาดนะเจ้าคะ”“อืม ว่ามาสิ” ซูเหยาคงรอยยิ้มสวยงาม หากแต่นางไม่เชื่อว่าข่าวที







