“ช้าก่อน!”
เจ้าสาวที่สวมชุดแต่งงานสีแดงยกข้อมือทำท่าห้าม เสียงของเธอดังมาจากใต้ผ้าคลุมหน้า “ฉันอยากให้ความร่วมมือ แต่ฉันอยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว เป็นฉันหย่งฟางหรือหลินเหมียน ที่จะแต่งงานกับคุณชายรองแห่งตระกูลฉู่”
ทันทีที่เธอพูดจบ ทกคนต่างตกตะลึง เธอกำลังพูดถึงอะไร? ทำไมถึงลากหลินเหมียนไปเกี่ยวข้องด้วย? ลูกสาวของพ่อบ้านหลินเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปตั้งครึ่งปีแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหล่อน? ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองพ่อบ้านหลิน
ใบหน้าของพ่อบ้านเฒ่ายังคงสงบ ไม่ได้โต้แย้งหรือแสดงความสงสัยอะไร เขาพูดอย่างใจเย็น “คุณนาย นี่เป็นการพูดเหลวไหล หล่อนแค่ต้องการถ่วงเวลาเท่านั้น อย่าไปฟัง...”
หย่งฟางตะโกนขัดจังหวะ “ฉันขอแนะนำให้คุณนายฉู่ ตรวจสอบวันเดือนปีเกิดของเจ้าสาวที่เขียนบนโต๊ะบูชาดูนะคะ ตรวจดูว่าเป็นวันเดือนปีเกิดและชื่อของใคร แล้วจะรู้ว่าเป็นฉันที่ถูกเรียกมาเพื่อแก้เคล็ด หรือถูกใช้งานแทนคนอื่นเพื่อจัดงานแต่งกับวิญญาณ”
ตอนแรกคุณนายฉู่ไม่ได้สนใจ แต่พอได้ยินคำว่า "แต่งงานกับวิญญาณ" สามคำนี้ จึงเริ่มคิดที่จะตรวจสอบตามที่หย่งฟางกล่าว
การแต่งงานแก้เคล็ด คือ การแต่งงานระหว่างคนเป็น
การแต่งงานวิญญาณ คือ การแต่งงานระหว่างวิญญาณของคนสองคนที่เสียชีวิตแล้ว หรือคนหนึ่งที่ตายไปแล้วและอีกคนกำลังจะตาย
เรื่องเกี่ยวกับฉู่เหยียนเป็นเรื่องที่สำคัญเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้ เมื่อคุณนายฉู่เดินเข้าไปใกล้โต๊ะบูชา พ่อบ้านหลินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาต้องการจะทำอะไรบางอย่าง แต่หย่งฟางเคลื่อนไหวเร็วกว่ามาก เธอโยนผ้าคลุมหน้าสีแดงทิ้งและแย่งไก่ตัวผู้สีแดงสดจากโต๊ะบูชา ไก่ตัวผู้ไม่ใช่เป้าหมายหลักของพ่อบ้านหลินในตอนนี้ เขาไม่ได้สนใจที่จะไล่ตามไก่ แต่กลับวิ่งขึ้นบันไดแทน
“หยุดเขาไว้! เขาจะไปที่ห้องของฉู่เหยียน!” หย่งฟางตะโกนอย่างมั่นใจ
พ่อบ้านหลินไม่หยุดยังคงขึ้นบันไดไปด้วยในที่มั่นคง ถึงแม้ว่าพิธีแต่งงานวิญญาณจะถูกขัดขวาง แต่เขายังมีแผนสำรองอยู่ ตราบใดที่วิ่งขึ้นไปฆ่าฉู่เหยียนในตอนนี้ ความปรารถนาของลูกสาวเขาก็จะเป็นจริง ถึงแม้มันจะไม่สมบูรณ์แบบนักก็ตาม
บอดี้การ์ดที่ชั้นล่างไม่มีใครฟังคำสั่งของหย่งฟา งเธอจึงต้องโยนไก่ตัวผู้สีแดงสดไปที่คุณนายฉู่ “ดูแลให้ดีนะ! นี่คือชีวิตของลูกชายคุณ!!” แล้วเธอก็ไล่ตามพ่อบ้านหลินขึ้นไปชั้นบน
ไก่ตัวผู้สีแดงสดบินอยู่ในอากาศ
คุณนายฉู่โดยสัญชาตญาณจับมันไว้ แม้ว่าจะกลัวขนของมันอยู่บ้าง แต่ไก่ตัวผู้ก็ไม่ได้ทำอะไรหล่อน เพียงแค่จ้องมองด้วยสายตาที่ฉลาดเฉลียว ทำให้คุณนายฉู่เริ่มเชื่อคำพูดของหย่งฟางขึ้นมาทันที
จึงหยิบกระดาษสีแดงสองแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะบูชา ซึ่งเป็นหลักฐานที่ใช้ในการสมรสต่อหน้าสวรรค์และบรรพบุรุษของตระกูลฉู่ บนกระดาษสีแดงมีวันเดือนปีเกิดของคู่บ่าวสาว แผ่นหนึ่งเป็นของฉู่เหยียน ไม่ผิดแน่
แผ่นหนึ่ง... คุณนายฉู่เห็นชื่อ “หลินเหมียน” สองคำนี้
ลายมือของพ่อบ้านหลินสวยมาก ดังนั้นกระดาษสมรสจึงเป็นลายมือของเขา และเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน หล่อนยังได้ตรวจสอบด้วยตัวเองเลยว่า ตอนนั้นเป็นวันเดือนปีเกิดของหย่งฟางจริงๆ
แต่ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนแล้ว
เพียงแค่เห็นคำว่า “หลินเหมียน” ก็พอจะบอกได้ว่ายังคงเป็นลายมือของพ่อบ้านหลิน
คุณนายฉู่รู้สึกกลัวจนเสียงสั่น ตะโกนสั่งบอดี้การ์ดอย่างร้อนใจ “ทุกคนไปที่ชั้นสามเร็ว!”
บอดี้การ์ดจึงเริ่มเคลื่อนไหวและรีบวิ่งขึ้นบันได แม้ว่าคุณนายฉู่จะรู้สึกเจ็บจากอาการข้อเท้าพลิก แต่หล่อนก็กอดไก่ตัวผู้สีแดงสดไว้แน่น แล้ววิ่งตามไป นายท่านฉู่ เสี่ยวเฉียว เสี่ยวเซ่อ แม่บ้านเจิน และคนอื่นๆ ก็วิ่งตามไปที่ชั้นสามเช่นกัน ในขณะที่เหล่าคนรับใช้ที่อยู่ในห้องโถงชั้นล่าง ต่างมองหน้ากันและเริ่มซุบซิบเสียงเบาๆ
ชั้นสาม ห้องของฉู่เหยียน
แม้ว่าหย่งฟางจะถูกพ่อเฒ่าบังคับให้ฝึกฝนตั้งแต่เด็กจนร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่พลังของชายหนุ่มที่แข็งแรงก็ยังมากกว่าเธอ การต่อสู้ด้วยกำลังตรงๆ ไม่ใช่เรื่องดี หย่งฟางไม่ใช่คนโง่ เธอจึงใช้ทักษะการจับแบบนุ่มนวล จับจังหวะแล้วควบคุมพ่อบ้านหลินได้ในที่สุด
เมื่อบอดี้การ์ดขึ้นมาถึง ก็เห็นว่าพ่อบ้านหลินถูกหย่งฟางจับกดหน้าลงกับพื้นอย่างอับอาย หย่งฟางใช้เข่ากดลงบนหลังของเขา มือข้างหนึ่งบิดข้อมือเขาไว้ ส่วนอีกมือกดที่ศีรษะ หย่งฟางเองก็ไม่อยากลงมือ แต่บอดี้การ์ดเหล่านี้ไม่มีใครสู้ได้เลย
เธอถอนหายใจหนักๆ “ตอนนี้พวกคุณจะฟังคำพูดของฉันไหม?”
บอดี้การ์ดพยักหน้า
“มารับช่วงต่อไป ดูแลให้ดี”
เมื่อส่งมอบพ่อบ้านหลินให้กับบอดี้การ์ด คุณนายฉู่และคนอื่นๆ ก็มาถึงพอดี หย่งฟางไม่เสียเวลาพูดมาก เมื่อคุณนายฉู่มาถึงเธอก็บีบแก้มของฉู่เหยียนให้เปิดปาก ภายในมีเหรียญทองแดงเก่าๆ อยู่เหรียญหนึ่ง
หย่งฟางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมันออกมา แล้วถามคุณนายฉู่ “คุณรู้ไหมว่ามีสิ่งนี้ในปากของลูกชายคุณ?”
คุณนายฉู่พยักหน้า “ลุงหลินบอกว่านี่เป็นเครื่องรางเพื่อปกป้องจิตวิญญาณ...”
หย่งฟางส่ายหัว “นี่คือของที่ใช้ในพิธีศพ ไม่ใช่เครื่องรางเพื่อปกป้องจิตวิญญาณ แต่เป็นเพื่อการเปลี่ยนวิญญาณ ปากของไก่ตัวผู้น่าจะมีเหรียญนี้อยู่ด้วย คุณลองดูสิ”
คุณนายฉู่มองไปที่ไก่ตัวผู้ในอ้อมแขน แต่ก็ไม่กล้าลงมือ แม่บ้านเจินจึงก้าวมาข้างหน้า เปิดปากของไก่ตัวผู้ และก็พบเหรียญทองแดงอีกเหรียญหนึ่งจริงๆ คุณนายฉู่จ้องมองพ่อบ้านหลินที่ถูกกดไว้ ภายในใจยากที่จะเชื่อ
“ลุงหลิน สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงหรือ?”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเขา ทำให้ใจของคุณนายฉู่เริ่มเย็นลง เสียงของเธอสั่น “หลินตง หลินเหมียนเติบโตในบ้านตระกูลฉู่ของเรา เธอเรียนในโรงเรียนเดียวกับลูกๆ ของบ้านเรา ขึ้นรถโรงเรียนคันเดียวกับเสี่ยวเหยียน ไม่มีใครปฏิบัติกับเธอแตกต่างจากลูกหลานของบ้านเราเลน การที่หลินเหมียนได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็เป็นเงินของตระกูลเราที่จ่ายให้...ครอบครัวเราทำดีถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมคุณถึงต้องการชีวิตของเสี่ยวเหยียนอีก!”
เมื่อได้ฟังคำตัดพ้อของคุณนายฉู่ แม่บ้านเจินเลือกที่จะเข้าข้างพ่อบ้านหลิน “คุณนาย คำพูดของเด็กคนนี้อาจจะไม่จริงก็ได้ ลุงหลินดูแลเสี่ยวเหยียนมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่น่าจะใจร้ายถึงขนาดนั้นได้หรอกค่ะ อย่าเชื่อคำพูดของเธอทั้งหมดนะคะ!”
หย่งฟางยิ้มเล็กน้อย “แม่บ้านเจิน ถ้าคุณยังเข้าข้างพ่อบ้านหลินอีก ฉันคงต้องถือว่าคุณเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแล้วล่ะ”
หลังจากที่เธอฟื้นตัวและวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ก็ได้ล็อกเป้าหมายสองคนคือแม่บ้านเจินและพ่อบ้านหลิน แต่แม่บ้านเจินไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่ และจากข้อมูลที่ได้จากตระกูลฉู่ เธอมีลูกชายเพียงคนเดียว ทำให้หย่งฟางตัดแม่บ้านเจินออกจากผู้ต้องสงสัย เมื่อเธอทราบถึงเรื่องของหลินเหมียน เธอก็เริ่มเข้าใจภาพรวม แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน
จึงต้องเสี่ยงดูว่าการแต่งงานวิญญาณเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ดังนั้นเธอจึงมาที่สถานที่ทำพิธีแต่งงาน และรู้ว่าพ่อบ้านหลินเป็นคนถือไก่ตัวผู้ เธอจึงใช้สัญลักษณ์เล็กๆ เพื่อปล่อยวิญญาณจากไก่ในขณะนั้น และก็พบว่าวิญญาณนั้นคือฉู่เหยียน การเปลี่ยนวิญญาณได้รับการยืนยัน
จากนั้นเธอให้คุณนายฉู่ตรวจสอบกระดาษสีแดงบนโต๊ะบูชาที่เป็นชื่อของเจ้าสาว ซึ่งก็ได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการที่ฉู่เหยียนหมดสติเป็นใคร ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้ว แต่แม่บ้านเจินกลับไม่เข้าใจ ยังคงช่วยพูดเข้าข้างอีก ทำให้หย่งฟางเริ่มสงสัยว่าเธออาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
เพราะเธอยังไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ ว่ามีหลายคนร่วมกันก่อเหตุในคดีนี้
ล้ำลึกมากพ่อบ้านหลินนน ที่คุณชายรองไม่ฟื้นก็เพราะแบบนี้สินะ!!!
ความเสียสละและจิตใจอันยิ่งใหญ่ของหลงหยวนหยวน ทำให้หย่งฟางรู้สึกประทับใจ หลังจากเก็บกระดูกมังกร ลูกบอลวิญญาณ เทพธิดาน้อยและสัมภาระ หย่งฟางก็ใช้ค่ายกลย่อพื้นที่ออกไปจากเกาะอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงสมาคมเทียนซือ หย่งฟางส่งมอบกระดูกมังกรให้หัวหน้าหลิวที่รอคอยอยู่อาจารย์หลิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขารีบสั่งให้เหล่านักพรตอาวุโสช่วยกันนำกระดูกมังกรไปรวมเข้ากับเส้นมังกรของแผ่นดิน"ทำได้ดีมาก" หัวหน้าหลิวกล่าวชื่นชม พร้อมส่งสิ่งของบางอย่างให้หย่งฟาง"สิ่งนี้ให้กับหลงหยวนหยวน ถือเป็นรางวัลและคำขอบคุณจากทางสมาคม"เมื่อเปิดดูพบว่ามันคือ เครื่องรางเขามังกร ขนาดเล็กที่หากงูมังกรตัวนั้นได้ใช้ จะช่วยเพิ่มพูนพลังตบะได้อย่างมาก หย่งฟางกล่าวขอบคุณอาจารย์หลิวแทนหลงหยวนหยวน ก่อนเดินออกมาจากห้องทำงาน เมื่อไม่มีธุระใดๆ แล้ว เธอก็พาทุกคนกลับไปยังวัด ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเย็นพอดีในศาลาเล็กๆ เหล่าสมาชิกสำนักกำลังนั่งชมรายการ สุดยอดปรมาจารย์ ที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่ เสียงโวยวายของห่าวจาวไฉและจินเหยาไต้ดังขึ้นอย่างไม่หยุด"ทำไมไม่ให้หยวนหยวนของเราคว้าแชมป์! พวกเขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าของวิชาและพลังที่หยวนหยวนใช้เ
ไม่ใช่แค่ชาวเน็ตจากพื้นที่อื่น ที่เคยได้ยินชื่อเสียงของหย่งฟางและวัดเสวียนเว่ยเท่านั้น แม้แต่คนถานจิงเองรวมถึงคนที่เคยไปไหว้พระขอพรที่วัดเสวียนเว่ย ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นความสามารถ ในการจับผีหรือปราบปีศาจของหย่งฟาง พวกเขาคิดว่าเธอแค่เก่งเรื่องวาดยันต์หรือทำนายโชคชะตา แต่พอลงมือจริงๆ...ไม่ใช่สิ! หย่งฟางเธอทำได้จริงเหรอ?! โคตรเท่เลย!!!ทุกคนดูผ่านหน้าจอมือถือ เหมือนกำลังชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่เต็มไปด้วยเอฟเฟกต์สุดอลังการ หย่งฟางปรากฏตัวจากฟากฟ้า ใช้เส้นด้ายแดงสังหารปีศาจทะเลบ้าคลั่ง ราวกับทูตสาวจากสวรรค์ที่ลงมาปราบมาร ปลายนิ้วเรียวยาวเคลื่อนผ่านเส้นด้ายแดง เสริมด้วยใบหน้าสวยตราตรึงทำให้ทุกคนตะลึง ดวงตากลมโตเป็นประกายมีชีวิตชีวา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ บ่งบอกถึงความสง่างามและเสน่ห์ที่แฝงความขี้เล่น"พี่สาว! ฉันเป็นผี! จับฉันที!!!"หลังจากเหตุการณ์นี้ ทุกคนเริ่มค้นหาผลงานภาพยนตร์ และซีรีส์ที่หย่งฟางเคยแสดง เพื่อจะได้เห็นใบหน้างดงามนั้นอีก และพวกเขาก็พบว่า...ในซีรีส์ย้อนยุค เธอดูดีมาก ท่วงท่าสง่างาม ทรงผมและเครื่องแต่งกายดูเข้ากันทุกมุม โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ทั้งสวยงามและดุดัน หย่งฟางคือคนที่เ
เช้าวันใหม่ผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสาย หย่งฟางขยับตัวในผ้านวมนุ่มอย่างสบายใจ ก่อนจะลุกจากเตียงเชื่องช้า หนิงหมี่และเสี่ยวชิวตื่นกันตั้งแต่เช้า กำลังนั่งเล่นการ์ดพยายามสร้างบ้านจากการ์ดกันอยู่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ หญิงสาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำในขณะนั้นบ้านการ์ดที่สองสาวสร้างถูกผลักล้มไปแล้ว บนโต๊ะเล็กมีจานแตงโมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ วางเรียงไว้อย่างสวยงามแทน หนิงหมี่กับเสี่ยวชิวนั่งเคี้ยวพลางบ่นพึมพำ “อาจารย์หย่ง มีผู้ชายหล่อมากคนหนึ่งฝากมาให้ ลองกินดูสิ” พร้อมกับใช้ส้อมเงินเล็กๆ จิ้มแตงโมชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้หย่งฟางคนที่ฝากมาก็น่าจะเป็นฉู่เหยียนหรือไม่ก็ฉู่สวี่ หย่งฟางงับแตงโมพลางถาม “ผู้ชายหล่อที่ว่าเนี่ย คนโตหรือคนเล็กล่ะ?”หนิงหมี่เอียงคอครุ่นคิดก่อนตอบ “แยกไม่ออกหรอก หล่อทั้งคู่ แต่คนที่ให้แตงโมใส่แว่นนะ”พอได้ยินแบบนั้นหย่งฟางก็รู้ทันทีว่าเป็นฉู่สวี่ น้ำแตงโมหวานฉ่ำซึมซาบอยู่ในโพรงปาก หญิงสาวเดินออกจากห้องพักครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเคาะห้องฝั่งตรงข้าม ประตูถูกเปิดออกเป็นฉู่สวี่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำสีดำสนิท ปลายชุดยาวถึงช่วงกล้ามขาเรียวกระชับ ปลายผมที่ยังเปียกเล็กน้อยปกคลุ
หย่งฟางสัมผัสพลังงานรอบตัว ทำให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านหลีเจียจึงสงบสุขได้เช่นนี้ ธรรมชาติแห่งคุณธรรมและความเมตตา นักพรตชราตาบอดผู้นี้ มีความเข้าใจในคุณธรรม และเส้นทางแห่งสวรรค์ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความกรุณา แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ว่าการร้องของกบในทุ่งนาคือชีวิต เสียงจิ้งหรีดในยามค่ำคืนคือชีวิตและที่สำคัญที่สุด ซากศพในหอเด็กหญิงก็คือชีวิตเช่นกันทุกค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดิน นักพรตชราจะคลำทางไปยังหอเด็กหญิงเพียงลำพัง เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณให้กับเด็กที่เสียชีวิต เขาสวดมนต์เสียงเบา มือหมุนลูกประคำ แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่เปี่ยมด้วยพลังและความเมตตา ผู้หญิงในหมู่บ้านมักแอบตามมา ฟังเสียงสวดมนต์ในความมืดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินเมื่อเขาทำพิธีเสร็จ พวกเธอก็จะใช้สีผ้าห่อศพ เพื่อระบุว่าศพไหนเป็นของลูกตัวเอง จากนั้นก็ขุดหลุมเล็กๆ ใกล้ๆ เพื่อฝังลูกด้วยความระมัดระวัง หอเด็กหญิงค่อยๆ ถูกทำลายลง เหลือไว้เพียงหลุมฝังศพเล็กๆ สองร้อยกว่าหลุมกระจายอยู่รอบบริเวณนักพรตใช้เวลาครึ่งปี ในการมาที่หอเด็กหญิงในยามค่ำคืน เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณจนเสร็จสิ้น และระหว่างนั้น เด็กหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ใต้กองศพ ก็ถูก
"จะมีเหตุผลอะไรได้อีก?"หยู่ถังมองหย่งฟางด้วยความตกใจหลีชิงอวี่แสดงท่าทางระแวดระวังเต็มที่ "คุณหย่ง ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?""ฉันคือศิษย์วัดเสวียนเว่ย หย่งฟางค่ะ""คุณเป็นนักพรต?!" หลีชิงอวี่มีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไปหย่งฟางพยักหน้าตอบแต่หลีชิงอวี่ถามต่อ "คุณทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณได้ไหม?""ทำได้""ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกคุณ"สาวอีกสองคนร้องไห้พลางพูดขึ้น "พี่สาว ได้โปรดอย่าบอกออกไปเลย ฉันกลัวว่าแม่ของฉันจะถูกจับเข้าคุก..."หลีชิงอวี่กุมมือของน้องสาวทั้งสองไว้แน่น "ไม่ต้องกลัว" จากนั้นเธอหันไปมองหย่งฟางและขอร้อง "ถ้าคุณฟังเรื่องทั้งหมดแล้วคิดจะไปแจ้งตำรวจ ขอให้จับฉันคนเดียวก็พอ"หย่งฟางตอบ "ฉันรับรองแบบนั้นไม่ได้""ไม่เป็นไร" หลีชิงอวี่ยิ้มบางๆ "ฉันจะปกป้องพวกเธอเอง"หลังพูดจบ หลีชิงอวี่ก็เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่น่าเศร้า จากอดีตของเธอออกมาอย่างช้าๆ ในปี 1988 ที่หมู่บ้านหลีเจีย มีร่างเด็กผู้หญิงกองรวมกันในสถานที่ที่พวกเขาเรียกว่า ‘หอเด็กหญิง’ ทับทมกันจนสูงถึงสองร้อยร่าง แต่นั่นไม่ได้เป็นหอจริงๆ มันคือซากศพของเด็กผู้หญิงที่กองกันจนสูงราวกับเป็นหอคอยเหล่าผู้หญิงร
ผีสาวพุ่งเข้ามาหาหย่งฟาง หญิงสาวหรี่ตาลงคว้ามือจับเล็บยาวสีแดงเพลิงไว้แล้วบิดข้อมือผีตัวนั้น ก่อนจะพลิกแขนที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงทิ่มเข้าไปที่ดวงตา ที่มีเลือดไหลซึมออกมา ผีสาวหลับตาและถอยหลังไปหนึ่งก้าว หย่งฟางไม่รอช้าฟาดฝ่ามือเข้าไปที่หลังมือของผีตนนั้น ถึงกับถอยหลังไปไกลหลายเมตร ก่อนที่ร่างของมันจะเสียหลักล้มลงนอนบนพื้นผีสาวอีกตัวในชุดแดงร้องคำรามเสียงดัง พร้อมพุ่งเข้ามาอ้าปากกว้างกางกรงเล็บที่เหยียดตรง ตั้งใจจะจับคอของหย่งฟาง แต่นักพรตสาวเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม หลบการโจมตีของผีตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับยกขาถีบเข้าที่ท้องของมัน ผีสาวร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันหยุดนิ่งไปชั่วครู่หยู่ถังคิดในใจ ผียังเจ็บได้ด้วยเหรอ? แต่ถึงอย่างนั้นผีสาวก็ไม่ถอยหลัง มันพุ่งเข้าหาหย่งฟางอีกครั้งด้วยความดุดัน ในขณะเดียวกัน ผีสาวที่ล้มลงไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นตัวเหมือนปลาที่กระโดดจากพื้น ตอนนี้หย่งฟางต้องรับมือกับผีสาวถึงสองตัวหยู่ถังไม่คิดมาก รีบตะโกนถาม “อาจารย์หย่ง! ให้ฉันไปหยิบอุปกรณ์ให้ไหม?”“ไม่ต้อง” หย่งฟางตอบสั้นๆ ในขณะที่ยังต่อสู้อยู่ผีทั้งสองตัวบ้าคลั่งมากขึ้น การโจมตีของพวกมันเริ่มทวีควา