“เออนี่ พอไปถึงตำหนักช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าแต่ก่อนฉันเป็นยังไง หรือแบบว่าฉันไม่ชอบใคร หรือมีใครเกลียดฉันไหม”
“?” กาลัดกับกลีบบัวทำสีหน้างง
“เอ่อ คือพอจมน้ำแล้วเลอะเลือนจำไม่ได้น่ะ” คำถามของฉันสร้างความงุนงงให้กับคนสนิท จึงรีบแก้ต่างทันที
“เข้าใจแล้วเพคะ...”
จากนั้นพวกฉันสามคนก็เดินกลับตามเส้นทาง มุ่งหน้าสู่ตำหนักประจำ ระหว่างทางฉันก็ถามไถ่พูดคุยกับกาลัดและกลีบบัวในสิ่งที่ฉันอยากจะรู้ เพราะการอยู่ในร่างของผณินทรทำให้ฉันเหมือนแบกภาระอันหนักอึ้ง ฉันต้องเริ่มศึกษาเก็บข้อมูลในอดีตของเธอในการสวมรอย ซึ่งไม่รู้ว่าฉันต้องอยู่ในร่างนี้นานแค่ไหน
“ชู่” ฉันส่งสัญญาณและหยุดเดิน เมื่อเห็นชายสไบเล็ดลอดออกมาจากพุ่มไม้ด้านหน้า เหมือนกับว่าตรงนั้นมีคนหลบซ่อนอยู่
“มีกระไรรึเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ฉันไม่ได้ให้คำตอบแก่เธอ แต่ชี้นิ้วไปยังพุ่มไม้ตรงหน้า
“ต้องใช่เจ้านางอัปสราเป็นแน่เพคะ” กาลัดกระซิบ
(“เธอไม่ชอบผณินทรสินะ”) ฉันคิดในใจเมื่อได้ยินกาลัดบอก
“กาลัด กลีบบัว ไปเอาน้ำล้างเท้าตรงอ่างหน้าทางเข้าท้องพระโรงมา”
(“เพคะ”)
“เดี๋ยวฉันจะอ้อมไปรอทางนั้น” ฉันวนนิ้วเป็นสัญญาณเมื่อคิดแผนโต้กลับได้ แล้วเดินนำหน้าสองสาวนั้นไป อัปสราคงคิดจะแกล้งผณินทร
“เดี๋ยวเจอมณีณิน!”
“น้ำตามที่รับสั่งเพคะ” ฉันยืนรอกาลัดกับกลีบบัวไม่นาน ทั้งสองคนก็กลับมาพร้อมกับน้ำทั้งสองอ่าง
“กาลัดไปทางนั้น เดี๋ยวฉันกับกลีบบัวจะไปอีกฝั่ง โอเคนะ” ฉันสั่งการ
“เพคะเจ้านางน้อย”
จากนั้นพวกเราก็เริ่มแผนการเอาคืนฉบับเร่งด่วน และเป็นอย่างที่คาดเดา เป็นอัปสราจริง ๆ ฉันพยักหน้าให้สัญญาในการเตรียมพร้อมกับกาลัด โน้มแขนลงมาสะกิดไหล่ของอัปสรา แต่เหมือนกับว่าสาวใช้ที่กาลัดยืนคุมอีกฝั่งจะมองเห็นฉัน
“เจ้านางอัปส...”
ซ่า! ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบน้ำในอ่างของกาลัดก็ราดลงหัวของเธอเต็ม ๆ และตามด้วยอัปสรากับสาวรับใช้อีกคนที่โดนไม่ต่างกัน
(กรี๊ด!!!) เสียงหวีดร้องดั่งเจ็บปวดเหลือแสนดังลั่น พวกเธอรีบกูลีกูจอลุกขึ้นยืน น้ำบริสุทธิ์ผุดผ่องเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ฉันแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวกับท่าทางโหยหวน สายตาอัปสราจ้องมาทางฉันอย่างเคืองโกรธ แต่จะโทษฉันไม่ได้นะ เพราะพวกเธอคิดไม่ซื่อก่อนเอง
“แก! นังผณินทร”
“ตายแล้ว! เจ้านางอัปสราทรงร้อนขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย ทำไมไม่กลับไปอาบน้ำที่ตำหนักตัวเองให้ดีเล่า ใยถึงได้เอาน้ำในบึงบัวมาชโลมเช่นนี้” ฉันจริตท่ายกมือปิดปากดั่งตกใจ พูดออกไปอย่างเย้ยหยัน
“กล้าสาดน้ำใส่ข้างั้นรึ”
“แล้วเธอคิดจะทำอะไรฉันก่อนล่ะ”
“เปล่า” เธอตอบเสียงแข็ง ทั้งที่ฉันเห็นอยู่เต็มสองตา รวมทั้งขวดอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือของสาวรับใช้ทั้งสองคน
“แล้วอะไรอยู่ในมือสองคนนั้น” ฉันเพ่งไปยังขวดในมือ แต่สาวรับใช้ของอัปสราก็หลบมือไปด้านหลัง ฉันพยักหน้าให้กาลัดแย่งหลักฐานออกมาดู
“เป็นน้ำพิษจากยางต้นอากาเว่เพคะ เป็นต้นไม้หายากเกิดเพียงบนบกเท่านั้น หากโดนพระวรกายจะทำให้เกิดอาการคันและผื่นแดงเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดบอกฉัน
“กะทำให้เสียโฉมสินะ แสบนักนะอัปสรา” ฉันกัดฟันแล้วต่อว่าเธอในใจ
“ต้องรายงานเจ้าหลวงเพคะเจ้านางน้อย”
“เป็นแค่ขี้ข้า ไม่ต้องสอด!” อัปสราชี้หน้าด่ากลีบบัว เธอร้ายกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก
“อ๊ะ!” ฉันร้องด้วยความตกใจ เมื่ออัปสราผลักฉันจนกระเด็น ล้มก้นกระแทกพื้น
เกิดการตะลุมบอนกันขึ้นระหว่างสองฝั่ง และการที่ทำฉันเจ็บก็ไม่ยอมเหมือนกัน ฉันเข้าไปดึงผมของอัปสรา ที่กำลังง้างมือตบหน้ากลีบบัว
“กรี๊ด!!! ปล่อยข้านะ เจ็บ ๆ”
“อยู่ใครอยู่มันไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องมาหาเรื่อง นี่แน่ ๆ ๆ”
ฉันจับมือของเธอไขว้หลัง จากนั้นก็หยิกตามตัวช่วงเอว หน้าท้องของเธอไปเรื่อย ๆ เท่าที่แรงจะมี ส่วนอัปสราก็พยายามยกขาถีบฉันจนตอนนี้รู้สึกเจ็บบ้างแล้ว ตอนนี้ต่างไม่มีใครยอมใคร ผมเผ้าหลุดลุ่ยรุงรังปานรังนกร้าง ต่างฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อการเอาตัวรอด เสียงหวีดร้องโวยวาย ทั้งสาวใช้ของฉันและของอัปสรา ตอนนี้สภาพของฉันก็ยับเยิน แต่น่าจะน้อยกว่าอัปสราที่คงตัวเขียวช้ำจากการหยิก และรอยสุดท้ายที่ฉันประทับตราไว้คือรอยฟัน ฉันกัดเขาต้นขาของเธอเต็มแรง ได้ทันท่วงที
(หยุดเดี๋ยวนี้!)
เหมือนไหวพริบของกาลัดและกลับบัวจะดีมาก พวกเธอรีบคว้าอ่างน้ำล้างเท้ายัดเข้าพุ่มไม้ เมื่อเสียงเข้มดังแทรกเข้ามา เสียงเหี้ยมเช่นนี้ที่แสนจะคุ้นหู แว่วผ่านสายลมแผ่วเบาก็รับรู้ได้ทันที ฉันรีบปล่อยมือจากอัปสราทันที เธอตั้งตัวได้ก็ยกมือจะฟาดเข้าแก้มของฉัน แต่ว่าคนที่กำลังวิ่งหน้าตั้งมาทำให้ฉันต้องแสดงละครฉากใหญ่ ฉันแสร้งเซถลาล้มลงให้หน้าผากกระแทกกับขอบอ่างบัวที่อยู่ไม่ไกล คิดว่าคงจะมีเลือดออกมาได้บ้าง ความอ่อนแอบังเกิด ฉันรีบเค้นน้ำตาออกมาด้วยความพยายาม แม้จะมีน้อยนิดแต่ก็ยังพอจะแสดงละครได้ต่อ
(“หยุด! บอกให้หยุด”)
“น้ำตาก็ไม่เป็นใจเอาซะเลย” ฉันยังคงก้มหน้ากับพื้นเพื่อเรียกน้ำตา จนตอนนี้เจ้าของเสียงห้ามเข้ามาใกล้ แล้วพยุงฉันให้ลุกยืน
“ท ท่านพ่อ” อัปสราเรียกขานด้วยน้ำเสียงสั่นเหมือนกับกลัว
“......” อาศิรวิษมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร สายตาที่เขามองอย่างจับสังเกต ทำให้ฉันต้องก้มหน้ามองพื้น ยกมือปิดแก้มเอาไว้ ไม่รู้ว่าฉันต้องรู้สึกอะไรกับสายตานี้ที่กำลังจดจ้องมองฉันอยู่
“มันเกิดอันใดขึ้น” เจ้าหลวงเอ่ยถามเสียงแข็ง
“เจ้าพี่ผณินทรราดน้ำรดหัวลูกเพคะ” อัปสรารีบฟ้อง ส่วนฉันยังคงเงียบปากอยู่ แสดงสีหน้าบีบหน้าให้ดูน่าสงสาร
“จริงรึผณินทร” เจ้าหลวงหันมาถามฉัน
“ลูกเปล่าเพคะ ฮึก ฮึก” ฉันปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสะอื้นจากการแสดง
“จะเปล่าเยี่ยงไร ท่านพ่อเห็นสภาพลูกเป็นเยี่ยงไรเพคะ...ยังจะหาว่าใช่ฝีมือเจ้าพี่หรือไม่” อัปสราพูดเสียงดัง ท่าทางดูเกรี้ยวโกรธมองมาทางฉัน
“ลูกถูกน้องอัปสราสาดพิษต้นอากาเว่เพคะท่านพ่อ ฮึก ฮึก” ปากฉันพูดและซ่อนแขนไว้ด้านหลัง รีบเกาให้เกิดรอยแดง
“!!!” ทุกคนที่รายล้อมมีสีหน้าตกใจหลังจากที่ฉันพูดจบ อาศิรวิษรีบจับไหล่ของฉันและมองสำรวจ
“ลูกรู้สึกแสบคัน เห็นน้ำในอ่างบัวนี้จึงรีบไปล้าง น้องอัปสราเดินไม่ระวังเองจึงพลาดลื่นตกอ่างบัวเอง ใยถึงจะโทษว่าลูกกระทำ ฮึก ฮึก” ฉันยังคงการละครต่ออย่างน่าสงสาร
“ต้นอากาเว่อย่างนั้นรึ?”
“เพคะเจ้าหลวงหม่อมฉันดูแน่แล้ว่าใช่ต้นไม้พิษจริงเพคะ...พระองค์ลองทอดพระเนตรดูอีกคราเพคะ” กาลัดพูดเสริมขึ้น พร้อมกับยื่นขวดยาพิษให้กับคนข้างกายเจ้าหลวง ฉันเหลือบเห็นอัปสราเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คงลืมไปแล้วว่าตัวเองมัวแต่คิดจะเอาคืนฉันจนลืมเก็บหลักฐาน อยากจะหัวเราะดัง ๆ ซะจริง
“อาศิรวิษ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหลวงเรียกนั่นทำให้อาศิรวิษรับรู้ถึงความประสงค์ทันที เขาหยิบขวดยาพิษขึ้นมาตรวจดู ฉันก็แอบลุ้นไปด้วย มองไปทางกาลัดและกลีบบัวที่ตอนนี้มายืนขนาบสองข้างฉัน
“เป็นพิษต้นอากาเว่พ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษรายงาน
“อัปสรา! เจ้าช่างกล้านัก”
“ลูกถูกปรักปรำเพคะท่านพ่อ ไม่เพคะ ไม่ใช่ลูก” อัปสรารีบคุกเข่าแล้วปฏิเสธทันทีด้วยท่าทีร้อนรน
“หากไม่ใช่เจ้า ใยพิษนี่ถึงอยู่กับเจ้าได้” เจ้าหลวงว่าขึ้นด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ทำเอาอัปสราตอนนี้ถึงกับตัวสั่นเทา
“ไม่ใช่ลูกเพคะ” เธอยังคงปฏิเสธ
“เฮ้อ เจ้านะเจ้าใยถึงได้เกเรเช่นนี้ ...ออกราชโองการไปกักบริเวณเจ้านางอัปสราสำนึกผิดตนอยู่ตำหนักเจ็ดวัน!”
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อเพคะ ทรงลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ท่านพ่อ!”
เจ้าหลวงพูดจบก็เดินจากไป อัปสราร้องไห้น้ำตาไหล พยายามคลานเข้าเพื่ออ้อนวอน แต่เจ้าหลวงแสนเด็ดขาดไม่หันมองกลับหลังแม้แต่น้อย
“ครั้งนี้รอดได้ ครั้งหน้าเราจะไม่รามือเป็นแน่ผณินทร” หลังจากที่เจ้าหลวงเดินลับสายตาไปไกล อัปสราก็ลุกยืนมือปาดน้ำตา แล้วหันหน้ามาข่มขู่ฉัน เธอคงจะโกรธแค้นแต่ฉันไม่กลัว อัปสราชักสีหน้าโกรธ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเคียดแค้นก่อนจะเดินจากไป ฉันมองตามหลังของเธอแล้วหัวเราะเบา ๆ ยกมือปิดปาก เพราะไม่อยากจะเยาะเย้ยจนออกหน้าออกตา เพราะว่าอาศิรวิษยังคงคอยมองอยู่
“ข้าจะไปตามหมอหลวงมาดูเจ้านางน้อย” กาลัดพูดกับกลีบบัว
“รีบไป ๆ...เป็นผื่นแดงหมดเลยเพคะเจ้านางน้อย รีบเสด็จกลับตำหนักเถิดเพคะ” กลับบัวพูดพร้อมกับจับแขนของฉันขึ้นมาดู และมีอีกสายตาคู่หนึ่งมองฉันนิ่ง ๆ
“ลาเจ้าค่ะ ท่านพี่อาศิรวิษ” สายตาที่ไม่อาจคาดเดา ทำเอาฉันเริ่มทำตัวไม่ถูก จนต้องรีบปลีกตัวออกมา ถ้าหากอยู่ต้องฉันคงโดนเขาจับได้แน่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการละครทั้งนั้น
-ปัจจุบัน- ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบไปสิบแปดวันเลยนะคะ แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”แม่ถามย้ำท่านคงเป็นห่วง นี่ฉันนอนหลับไปสองอาทิตย์กว่าเลยงั้นเหรอ?“คนไข้ไม่เป็นอะ
ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ
“ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว
ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่
คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได
หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”