หน้าหลัก / แฟนตาซี / อาศิรวิษ / 11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า2

แชร์

11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า2

ผู้เขียน: พลอยแก้ว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-09 16:02:01

หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น

“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”

ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีต

แต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า

“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”

อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อย

แล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไป

แต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...

แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน

“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้

“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”

แล้วเงานั้นก็พลันหายไป หัวใจของฉันกระตุกวูบ รู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย

“พี่จะไม่ยอมให้เจ้านางน้อยเผชิญมันเพียงลำพัง ต่อให้อันตรายเพียงใด เราจะสู้ด้วยกัน”

“เราต้องทำยังไงกันดี ต้องแก้ไขยังไงพวกเราไม่รู้เลย ไปถามท่านอาจารย์ดีหรือไม่” อาศิรวิษพยักหน้ารับ

ในยามเช้าตรู่ของวันใหม่ ฉันและอาศิรวิษรีบไปพบอาจารย์ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านอาจารย์คงจะรู้เรื่องราวล่วงหน้า ถึงได้ชี้แนะพวกฉันทันที

ฉันและอาศิรวิษออกเดินทางจากมคธนครมุ่งหน้าสู่ อรัณยวดี ดินแดนเร้นลับใต้ธาราที่ท่านอาจารย์บอกกล่าว ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่เก็บเศษบ่วงนาคบาศชิ้นสุดท้าย...

แม้การเดินทางจะราบรื่น แต่ฉันกลับรู้สึกตลอดทางว่า กำลังถูกจ้องมอง

“ระวังตัว” เสียงของ ตรีภพ ดังมาในใจจิตเขาที่ผนึกอยู่กับแสงแห่งดาบยังคงปกป้องฉัน ฉันหันไปมองอาศิรวิษ เขาเดินเคียงข้างฉันเสมอ อบอุ่น มั่นคง และเต็มไปด้วยความรักที่ไม่ต้องเอ่ยคำใด

“หากเจ้าหวั่นไหว…เพียงเอ่ยมา พี่จะทำลายทุกเงาที่จ้องเจ้าทันที แม้ต้องแลกด้วยโลหิตและชีวิตพี่” คำพูดของเขา ทำให้ใจของฉันอุ่นแต่ก็สั่นในคราวเดียวกัน เพราะในค่ำคืนนั้นเอง...

คืนพระจันทร์ดับ ท่ามกลางแสงสลัวในอรัณยวดี ที่ซากเทวาลัยจมทะเล ฉันกำลังสวดภาวนาให้เศษบ่วงปรากฏ แต่แล้ว…เขาก็ปรากฏตัวขึ้นในเงาน้ำ

“ข้ารอเจ้ามานาน…ผณินทร” ชายผู้นั้น…ผู้ที่ฉันเห็นในฝัน ผู้ที่เรียกฉันว่า หญิงผู้สัญญา เขาก้าวออกจากเงาน้ำแสงจันทร์เผยให้เห็นผ้าปิดตาที่ชุ่มด้วยเลือด ผมยาวสีดำปลิวลู่ลงถึงกลางหลัง บนหน้าอกมีอักขระพันธะวิญญาณเก่าแก่...

เขาคงจะเป็น เทวานิล ดวงญาณต้องสาปที่เคยเป็นเจ้าชายแห่งอัสราเทวีอดีตชาติของฉัน! ตามที่ท่านอาจารย์เล่าเรื่องราวให้ฟัง

“เจ้าสัญญากับข้าว่า…จะไม่มีใครอยู่เคียงข้างเจ้าได้ นอกจากข้า แต่เจ้ากลับให้หัวใจ...แก่พญานาคตนนั้นหรือ?”

แค่เขาเอ่ยพลังมืดก็กระจายออกจากร่างของเขา พสุธาสั่นสะเทือน นกดำล้มตายโดยไร้เหตุผล

“เทวานิลข้าขอโทษ ข้า…ไม่อาจจำอดีตทั้งหมดได้ แต่ข้าจำได้ว่าในวันนี้ ข้ารักเขา” ดวงตาภายใต้ผ้านั้น...เริ่มสั่นไหว

แต่น้ำเสียงกลับแน่นและแข็งกร้าว

“เช่นนั้น...ข้าก็จะทำลายสิ่งที่เขาเป็น เพื่อให้เจ้ากลับมา”

แค่เสี้ยววินาที อาศิรวิษพุ่งเข้าขวางเทวานิลกับฉัน หัตถ์พญานาคสาดแสงสีทอง พุ่งปะทะพลังคำสาปสีดำสนิท พื้นดินแตกร้าว แม่น้ำเหือดแห้งและวิญญาณมืดเริ่มปีนขึ้นจากซากเทวาลัย

“กลับไป…เทวานิล! ข้าไม่ยอมให้เจ้าพรากนางจากข้าอีกครั้ง ไม่ว่าจะในภพใด!”

เทวานิลยิ้มเศร้า

“งั้นเราก็มาเดิมพันด้วยชีวิต...ใครที่หัวใจของผณินทรจะเรียกหา ในห้วงสุดท้ายของศึกนี้”

“อาศิรวิษ!!”

เสียงของฉันสั่นเครือ…เพราะภาพตรงหน้าทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น เขายืนขวางหน้า ร่างเปื้อนเลือด พลังเกราะนาคเริ่มแตกกระจาย แต่เขายังฝืนยืดหลังตรง กางหัตถ์พญานาคขวางเทวานิลไว้ แม้เปลวคำสาปจากอดีตชาติจะกลืนกินท้องฟ้าทั้งผืน

“เจ้าจักต้องตายโดยที่นางไม่แม้แต่จะจำอดีตของเจ้าได้ อาศิรวิษ” เทวานิลเอ่ยเสียงเย็น เหยียดรอยยิ้มเจือเศร้า

“ไม่จำเป็นต้องรู้จักอดีต...ตราบใดที่ข้าได้ปกป้องนางในตอนนี้” อาศิรวิษตอบ พลางยกมือเช็ดเลือดจากมุมปาก

คำร่ายต้องสาปจากเทวานิล สาดใส่อาศิรวิษจนเขาทรุดเกล็ดทองคำบนร่างเริ่มแตก ฉันรู้ว่าเขาเริ่มทนไม่ไหว แต่ก็ยังเอาตัวมาบังฉันไว้ไม่ยอมถอยห่าง

“อาศิรวิษ...พอเถอะ อย่าทรมานตัวเองเพื่อข้าอีกเลย!”

“ไม่…ผณินทร เพราะเจ้าคือเหตุผลเดียวที่ข้ายังอยากหายใจอยู่”

คำพูดของเขา ทำให้ฉันแทบทรุด ฉันร่ายมนตราเรียกพลังของตรีภพ เศษวิญญาณของเขาก่อเป็นม่านแสงจันทร์ แล้วพันรอบร่างอาศิรวิษไว้ แล้วสะท้อนคำสาปของเทวานิลกลับชั่วครู่หนึ่ง!

“เจ้าเลือกเขา...แทนข้า” น้ำเสียงของเทวานิลปริแตก “แม้ในอดีตเจ้าสาบานจะรักข้าตลอดภพชาติ...เจ้าก็ผิดคำสาบานแล้ว!”

ฉันเดินออกไปข้างหน้าด้วยมือสั่นเทา แต่ดวงใจแน่วแน่

ฉันยืนเคียงข้างอาศิรวิษ

“ขอโทษ...เทวานิล ข้าอาจเคยรักเจ้าในอดีต แต่ในตอนนี้หัวใจข้าเลือกเขา” แสงจากบ่วงนาคบาศในมือของฉัน…สว่างวาบ!! ดวงตาใต้ผ้าปิดตานั้นรินน้ำตาเงียบ ๆ

“เช่นนั้น…ก็ขอให้คำมั่นของข้า…จางหายไปพร้อมข้า”

เทวานิลแย้มยิ้มสุดท้าย เศษจิตของเขาสลายไปกับสายลมอย่างสงบ…ฉันทรุดลงข้างอาศิรวิษแล้วโผกอดเขาแน่น ร่างของเขาเย็นเฉียบ พลังแทบไม่มีหลงเหลือ ดวงตาของเขาฝืนลืมขึ้นมองฉัน

“ถ้าชาติหน้ายังได้พบกัน ข้าขอ...เป็นคนแรกที่ได้อยู่ข้างเจ้า”

ฉันกุมมือเขาแน่น น้ำตาหยดลงใบหน้าเขา

“ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรอก ข้าเลือกเจ้าตั้งแต่ชาตินี้แล้วอาศิรวิษ”

ม่านแสงของบ่วงนาคบาศไหลซึมเข้าสู่ร่างของอาศิรวิษ พลังของมันเยียวยาบาดแผล...แม้ไม่อาจฟื้นคืนได้ทั้งหมด แต่ก็หยุดยั้งเขาจากความตาย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อาศิรวิษ   14-เสียงกระซิบจากห้วงนาคา 2

    -ปัจจุบัน-ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบ

  • อาศิรวิษ   เสียงกระซิบจากเงาห้วงนาคา

    ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด2

    “ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด

    ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ​ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้​ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ​"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า​"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่

  • อาศิรวิษ   12-เงารักในภพชาติ

    คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได

  • อาศิรวิษ   11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า2

    หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”

  • อาศิรวิษ   11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า

    เวลาผ่านไปหลายวันหลังจากพวกเรากลับมาจากการเดินทางอันยาวไกล มคธนครเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง แต่หัวใจของฉันกลับค่อย ๆ ก่อเกิดบางอย่างใหม่ในความเงียบ...ความรู้สึกอ่อนโยน ความอบอุ่นค่อย ๆ แทรกเข้ามาจากอาศิรวิษ เขาไม่เคยพูดคำว่ารัก ไม่เคยขออะไรจากฉัน แต่เขาอยู่ตรงนั้นเสมอ แม้ยามฉันเงียบ แม้ยามฉันหวั่นไหว เขาก็ยังอยู่วันนี้ฉันเดินไปยังสวนบุษบันอันสงบ ท่ามกลางเสียงของสายน้ำและกลิ่นหอมจาง ๆ ของเกสรดอกไม้ ที่นั่นมีอาศิรวิษยืนรออยู่ก่อนแล้ว“ข้ารู้เจ้านางน้อยชอบที่นี่ เลยเก็บดอกไม้ที่เจ้าชอบมาด้วย” เขายื่นดอกบุษบันสีชมพูอ่อนให้ ฉันรับมันมาเงียบ ๆ หัวใจอบอุ่นโดยไม่ต้องมีคำใด พวกเรานั่งข้างกันใต้ร่มไม้“อาศิรวิษ…ท่านเคยรู้สึกไหม ว่าเราทั้งคู่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว”เขายิ้มอ่อนเมื่อฉันพูดจบ“เพราะเราเติบโตขึ้นพร้อมกัน…” อาศิรวิษเอ่ยขึ้น ฉันมองมือของเขาเงียบ ๆ วางไว้ใกล้มือของฉัน มือที่เคยปกป้อง เคยดึงฉันขึ้นจากความกลัว แล้วฉันก็วางมือลงไปบนมือนั้น...ด้วยความรู้สึกวูบไหว“ข้าไม่รู้ว่าความรัก

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก 3

    ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

    พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status