คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนคร
จ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ
“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”
ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม
“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้
“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”
ฉันรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นสอดรับกัน
“อาศิรวิษ…ข้ากลัวจะเสียท่านไปมากกว่าทุกสิ่งในโลกนี้”
เขายิ้ม เหลือบตาลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
“เช่นกัน…เจ้าคือสิ่งเดียวที่พี่สวดภาวนาให้ได้ปกป้อง”
แสงจันทร์อาบไล้พวกเรา เขายื่นมือออกช้า ๆ ลูบผมฉันเบา ๆ นิ้วเรียวยาวของเขาสะกดความสั่นในใจของฉันได้หมดสิ้น ฉันหลับตาลง…ซบลงบนอกเขา ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นไม่ต่างจากของฉัน เราไม่ต้องพูดอะไรอีกเลยในคืนนั้น แค่ได้นั่งเงียบ ๆ ข้างกัน ใต้แสงจันทร์ที่นุ่มนวลเหมือนคำว่ารักที่ไม่ต้องเปล่งเสียง
“เมื่อศึกจบข้าขอเพียงอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ต้องเป็นวีรบุรุษ ไม่ต้องปกป้องโลก ขอแค่เป็นอาศิรวิษของผณินทรคนเดียวก็พอ”
และนั่นคือคืนที่หัวใจของฉัน ถูกเขียนใหม่อีกครั้ง ด้วยลายมือของพญานาคผู้เงียบขรึมแต่รักมั่นคงที่สุดในจักรวาล ฉันไม่เคยเห็นอะไรอลังการขนาดนี้มาก่อน...
นครลอยฟ้าเวหาศาลาสูงเหนือเมฆา กลางหาวฟ้าเที่ยงตรงหอคอยแก้วใสราวผลึกน้ำค้าง สะท้อนกับแสงตะวันเหมือนวิมานเทพ เจ้าหลวงแห่งมคธนครถูกเชื้อเชิญ จึงส่งฉันและอาศิรวิษให้เข้าเฝ้าราชนางศิรวารีแทน นางคือผู้ดูแลคำทำนายแห่งเบื้องบน และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ การที่ผู้คนที่นี่จำฉันได้จากบันทึกโบราณ ว่าหญิงผู้ห่อหุ้มด้วยปราณพิทักษ์บรรพกาลแห่งนาคี
ทันทีที่เราเดินเข้าประตูเมือง...สายตานับร้อยก็จับจ้องมาที่ฉัน ไม่ใช่แค่ความสงสัย...แต่บางสายตานั้นลึกซึ้งเกินบรรยาย
“ผณินทร...ผ้าคลุมเจ้าหลุดตรงบ่า” เสียงเย็น ๆ ของอาศิรวิษกระซิบข้างหู
“อะ เอ่อ...จริงด้วย ขอบคุณนะ” ฉันรีบดึงผ้าคลุมขึ้น ขณะหันไปยิ้มให้เขา แต่พอหันกลับมาอีกที ฉันก็เห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งจากเวหาศาลา เดินตรงมาทางฉันพร้อมรอยยิ้มที่ไม่อาจปฏิเสธว่ากำลังหว่านเสน่ห์
“ท่านคือสตรีจากมคธนครหรือ? ข้าไม่เคยเห็นใครมีพลังอ่อนละมุนเช่นท่านมาก่อน”
โอย…พูดแบบนี้ต่อหน้าคนข้างหลังนี่ ฉันแทบก้มกราบขอโทษแทนแล้ว! ฉันยังไม่ทันตอบ...อาศิรวิษก็ก้าวเข้ามายืนข้างฉัน ยืนนิ่งมาก...แต่มือเย็น ๆ ของเขากลับมาวางที่แผ่นหลังของฉันเบา ๆ คล้ายบอกว่า อย่าไปไหนทั้งนั้น
“นางคือผู้ได้รับการคุ้มครองโดยข้า หากมีสิ่งใดผิดพลาดข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว” เสียงของเขาเยือกเย็นแต่แฝงแรงกดดันหนักมาก!! ชายหนุ่มผู้นั้นชะงัก ก่อนจะยิ้มจาง ๆ
“เข้าใจแล้ว...ข้าคงพูดมากไปหน่อย ขออภัยด้วย” พอเขาจากไป ข้าหันไปกระซิบ
“ท่านหึงข้าเหรออาศิรวิษ?” เขาเดินนำหน้าไปเงียบ ๆ
“ไม่หึง...แค่ไม่อยากให้ใครพูดกับเจ้าด้วยน้ำเสียงที่พี่ไม่รู้จัก”
โอ๊ย! พญานาคคนนี้! คำพูดปฏิเสธแต่ทำให้แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ วางมาดเก่งชะมัด
ตลอดทั้งวันในเวหาศาลา อาศิรวิษคอยอยู่ข้างฉันไม่ห่าง บางทีฉันก็แกล้งหยุดมองดอกไม้สวยนานเกินไป แอบลอบมองสีหน้าเขาเวลาคนอื่นเข้ามาคุยกับฉัน และฉันก็ยืนยันได้ว่า…อาศิรวิษคือผู้ชายขี้หวงเงียบ ๆ ที่น่ารักที่สุดในสามโลก
ตอนเย็นก่อนอาทิตย์ตก เรานั่งบนลานหินแก้วมองฟ้า
ฉันเอนหัวพิงบนไหล่ของเขา...และได้ยินเสียงลมหายใจของเขานิ่งสงบเงียบ…แต่มั่นคงเหมือนภูเขาที่ยืนอยู่เพื่อเฝ้าฟ้าทั้งแผ่นดิน“รู้หรือไม่...ตอนพี่เห็นชายเมื่อกลางวันพูดกับเจ้านางน้อย หัวใจข้ากระตุกเหมือนกำลังจะหลุดจากอก” เสียงของเขาเบาจนแทบไม่ใช่เสียงพญานาคนักรบ ฉันยิ้มพลางจับมือเขาไว้แน่น
“ข้าอยู่ตรงนี้นะ...อยู่กับท่านไม่ไปไหนหรอก”
เขาเงียบไปอีกครั้ง แล้วจึงกระซิบกลับมาเบา ๆ
“เยี่ยงนั้นพี่ขออนุญาตจับมือเจ้านางน้อยไปตลอดชีวิต”
คืนหนึ่งในนครลอยฟ้า ท่ามกลางม่านหมอกที่คลี่คลุมสรวงสวรรค์ ฉันนอนหลับอยู่บนแท่นหินแก้วใสราวกลีบกล้วยไม้
แต่จิตของฉันกลับไม่สงบ…ฉันเริ่มฝันถึงดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ลอยเหนือผืนน้ำดำ และใต้เงาจันทร์นั้น...ก็ปรากฏเงาหนึ่งที่ฉันไม่มีวันลืม ตรีภพอุรเคนทร์ เขายืนอยู่ในแสงสีเงินของจันทร์ ดวงตายังอ่อนโยนเหมือนวันเก่า แต่มีบางสิ่งในแววตานั้น…เศร้าลึกจนฉันแทบหายใจไม่ออก“ผณินทร...เจ้ายังมีเส้นทางอีกไกลนัก แต่อดีตของเขา...อาจทำให้เจ้าสะดุด หากเจ้ารู้ความจริง”
ข้าเอ่ยเสียงสั่น
“เจ้าหมายถึง?”
“อาศิรวิษ”
คำพูดของตรีภพ ทำเอาฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ฉันต้องเจอกับเรื่องราววุ่นวายอะไรอีกนับจากนี้ ความฝันที่เหมือนเป็นลางบอกล่วงหน้า และที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นจริง ๆ ฉันกลัวเหลือเกิน
“เขาเคยทำผิดร้ายแรง และเจ้ายังไม่รู้ว่าเขาเกือบกลายเป็นหนึ่งในคำสาปที่เจ้าต้องล้มล้าง”
ก่อนที่ฉันจะอ้าปากถามต่อภาพทุกอย่างก็ถูกกลืนหาย
เหลือเพียงแค่เสียงหนึ่ง ที่ดังแผ่ว...คล้ายลมกระซิบ“อย่ารักเขา...ถ้าเจ้ากลัวจะเจ็บ”
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมา...หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อหันไป อาศิรวิษนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง สายตาเขาเหม่อมองไปยังท้องฟ้ายามราตรี
“พี่เคย...ฆ่าคนบริสุทธิ์” เสียงเขาแผ่วเบา...แต่ชัดเจนยิ่งกว่าคำสารภาพใด ฉันอึ้งเมื่อได้ยิน เพราะมันเหมือนกับว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าฉันฝันถึงเรื่องอะไร
“ครั้งอดีตนั้นพี่ยังเป็นเพียงนาคหนุ่มผู้หยิ่งทะนง หลงกลยุยงจากผู้ที่อ้างว่าทำเพื่อปกป้องเผ่านาค พี่บุกทำลายหมู่บ้านของพวกผู้รักษาพิธีโบราณ และมีเด็กคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้นที่มองพี่ด้วยดวงตาเหมือนเดี๋ยวนี้เลย”
“รู้ไหมว่าเด็กคนนั้นคือใคร?” ฉันถาม
“ตรีภพ ตอนยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนจะกลายเป็นดาบแห่งคำทำนายในอนาคต”
น้ำตาของฉันเริ่มรื้น ฉันรู้ว่าอาศิรวิษเป็นคนดี...แต่ความจริงในอดีตนี้มันหนักเหลือเกิน
“ขอโทษ” เขาว่าขึ้น
“เจ้านางน้อยคงไม่อยากเห็นหน้าพี่อีกแล้วใช่หรือไม่?”
ฉันส่ายหน้าแรง ๆ ทั้งที่น้ำตาไหล
“ไม่เลยอาศิรวิษข้าเสียใจแทนพี่ต่างหาก ท่านทนอยู่กับความผิดนี้มาตลอดเลยใช่ไหม?”
เขาหลบตา...ไม่ยอมให้เห็นหยดน้ำที่กำลังร่วง
“พี่แค่อยากชดใช้...แม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว และหากเจ้านางน้อยจะยังอยู่ข้างพี่ แม้ว่าจะไม่สมควรได้มันพี่ก็จะยอมเฝ้าดูเจ้านางน้อยเช่นนี้…ตราบที่เจ้านางน้อยจะยอมให้พี่อยู่”
ฉันกอดเข้าไปเขาแน่น ไม่ใช่เพราะสงสาร แต่เพราะหัวใจรู้ว่า ไม่มีใครบนโลกนี้รู้จักการเจ็บและการยอมมากกว่าอาศิรวิษอีกแล้ว
ระหว่างนั้นเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา
(“บ่วงนาคบาศอีกสายได้หายไป มันเคยถูกผนึกไว้ใต้ผาแดง”)
“ท่านอาจารย์” ฉันและอาศิรวิษเอ่ยพร้อมกัน อารมณ์เศร้าหายไป เกิดเป็นความตกใจขึ้นมา
(“หากผู้ใดครอบครองบ่วงนาคบาศสายนั้น โดยไม่บริสุทธิ์ใจ โลกจะเปลี่ยนเป็นขุมนรกอีกครั้ง”)
“ท่านอาจารย์รู้หรือไม่เจ้าคะ ผู้ใดเป็นผู้ขโมยหรือมันหายไปได้เยียงไร” ฉันถามด้วยความสงสัย
“พวกอสุราหรือไม่ท่านอาจารย์” อาศิรวิษเอ่ยถาม
(“หาใช่พวกอสุราไม่ บ่วงกำลังจะถูกปลุกให้ตื่นจากเผ่าพันธุ์ที่ถูกลืม สิ่งที่พวกเจ้าทั้งสามต้องเผชิญกำลังย่างก้าวมาอีกครา จงหนักแหน่นและร่วมกันสู้แก้ไขชะตานี้ราบรื่น”)
หลังจากนั้นเสียงของท่านอาจารย์ก็หายไป เริ่มกังวลใจอีกครั้ง จบจากศึกก่อนหน้าว่าหนักแล้ว ฉันยังต้องเจออีกกี่ศึกกันแน่ ฉันและอาศิรวิษรับรู้เรื่องราว ก็รีบกลับไปยังมคธนครทันที
รุ่งอรุณเหนือมคธนคร สายหมอกบางเคลียยอดปราสาทสีทอง ฉันเดินเคียงอาศิรวิษผ่านทางเดินแห่งจันทรา เพื่อเข้าเฝ้าเจ้าหลวง เพื่อจะรายงานเรื่องบ่วงที่หายไป
เจ้าหลวงแห่งมคธทอดพระเนตรพวกเราด้วยสายตาหนักแน่น เมื่อฉันกราบทูลถึงบ่วงนาคบาศอีกสายที่หายไป…ดวงพักตร์พระองค์เปลี่ยนทันที
“เจ้าพูดว่า...บ่วงนาคบาศเคยถูกผนึกไว้ใต้ผาแดง แต่ตอนนี้...มันหายไป?”
ฉันพยักหน้ารับ
“เป็นดั่งที่อาจารย์โฆสวิษเค่ยกล่าวไว้จริง ๆ มันเริ่มเกิดขึ้นแล้ว และข้าสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ที่แม้แต่ดวงวิญญาณของตรีภพก็ยังไม่อาจใกล้” เสียงเจ้าหลวงแผ่วเบา…แต่ชวนสะท้าน เจ้าหลวงบอกเล่าเรื่องราวมากมายให้ฉันกับอาศิรวษฟัง
“ภารกิจของพวกเจ้ายิ่งใหญ่นัก พรุ่งนี้เตรียมตัวเถิด มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ พ่อจักคอยดูพวกเจ้าอยู่ตรงนี้” เจ้าหลวงเดินเข้ามาใกล้ฉัน
“เสด็จพ่อเจ้าคะ ทำไมต้องเป็นข้าอีกแล้ว” ฉันรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจเก็บกลั้น
“การที่เจ้ากลับมา ก็เพื่อแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้มิใช่หรือ...ต่อให้เจ้าจักเป็นผณินทรหรือมณีณิน เจ้าก็คือบุตรสาวของข้า อาศิรวิษจักเคียงข้างและปกป้องให้เจ้าปลอดภัย”
“ลูกกลัวเจ้าค่ะ กลัวเหลือเกิน” ฉันไม่อาจห้ามน้ำตาได้ โผลเข้ากอดเจ้าหลวงแนบแน่น
หลังเข้าเฝ้า ฉันและอาศิรวิษนั่งอยู่บนระเบียงแห่งเมฆ
เสียงสายลมเย็นพัดผ่านปลายผม ฉันคิดหนักเรื่องภาระหน้าที่ต้องจัดการ และในห้วงเวลานั้นเขาหันมามองฉัน“พี่อยากปกป้องเจ้านางน้อย...ไม่ใช่เพราะหน้าที่ แต่เพราะเจ้าคือหัวใจของพี่”
ฉันเงียบไป ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่เพราะหัวใจเต้นแรงจนพูดไม่ออก
แต่ความสุขนั้นอยู่ได้ไม่นาน...คืนนั้นฉันฝันอีกครั้ง ตรีภพปรากฏอยู่กลางเงามืด พร้อมกับพลังพายุที่สั่นสะเทือนแม้แต่ในความฝัน
“บ่วงนาคบาศ...ไม่ได้ถูกขโมยไปโดยพวกอสุรา แต่โดยเงาในเผ่าพันธุ์ที่เคยถูกลืม พวกเขากำลังใช้บ่วงเพื่อคืนชีพเทพนาคแห่งการล่มสลาย”
รุ่งเช้าฉันกับอาศิรวิษออกเดินทางตามร่องรอย
พร้อมจิตวิญญาณของตรีภพที่คอยแทรกกระซิบในยามเราหลับตา การเดินทางพาเรามาถึงถ้ำปักษาเศษ บนยอดเขาไร้เงาที่นั่นเสียงคำรามของพลังต้องห้ามสะท้อนก้อง และร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏ
“เจ้าเป็นใคร?” ฉันเอ่ยถาม
“ข้า...อาคินทร์หนึ่งในผู้นำเงาเผ่าเก่า พวกเจ้ามาช้าไปแล้ว บ่วงนาคบาศได้ถูกปลุกและอีกไม่นาน...เทพนาคผู้ถูกตราหน้าว่าทรราชย์จะกลับมา”
อาคินทร์โจมตีพวกเราด้วย ควันพิษแห่งพันธนาการ
อาศิรวิษปกป้องฉันไว้โดยไม่คิดชีวิต หัตถ์นาคสีทองของเขาสั่นสะท้าน แต่ยังยืนนิ่ง...แม้จะรับพิษเข้าสู่ร่างกาย“อย่าแตะต้องนาง!” เสียงอาศิรวิษตะโกนทั้งที่เลือดไหลอาบ ฉันไม่อาจทนมองเขาเจ็บอีก ฉันร่ายมนตราผนึกคืนวิญญาณ เรียกพลังของตรีภพออกจากมิติวิญญาณ และจิตของเขาก็หลอมรวมกับกระบวนเวทย์ ก่อเกิดปราการเงาจิต ที่แกร่งกล้า!
“ตรีภพ เจ้ายังอยู่กับข้าเสมอใช่ไหม?”
พลังผนึกทำให้เงาของอาคินทร์ถอยกลับ คำทำนายได้เริ่มขึ้นแล้ว และฉันยังคงต้องตามหาต้นตอของบ่วงนาคบาศ ก่อนจะสายเกินไป เสียงลมหายใจของอาศิรวิษ ยังอยู่เคียงข้าง
แม้จะผ่านศึกและคำสาปมากเพียงใด แต่ฉันรู้ว่า…บททดสอบครั้งใหม่นี้ ไม่ใช่เพียงศัตรูจากภายนอก แต่คือเงาที่สถิตอยู่ในใจของพวกเราเองเราสองคนเดินทางมาถึงรอยแยกแห่งอธิษฐาน สถานที่ที่ว่ากันว่าคำขอสุดท้ายของเทพนาคผู้ถูกลืม ยังดังก้องอยู่ในสายลม ณ ที่นั่นก็มีเงาปรากฏตัว
มันไม่ใช่มนุษย์
ไม่ใช่นาค
ไม่ใช่ครุฑ
แต่มันคืออัคนีธุลี เศษเงาของเทพเจ้าที่ถูกสาปให้ กลายเป็นพลังมืด กักขังอยู่ในกาลนิรันดร์และตอนนี้ มันมีร่างแล้ว
“ข้า...คือผู้ที่ถูกลืม ข้าคือความเกลียดชังที่เทพเจ้าไม่กล้ารับผิดชอบ และข้าจะเผาโลกทั้งใบนี้...ด้วยไฟที่พวกเจ้าเคยทอดทิ้ง!” แสงฟ้าระเบิดออกพร้อมคลื่นพลังมหาศาล อาศิรวิษยืนปกป้องฉันดังเดิม แต่ครั้งนี้...เสียงของตรีภพที่เคยดังในหัวของฉันเบาลงกว่าที่เคย ฉันหลับตาเพ่งสมาธิ เรียกจิตของเขา
“ตรีภพ...เจ้าอยู่ที่ไหน...ได้ยินข้าหรือไม่?” เสียงที่ตอบกลับมา อ่อนแรงเหลือเกิน
“ข้าเริ่มหลงลืมแล้ว...ว่าเราเคยเป็นใคร ถ้ายังจำข้าได้...ขอเพียงแค่หนึ่งคำ เรียกชื่อข้าอีกครั้ง...ก่อนที่ข้าจะสลายไปจากโลกนี้”
ฉันกัดฟัน น้ำตาไหลอาบหน้า ก่อนจะตะโกนออกมาจนแทบสุดเสียง
“ตรีภพ!! ข้ายังจำเจ้าได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไป!!”
ทันใดนั้นแสงแห่งจิตวิญญาณที่หลงเหลือของตรีภพ สว่างวาบขึ้น สะท้อนกับหัตถ์ของอาศิรวิษ...ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นอัคนีธุลีไม่ได้เล็งเป้าการโจมตีมาที่ฉันอีกต่อไป แต่มันเล็งไปยังคนที่ข้ามอบหัวใจให้ อาศิรวิษ มันพุ่งเข้าหาเขาด้วยพลังเงาดำที่สามารถฉีกจิตวิญญาณได้ ฉันไม่มีเวลาแม้แต่จะอธิษฐาน อาศิรวิษหันมามองฉันดวงตานั้น...เต็มไปด้วยแสงสว่าง
“เจ้านางน้อย...ถ้าต้องเลือกระหว่างเจ้ากับพี่ พี่เลือกที่จะหายไปเพื่อให้เจ้าอยู่ต่อ” เขาร่ายมนตราแห่งการสละชีพ
เรียกปราณต้านคำสาปจากสายเลือดแห่งพญานาคแท้ แลกกับวิญญาณ...เพื่อผนึกเงาให้ฉัน พลังนั้นรุนแรงจนภูผารอบถ้ำพังทลาย ฉันตะโกนสุดเสียง“อย่า!! อย่าทำแบบนี้!! อาศิรวิษ!!!”
ตรีภพ…จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ เพ่งพลังสุดท้ายของเขา
พุ่งเข้ารวมกับพลังของอาศิรวิษ และด้วยพลังแห่งคนที่ฉันรักทั้งสอง ฉันรู้ว่า...พวกเขาแลกทุกอย่างเพื่อให้ฉันมีชีวิตอยู่ ศัตรูเงาถูกผนึกชั่วคราว แต่ฉันทรุดลงในซากหิน เงียบงัน ในมือมีเพียง ผ้าผูกข้อมือ สีทองของอาศิรวิษที่เคยผูกให้และจี้หยดคราม ที่ตรีภพฝากไว้ในฝันครั้งสุดท้าย สองคนที่ฉันรัก...กำลังหายไปจากข้า แต่ฉันจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น-ปัจจุบัน-ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบ
ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ
“ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว
ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่
คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได
หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”
เวลาผ่านไปหลายวันหลังจากพวกเรากลับมาจากการเดินทางอันยาวไกล มคธนครเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง แต่หัวใจของฉันกลับค่อย ๆ ก่อเกิดบางอย่างใหม่ในความเงียบ...ความรู้สึกอ่อนโยน ความอบอุ่นค่อย ๆ แทรกเข้ามาจากอาศิรวิษ เขาไม่เคยพูดคำว่ารัก ไม่เคยขออะไรจากฉัน แต่เขาอยู่ตรงนั้นเสมอ แม้ยามฉันเงียบ แม้ยามฉันหวั่นไหว เขาก็ยังอยู่วันนี้ฉันเดินไปยังสวนบุษบันอันสงบ ท่ามกลางเสียงของสายน้ำและกลิ่นหอมจาง ๆ ของเกสรดอกไม้ ที่นั่นมีอาศิรวิษยืนรออยู่ก่อนแล้ว“ข้ารู้เจ้านางน้อยชอบที่นี่ เลยเก็บดอกไม้ที่เจ้าชอบมาด้วย” เขายื่นดอกบุษบันสีชมพูอ่อนให้ ฉันรับมันมาเงียบ ๆ หัวใจอบอุ่นโดยไม่ต้องมีคำใด พวกเรานั่งข้างกันใต้ร่มไม้“อาศิรวิษ…ท่านเคยรู้สึกไหม ว่าเราทั้งคู่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว”เขายิ้มอ่อนเมื่อฉันพูดจบ“เพราะเราเติบโตขึ้นพร้อมกัน…” อาศิรวิษเอ่ยขึ้น ฉันมองมือของเขาเงียบ ๆ วางไว้ใกล้มือของฉัน มือที่เคยปกป้อง เคยดึงฉันขึ้นจากความกลัว แล้วฉันก็วางมือลงไปบนมือนั้น...ด้วยความรู้สึกวูบไหว“ข้าไม่รู้ว่าความรัก
ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล
พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ