หน้าหลัก / แฟนตาซี / อาศิรวิษ / 3-เงื่อนงำและการชิงอำนาจ1/4

แชร์

3-เงื่อนงำและการชิงอำนาจ1/4

ผู้เขียน: พลอยแก้ว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-27 14:25:31

ค่ำคืนที่แสนสงบเหมือนใกล้จะจบลง เริ่มเข้าสู่วันใหม่การนอนหลับใหลในดินแดนห่างไกลทำให้ฉันฝันถึงคนที่บ้าน ป่านนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้าง ความง่วงที่มีมากไม่สามารถเปิดเปลือกตาขึ้นได้ รู้สึกตัวกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนมีอะไรก่อกวนการนอนของฉันจนเริ่มรู้สึกรำคาญ

“อื้อ” ฉันแค่นเสียงข่มและพลิกตัวหันไปอีกทาง

“อย่ากวนได้ไหม...ขอนอนต่ออีกหน่อย” การสะกิดแขนสร้างความรำคาญ จนฉันต้องดึงผ้าห่มมาคลุมโปง

“อื้อ กลีบบัว กาลัด...” ฉันเหมือนถูกถึงแขนให้นั่ง แต่เปลือกตาเจ้ากรรมก็ดันลืมไม่ขึ้น ส่งเสียงอื้ออึงอ้อนวอนแต่เหมือนว่าไม่เป็นผล ฉันคงต้องพยายามตื่นนอนแล้วจริง ๆ “อ๊ะ!”

(“เจ้านางน้อยเพคะ”)

ฉันยกแขนสองข้างขึ้นสูงเพื่อยืดเส้นยืนสาย แต่บิดไปบิดมากลับพลัดตกเตียงนอนเสียได้ จนก้นกระแทกกับพื้นแข็งร้องโอดโอย ความเจ็บทำเอาฉันตื่นตัวทันที มีเสียงของกาลัดและกลีบบัวร้องเรียกด้วยความตกใจ รีบประคองฉันลุกอย่างเร็วไวพาไปนั่งบนเตียง

“เป็นเช่นไรบ้างเพคะ” กาลัดถามฉัน

“เจ็บสิ อ้า!...แล้วทำไมต้องปลุกกันแต่เช้าด้วยล่ะ ฉันง่วง” ฉันพูดพร้อมกับเอามือลูบก้นไปด้วย

“เช้าเยี่ยงไรเจ้าคะ สายจนดวงตะวันแยงตาแล้ว รีบไปล้างพระพักตร์เถิดเพคะ เจ้านางน้อยจะต้องเข้าเฝ้าเจ้าหลวงที่ท้องพระโรงนะเพคะ”

“ฉันไม่อยากเฝ้า ทำไมต้องเฝ้าด้วยล่ะ ไม่เฝ้าได้ไหม”

“ไม่ได้เพคะ”

“บอกก็ได้ว่าฉันไม่สบาย นี่เพิ่งจะลุกได้เองนะ”

“เกรงว่าเจ้าหลวงจะไม่เชื่อกระมังเพคะ”

“หากเจ้านางน้อยไม่เข้าเฝ้าเกรงจะถูกตำหนิเอาไว้ ฝืนทนสักประเดี๋ยวเถิดเพคะ”

ฉันงอแงเพราะแค่เจอหน้าเมื่อวานก็นึกกลัวเจ้าหลวงแล้ว ส่งสายตาอ้อนวอนหวังให้กาลัดกับกลีบบัวใจอ่อน แต่ก็คงจะไม่เป็นผล ต้องยอมจำนนให้กาลัดกับกลีบบัวจัดการแต่งตัว ที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับแสนหนักอึ้ง จนเวลาผ่านไปนานพอสมควรเครื่องแต่งกายก็อยู่บนตัวของฉันจนครบ ความไม่ชินทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดมากเหลือเกิน

“ทำไมต้องใส่อะไรเยอะแยะแบบนี้ด้วยล่ะ” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ทรงฉลองพระองค์เช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรนะเพคะ” กลีบบัวพูดพร้อมกับจัดระเบียบเสื้อผ้าไปด้วย

“สงสัยอาการประชวรของเจ้านางน้อยยังมีอยู่กระมังกลีบบัว” กาลัดว่าขึ้น

“คงจะใช่” กลีบบัวก็หันไปเออออ ฉันก็ได้แต่ฟังทั้งสองคนพูดคุยกัน

“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องเดากันแล้ว ไหนล่ะท้องพระโรงที่พวกพี่สองคนว่าน่ะ”

((พี่!!!))

“ก็ใช่ไงทำไมต้องตกใจขนาดนั้น”

แล้วต้องปรามไว้เพราะต่อปากกันไปมาคงจะยาว แต่ก็ทำเอาฉันสะดุ้งตกใจเมื่อกลีบบัวและกาลัดพูดขึ้นพร้อมกันเสียงดัง

“ก็เจ้านางน้อยไม่เคย เอ่อ ไม่เรียกบ่าวว่าพี่สักครา” กลีบบัวบอก

“นี่เธอนิสัยเสียขนาดนั้นเหรอผณินทร” ฉันพูดในใจ “ทำให้ชินไว้เพราะต่อไปฉันจะเรียกอะไรก็ได้ตามที่อยากจะเรียก เข้าใจไหม?”

(เจ้าค่ะ) ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน จากนั้นก็นำทางฉันไปยังท้องพระโรง

ผู้คนมากมายที่นั่งอยู่ด้านในกับเครื่องแต่งกายที่แทบไม่ต่างกัน เหมือนว่าฉันตกเป็นเป้าสายตาของคนที่อยู่ก่อน นี่ฉันมาสายกว่าใครอย่างนั้นเหรอ กาลัดและกลีบบัวพาฉันไปนั่งยังเบื้องหน้า เหมือนกับว่าที่นั่งจัดไว้ตามลำดับเรียบร้อยแล้ว ผู้คนในที่นี้ฉันไม่รู้จักเลยสักคน แล้วจะต้องทำตัวหรือพูดคุยยังไงกันล่ะทีนี้

“ถวายบังคมเจ้าหลวงก่อนเถิดเพคะ”

“แล้วต้องทำยังไง?”

“ลืมหรือเพคะ”

“อืม”

กลีบบัวกระซิบเบา ๆ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเมื่อต้องเจอกับเจ้าหลวงในพิธีรีตองแบบนี้

“เจ้านางอัปสราเสด็จพอดี เจ้านางน้อยทำตามนะเพคะ”

“อืม”

กลีบบัวมองเห็นคนมาใหม่ที่กำลังย่างกรายผ่านผู้คนเข้ามา ท่วงท่าสง่างามอย่างกับนางพญา ฉันมองดูไม่วางตาเธอสวยราวกับนางฟ้าก็ไม่ปาน แต่มองอีกทีเธอคนนั้นดูหยิ่งยะโสเหลือเกิน เธอมองมาทางฉันด้วยสายตาแข็งกร้าว ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อฉันอย่างนั้นแหละ

“ลูกขอถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ” อัปสราทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะไปนั่งที่อีกฝั่ง ตำแหน่งเดียวกับฉัน เห็นเธอทำแบบนั้นฉันจึงทำตาม แล้วรีบไปนั่งที่ตามที่กลีบบัวบอก

“ทำไมเธอดูน่ากลัวจังล่ะ เป็นใครเหรอ?” ฉันโน้มไปกระซิบถามกาลัด

“พระธิดาในพระสนมผศิกาเพคะ” กาลัดบอก ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เป็นพระสนมหรือเรียกง่าย ๆ ตามที่ฉันเข้าใจ ก็คงเป็นเมียน้อยของเจ้าหลวงนั่นแหละ

“อ้อ”

“อยู่ห่างไว้เป็นดีนะเพคะ” กลีบบัวกระซิบบอกอยู่ด้านหลัง

“เข้าใจแล้วจ้ะ”

พิธีการเข้าเฝ้าเริ่มขึ้น เหล่าขุนนางต่าง ๆ เริ่มทำการรายงานแก้เจ้าหลวง ฉันที่ไม่รู้ว่ามาทำอะไรก็ได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ จนตอนนี้เริ่มจะเบื่อหน่ายเต็มทน ฟังเรื่องราวที่ทุกคนรายงานฉันก็ได้แต่อ้าปากหาว ฟังไม่ค่อยเข้าใจ ตอนนี้เหมือนกับว่าเปลือกตาจะปิดลงให้ได้ จำต้องฟืนบ้างก็ตบหน้าตัวเองเบา ๆ ให้รู้สึกตัว ฉันเริ่มจะไม่ไหวแล้ว จนตอนนี้ลำดับมาถึงฝ่ายองครักษ์ที่ต้องรายงาน ดวงตาของฉันเปิดทันที ฉันมองไปตรงหน้าเห็นเธอคนนั้นที่ชื่ออัปสรา มองไปที่อาศิรวิษแล้วอมยิ้ม จากท่าทางเธอคงจะแอบชอบเขาแน่ ๆ

“ไม่เก็บอาการเลยสักนิด” ฉันก้มหน้าพูดเบา ๆ

“เจ้านางน้อยตรัสว่ากระไรนะเพคะ” กลีบบัวถาม นั่นคงเพราะเธอคงได้ยินเบา ๆ ไม่ชัดเจน

“เปล่า ๆ แค่เบื่อน่ะ ดูแล้วไม่มีอะไรที่ฉันเข้าใจหรือเกี่ยวกับฉันสักนิด” ฉันพูดเบา ๆ เพียงได้ยินกับสามคน สถานการณ์ตอนนี้ฉันแทบอยากจะลุกหนีออกไปให้ไกล “เฮ้อ”

“ถวายบังคมเจ้าหลวงพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษพูดขึ้น ฉันก็ได้แต่นั่งเอียงคอมองด้วยความเบื่อหน่าย วิงวอนให้เช้านี้รีบจบลงเร็ว ๆ สักที

“ว่าเยี่ยงไรอาศิรวิษ”

“กระหม่อมรายงานสถานการณ์ในราตรีที่ผ่านมา เวนไตยได้รุกล้ำเขตพระราชถานของเจ้านางน้อยผณินทร ดีที่กระหม่อมพบเข้าจึงเกิดการปะทะเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษรายงาน และนั่นทำเอาฉันรีบเหยียดตัวนั่งตรง เมื่อทุกสายตามองมาที่ฉันเป็นสายตาเดียว เริ่มกระอักกระอวลประหม่าแล้วสิ

“จริงรึเจ้านางน้อย แล้วได้รับบาดเจ็บหรือไม่” เจ้าหลวงหันมาถามฉันด้วยน้ำเสียงติดพะวงคงจะเพราะห่วงลูกสาวที่ไม่ใช่ลูกสาวตัวจริงแบบฉันแหละมั้ง

“อะ เอ่อ มะ ไม่เป็นอะไร ยังสบายดีไม่มีบาดแผลเพคะ” ฉันตอบด้วยความประหม่า เพราะไม่รู้การพูดจาของคนที่นี่ต้องเป็นแบบไหน แต่ก็พยายามที่จะไม่หลุดพิรุธ

“โชคดีที่มีอาศิรวิษช่วยเจ้าไว้ได้ทัน” เจ้าหลวงว่าขึ้น

“ค่ะ”

“แล้วอาการป่วยของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” เจ้าหลวงถามฉันอีกครั้ง

“หายดีแล้วค่ะ...เพคะ”

สายตาที่จับจ้องมาทางฉันดูน่ากลัวเหลือเกิน นี่ฉันกำลังเผชิญอยู่กับอะไรกันแน่ก็ไม่รู้ ทุกคู่สายตาฝั่งตรงข้ามเหมือนกับอาฆาตแค้นฉันมาแต่ชาติปางก่อน

“เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้”

เป็นคำกล่าวที่ทำเอาฉันดีใจสุด ๆ ฉันรอเวลานี้มานาน และการมานั่งหายใจทิ้งท่ามกลางสายตาพิฆาตแบบนี้ก็ขนลุกขนพองเหลือเกิน ทุกคนกราบลาเจ้าหลวงแล้วทยอยกันออกจากโถงนี้ไป รวมทั้งฉันที่ตอนนี้กำลังเดินออกมา แต่ว่าได้ยินเสียงเรียกรั้งอีกคนไว้ ฉันกับสองสาวก็เลยรีบสาวเท้าเดินออกมา

“อาศิรวิษอยู่ก่อน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“จะคุยเรื่องอะไรกันนะ ทำไมถึงได้ดูมีความลับ หรือว่านายนั่นจะฟ้องเจ้าหลวงเรื่องเมื่อคืนแล้วหาวิธีลงโทษเรา” ฉันพลางคิดในใจขณะกำลังก้าวขาพ้นธรณีประตูห้องโถง แต่...

(“น่าจะจมน้ำตายเสียให้สิ้น”)

เสียงพูดที่ดังขึ้นทำให้ฉันต้องหยุดเดินแล้วหันไปมอง พบเจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงที่ชื่ออัปสรา พร้อมกับสีหน้าแสนหาเรื่อง เรื่องการจมน้ำของผณินทรต้องไม่ใช่การจมน้ำธรรมดาแน่ ๆ และความรู้สึกของฉันบอกว่าอัปสราน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะจากที่ฉันมองตอนนี้หน้าเธอไม่เป็นมิตรเอาซะเลย และเหมือนจะเกลียดชังผณินทรด้วยซ้ำ

“พูดกับใครเหรอ?” ฉันแสร้งตีหน้าไม่รู้สึกสะท้านกับคำพูดลอย ๆ ของเธอ

“แล้วเห็นมีคนอื่นอีกหรือไม่” อัปสรายังคงเชิดหน้าว่าต่อ

“มีไง กลีบบัว กาลัด แล้วก็อีกสองสาวที่ยืนข้างหลังเธอ...ทำแปลกอย่างกับไม่มีตามอง” ฉันตอบโต้

“นี่!!!” อัปสราชี้หน้าว่ากระแทกเสียงดัง สีหน้ามีความโกรธอย่างเจ็บใจ ปากก็ขยับแต่ดันพูดอะไรไม่ออก

“มานงมานี่อะไร จะพูดอะไรก็รีบพูดซะสิ เสียเวลากับเธอมามากพอแล้วนะ ถ้าไม่มีอะไรจะพูดฉันจะกลับ” พูดจบฉันก็เดินหนี เพราะอัปสรายังไม่มีทีท่าจะพูดอะไรต่อ นอกจากดวงตาที่ดูแข็งกร้าวราวกับจะกินเลือดเนื้อของฉัน

“คิดว่าท่านพี่อาศิรวิษโปรดปรานหรือไง ถึงได้ผยองพองขนนัก” ก้าวมาเดินไม่ถึงสามก้าว เสียงพูดเย้ยหยันก็ดังตามหลัง จนฉันต้องหันกลับมาประจันหน้าอีกครั้ง

“แล้วอาศิรวิษเกี่ยวอะไรกันไม่ทราบ” ฉันถามเธอกลับ

“เมื่อคืนคงรู้แก่ใจ จึงแสร้งทำเป็นเรียกร้องวิ่งเข้าวงล้อมการต่อสู้ แท้จริงแล้วคงอยากจะเรียกร้องความสนใจให้ท่านพี่อาศิรวิษใกล้ชิด คงคิดจะยั่วยวนด้วยใบหน้านี้เป็นแน่” อัปสราพูดจาถากถาง เธอคงจะแอบชอบอาศิรวิษหนักมากแน่ ๆ ฉันว่าฉันเดาไม่ผิดหรอก

“ดูละครมากไปปะ คิดได้เนอะ อ๋อ...หรือว่าเธออิจฉาฉันใช่ไหม?”

“มีสิ่งใดให้น่าอิจฉากัน”

“เหอะ ท่าทางไม่อิจฉาเป็นแบบเธอนี่เหรอ...ตลก”

ฉันกลอกสายตามองบนแล้วพูดย้อนเธอ คำพูดคำจาของอัปสรานี่อย่างกับตัวอิจฉาในละครน้ำเน่าชัด ๆ ฉันฟังแล้วก็นึกรำคาญ จึงตอบกลับด้วยคำถามจี้ใจคนฟัง แต่เธอก็รีบแก้ต่างให้ตัวเอง ทั้งที่พฤติกรรมแสนจะย้อนแย้ง

“คำพูดคำจากระไรของเจ้านางน้อย ฟังแล้วแปลกนัก”

“คนฉลาดเท่านั้นที่จะฟังรู้เรื่อง จบนะ! เรากลับกันเถอะกาลัด กลีบบัว มัวเสียเวลาทำมาหากินอยู่กับคนไร้สาระเลย” พูดจบอย่างตัดบท ฉันก็เดินหนีออกมาเลย เพราะหากยืนอยู่ต่อมีหวังได้ปะทะกับยัยนี่แน่ ๆ

“เจ้านางน้อยไม่น่าจะตอบโต้เจ้านางอัปสราเลยเจ้าค่ะ” กลีบบัวพูดขึ้นหลังจากที่เดินห่างออกมา ใช่ว่าฉันอยากจะคุยด้วยซะที่ไหนล่ะ เธอมาหาเรื่องฉันก่อนต่างหาก

“อัปสรานั่นมาแขวะฉันก่อน”

“พระองค์ก็น่าจะนิ่ง ไม่สนใจ”

“ยัยนั่นหลอกด่าฉันว่าหน้าไม่อายเลยนะ ใครจะยอมให้ด่าฟรีล่ะ”

“นิ่งให้เป็นเย็นให้ได้เพคะ”

“สู้มาสู้กลับ ใครกลัวกัน”

“เพคะ เพคะ”

ฉันกับสองสาวคนสนิทเดินคุยกันมาเรื่อย ๆ ตลอดทาง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ฉันนิ่งทั้งที่ถูกว่าร้าย หรือนี่จะเป็นนิสัยเดิมของผณินทร เรียบร้อยขนาดนั้นเชียว เรื่องการจมน้ำของผณินทรฉันต้องสืบจนรู้ให้ได้ มันไม่ปกติ!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อาศิรวิษ   จบ-เสียงกระซิบจากห้วงนาคา 2

    -ปัจจุบัน- ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบไปสิบแปดวันเลยนะคะ แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”แม่ถามย้ำท่านคงเป็นห่วง นี่ฉันนอนหลับไปสองอาทิตย์กว่าเลยงั้นเหรอ?“คนไข้ไม่เป็นอะ

  • อาศิรวิษ   เสียงกระซิบจากเงาห้วงนาคา

    ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด2

    “ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด

    ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ​ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้​ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ​"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า​"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่

  • อาศิรวิษ   12-เงารักในภพชาติ

    คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได

  • อาศิรวิษ   11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า2

    หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status