Home / แฟนตาซี / อาศิรวิษ / 14-เสียงกระซิบจากห้วงนาคา 2

Share

14-เสียงกระซิบจากห้วงนาคา 2

last update Last Updated: 2025-05-15 10:54:56

-ปัจจุบัน-

 ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย

“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจ

ฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ

“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”

“ครับพ่อ”

พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ

“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น

“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบไปสิบแปดวันเลยนะคะ แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”

แม่ถามย้ำท่านคงเป็นห่วง นี่ฉันนอนหลับไปสองอาทิตย์กว่าเลยงั้นเหรอ?

“คนไข้ไม่เป็นอะไรมากครับ ร่างกายอ่อนเพลียเท่านั้น จากนี้ไปเลี่ยงจากความเครียดหรือการทำงานหนัก ร่างกายก็จะค่อยดีขึ้นตามลำดับ” หมออธิบายต่อ

“ขอบคุณครับหมอ” พ่อพูดต่อ

“ผมขอตัวไปดูคนไข้ต่อก่อนนะครับ” จากนั้นหมอก็เดินออกไปพร้อมพยาบาล

“ณินหิวไหมลูก” แม่ถามด้วยสีหน้ากังวล

“ม แม่” ฉันพยายามขยับปากพูด แต่เสียงที่เปล่งออกมาแสนจะเบาหวิว

“น้องหิวน้ำใช่ไหม?” พี่ชายของฉันถามอีกครั้ง ฉันจึงพยักหน้าตอบรับ

“เฮ้อ โล่งอกไปทีณินปลอดภัย คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะลูก” ฉันเห็นแม่พูดออกมาพร้อมกับยกมือไหว้ท่วมหัว การหลับใหลที่แสนยาวนานของฉันคงสร้างความกังวลให้กับคนในครอบครัวมากสินะ

“ณินไม่เป็นไร” ฉันขยับปากพูดแม้เสียงจะเบา แต่ก็คงพอจะได้ยิน ฉันไม่อยากให้ใครเป็นห่วง และตอนนี้ฉันก็ลืมตา จดจำทุกสิ่ง ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้

“ทุกคนเป็นห่วงแทบแย่ ขวัญเอ๊ยขวัญมานะน้องสาวพี่” พี่น้ำยกมือลูบหัวของฉันเบา ๆ ฉันจ้องมองหน้าพี่ชายที่ใบหน้าเหมือนกับตรีภพในฝัน ดั่งกับเขาคือคนเดียวกัน ทั้งนิสัยและหน้าตา

“ออกจากโรงพยาบาลแม่จะต้องพาไปทำบุญสักหน่อยแล้ว”

แม่บอกฉันก็ได้แต่พยักหน้าตาม และอีกอย่างฉันก็อยากจะทำบุญให้กับทุกคนในภาพฝัน

วันนี้ฉันได้ออกจากโรงพยาบาล แม่กับพ่อและพี่น้ำก็พาฉันมุ่งไปทำบุญทันทีตามที่แม่เคยพูดไว้ ฉันนั่งอยู่เบาะหลังมองออกไปยังนอกรถ พร้อมกับคิดทบทวนเรื่องราวในฝันอันแสนยาวนานตั้งแต่ต้นจนจบ ภาพฝันที่เหมือนกับความจริง สิ่งต่าง ๆ มากมายล้วนเกิดขึ้นจนฉันจำติดตา ทุกเหตุการณ์ฝังอยู่ในสมองจนฉันยากที่จะลืม

“ตอนนี้พวกคุณจะอยู่ที่ไหนกันนะ อาศิรวิษ ท่านพี่ตรีภพ กลีบบัว กาลัด” ฉันพูดอยู่ในใจเป็นชื่อของคนที่คอยดูแลฉันในภาพฝัน พวกเขาล้วนคอยปกป้องฉัน  เรื่องนี้ฉันยังไม่ได้เล่าให้แม่ฟัง เพราะหากเล่าไปใครจะเชื่อ มันไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ดีไม่ดีพวกเขาอาจจะหาว่าฉันหลับนานจนเป็นบ้า

“ถึงแล้วลูก ตาน้ำไปประคองน้องหน่อย”

“ณินเดินเองได้ค่ะ”

“แน่ใจนะลูก”

“ค่ะ ณินโอเคมาก ๆ”

แม่บอกและพี่น้ำก็เดินมาหา ฉันจึงรีบปฏิเสธไปไม่อยากจะเป็นภาระของใคร เพราะร่างกายของฉันมันก็ปกติดี

“เราเข้าไปข้างในกันเถอะ” แม่เอ่ยชวน

ฉันมองโดยรอบวัดแห่งนี้ ความรู้สึกคุ้นเคยมาก เหมือนกับว่าฉันเคยมาที่นี่ แม้ภาพสถานที่โดยรอบจะดูทันสมัยและแข็งแรง แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน

“แม่เคยพาณินมาที่นี่หรือเปล่าคะ?” ฉันถามแม่

“จะเคยมาได้ยังไงล่ะลูก ขนาดแม่ยังเพิ่งเคยมาครั้งแรกเลย มาเพราะเห็นเขาโพสต์ในเฟซบุ๊ก แม่เลยอยากจะพาทุกคนมา” แม่บอกฉัน

“เหมือนณินเคยมาที่นี่เลยค่ะ”

“หลับนานแล้วเพ้อเจ้อนะเราอะ”

ฉันบอกแม่ตามที่รู้สึกจริง ๆ แต่แม่ก็ยิ้มและส่ายหัว แล้วว่าฉันเล็กน้อย ฉันไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่แม่ตำหนิ ยังคงมองและพยายามนึกว่าฉันเคยมาที่นี่ตอนไหน

“เข้าไปทำบุญข้างในกันเถอะลูก...ไปยัยณินมัวแต่มองอะไรอยู่”

“ค่ะ”

แม่เรียกฉันจึงเดินตามไป แม้จะยังข้องใจและหวนคิดในหัวว่าเคยมาที่นี่หรือเปล่า ฉันไม่สามารถสลัดความข้องใจนี้ออกจากหัวได้เลย ซึ่งไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

ทุกคนเข้ามาทำบุญถวายผ้าไตรและสังฆทานอื่น ๆ หลวงตารูปหนึ่งที่นั่งสมาธิอยู่ลืมตา แล้วมองมายังพวกเราที่กำลังคลานเข่าเข้าไปหา เพื่อที่จะถวายสังฆทานและผ้าไตร

“มากันแล้ว ถึงเวลามาก็ต้องมา” หลวงตาพูดขึ้นแล้วมองมาทางฉัน ทุกคนมีสีหน้างงและมองมาทางฉันเป็นสายตาเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ” แม่พูดและพวกเราก็ก้มกราบหลวงตาสามครั้ง

หลังจากประโยคนี้หลวงตาก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก พวกเราก็สวดมนต์และทำบุญถวายชุดสังฆทานกันจนเสร็จ วัดแห่งนี้มีสถานที่กว้างขวาง และมีห้องแสดงภาพปติมากรรม วรรณกรรมโบราณ รวมถึงภาพวาดโบราณต่าง ๆ ให้ได้ชม หลวงตาบอกพวกเราแบบนั้น ทำให้พวกเราต้องเข้าไปเยี่ยมชม

ฉันเดินมองภาพวาดไปเรื่อย ๆ เพียงลำพัง มันสวยงามและดูมีมนต์ขลัง ต่างคนก็ต่างเดินชมตามที่ตัวเองพอใจ แต่ฉันต้องมาสะดุดสายตากับภาพหนึ่ง ใบหน้าคนในภาพวาดที่ฉันเห็นเพียงสายตาเดียวก็จำได้ว่าคือใคร...เขาคือคนที่ฉันจากมาด้วยความรัก

เพียงเห็นน้ำตาของฉันก็ไหลออกมาอย่างหักห้ามไม่ได้ จะร้องไห้ออกมาก็กลัวว่าพ่อกับแม่และพี่ชายจะได้ยิน ได้แต่ยืนสะอื้นน้ำตาไหลรินมือปิดปากกลั้นเสียงเอาไว้ ยิ่งมองภาพและนึกถึงเหตุการณ์ยิ่งสร้างความเจ็บขั้วหัวใจให้ฉัน

“ฉันขอโทษที่ทิ้งให้ท่านต้องอยู่โดดเดี่ยวและเผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง อาศิรวิษ

น้ำตาของฉันไหลออกมาไม่ขาดสาย ใบหน้าที่ฉันคุ้นเคยและได้สัมผัสอยู่บ่อยครั้ง ความรักที่ฉันมีให้เขาไม่สามารถยืนยาว สุดท้ายเราสองคนก็พรากจากกันอย่างไม่มีวันได้หวนกลับคืน ฉันลูบภาพใบหน้านั้นด้วยความเสียใจ ท้ายที่สุดก็ร้องไห้ตัวโยน แต่จะทำอย่างไรเมื่อชะตาลิขิตมาแบบนี้ทำให้ฉันกับเขาจากลาตลอดกาล...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อาศิรวิษ   14-เสียงกระซิบจากห้วงนาคา 2

    -ปัจจุบัน-ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบ

  • อาศิรวิษ   เสียงกระซิบจากเงาห้วงนาคา

    ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด2

    “ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด

    ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ​ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้​ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ​"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า​"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่

  • อาศิรวิษ   12-เงารักในภพชาติ

    คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได

  • อาศิรวิษ   11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า2

    หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”

  • อาศิรวิษ   11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า

    เวลาผ่านไปหลายวันหลังจากพวกเรากลับมาจากการเดินทางอันยาวไกล มคธนครเริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง แต่หัวใจของฉันกลับค่อย ๆ ก่อเกิดบางอย่างใหม่ในความเงียบ...ความรู้สึกอ่อนโยน ความอบอุ่นค่อย ๆ แทรกเข้ามาจากอาศิรวิษ เขาไม่เคยพูดคำว่ารัก ไม่เคยขออะไรจากฉัน แต่เขาอยู่ตรงนั้นเสมอ แม้ยามฉันเงียบ แม้ยามฉันหวั่นไหว เขาก็ยังอยู่วันนี้ฉันเดินไปยังสวนบุษบันอันสงบ ท่ามกลางเสียงของสายน้ำและกลิ่นหอมจาง ๆ ของเกสรดอกไม้ ที่นั่นมีอาศิรวิษยืนรออยู่ก่อนแล้ว“ข้ารู้เจ้านางน้อยชอบที่นี่ เลยเก็บดอกไม้ที่เจ้าชอบมาด้วย” เขายื่นดอกบุษบันสีชมพูอ่อนให้ ฉันรับมันมาเงียบ ๆ หัวใจอบอุ่นโดยไม่ต้องมีคำใด พวกเรานั่งข้างกันใต้ร่มไม้“อาศิรวิษ…ท่านเคยรู้สึกไหม ว่าเราทั้งคู่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว”เขายิ้มอ่อนเมื่อฉันพูดจบ“เพราะเราเติบโตขึ้นพร้อมกัน…” อาศิรวิษเอ่ยขึ้น ฉันมองมือของเขาเงียบ ๆ วางไว้ใกล้มือของฉัน มือที่เคยปกป้อง เคยดึงฉันขึ้นจากความกลัว แล้วฉันก็วางมือลงไปบนมือนั้น...ด้วยความรู้สึกวูบไหว“ข้าไม่รู้ว่าความรัก

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก 3

    ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล

  • อาศิรวิษ   10-เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

    พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status