หลายพันปีก่อน เอกวรา นาคินีแห่งรัก ผู้เป็นที่รักยิ่งของเหล่านาค แต่หัวใจของเธอกลับมิได้อยู่ในวิมานบาดาล เธอตกหลุมรัก อริยะ พญาครุฑหนุ่มผู้กล้าหาญ ผู้ขึ้นสู้กับทวยเทพเพื่อขอความยุติธรรมให้เหล่าสัตว์ครึ่งอสูร ความรักของทั้งคู่ต้องห้ามเด็ดขาด แต่เอกวรายอมเสียทุกสิ่ง แม้กระทั่งบัลลังก์สูงสุด
เพื่อใช้ชีวิตกับอริยะในดินแดนลับแล ไม่นานเอกวราก็ให้กำเนิด เวนไตย ทารกผู้มีปีกทองแดงเหมือนครุฑ แต่ดวงตาสีแดงเรืองแสงเหมือนพญานาคทว่า...พลังที่เวนไตยถือกำเนิดมานั้น คือพลังของครุฑพันคำสาป การรวมคำสาปจากสองภพ คำสาปแห่งการหวงแหนและคำสาปแห่งการพลัดพราก
“ข้าไม่อาจควบคุมเขาได้...เวนไตยเติบโตมาพร้อมความแค้น และอำนาจที่แม้แต่ข้าก็เกรงกลัว”
เอกวราจึงตัดสินใจ ผนึกวิญญาณตนเองไว้ใน ดาบบุษบง เพื่อเป็นดาบที่สามารถหยุดเวนไตยได้ แต่แลกกับการที่ลูกอีกคนหนึ่ง...ต้องแบกภาระอันโหดร้ายนี้ไว้
“ตรีภพ...เจ้าคือผู้สืบสายเลือดของข้า ลูกแห่งความรัก และเจ้าจะต้องเลือกระหว่างคำสาบานหรือความรัก”
//ปัจจุบัน//
ตรีภพลืมตาขึ้น ท่ามกลางเศษหินซากหักพังและรอยเลือดของการต่อสู้ ฉันกำลังคุกเข่าอยู่ข้างเขา และอาศิรวิษยืนขวางหน้า ทั้งที่ร่างเต็มไปด้วยแผล เวนไตยลอยอยู่เหนือพวกเราด้วยใบหน้าเย้ยหยัน แต่มีร่องรอยสะเทือนใจในดวงตา
“แม่ของข้าเลือกจะผนึกตนในดาบเพื่อปกป้องเจ้า? ข้าคือคำสาปแต่เจ้าคือคำอธิษฐาน...ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำลายทั้งสองอย่างพร้อมกัน!”
เสียงแตรศึกจากโลกเบื้องบนดังแว่วมา ขณะที่เวนไตย กางปีกครุฑมหึมา บินทะลุม่านเมฆลงมาเหนือป้อมผาแดง รัศมีสีทองคล้ำแผ่ซ่านพร้อมสายฟ้าแลบผ่านฟากฟ้า เขาไม่ได้มาต่อสู้เพียงเพื่อความแค้น เขามาเพื่อทำลายคำทำนาย ที่พันธนาตนไว้ตั้งแต่เกิด!
“ชะตาที่ผูกข้าไว้กับดาบนั่น จะไม่มีวันเป็นจริง!! ข้าจะฉีกมันด้วยมือของข้าเอง!!”
คำพูดนั้นของเวนไตยทำให้ฉันรู้สึกขนลุก เขาน่ากลัวยิ่งกว่ายมทูตเสียอีก
ตรีภพยืนนิ่งกลางลานประลอง มือกำด้ามดาบบุษบงที่เรืองแสงด้วยพลังนาคินีเอกวรา ฉันยืนอยู่ด้านหลังของเขา ที่บัดนี้พลังแห่ง ปราณเนื้อแท้ของอสรพิษบรรพกาล ได้ตื่นขึ้นเต็มตัว! และอาศิรวิษในสภาพร่างกายเจ็บหนัก ยืนอยู่ด้านหน้า กางหัตถ์พญานาคสีทองไว้ป้องกันพวกเรา
“เราต้องหยุดเวนไตยให้ได้ ก่อนที่เขาจะทำลายดินแดนแห่งนี้” ฉันกระซิบ
“ข้าไม่ยอมให้ท่านต้องสู้เพียงลำพัง...ข้าขอสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านจนลมหายใจสุดท้าย” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำ แต่หนักแน่น
อาศิรวิษเข้าสู้กับเวนไตย เขาใช้ปราณสังวรนาคาธิคุณ สร้างเกล็ดนาคาปกป้องทั่วร่าง งูสีดำทองยักษ์โผล่จากเงา สาดพิษใส่เวนไตย แต่เวนไตยหัวเราะเยาะก่อนจะ ฟาดหางครุฑเพลิง ฉีกแผ่นฟ้าฉีกเส้นภูผา!!
ฉันกับตรีภพจึงรีบรวมพลังกัน ฉันร่ายมหามนตราแห่งพญานาคี เปิดวงแหวนพลังใต้พื้นดิน ดึงพลังจากบรรพกาล ตรีภพกระชับดาบบุษบง ก่อนจะตะโกนเสียงดังก้อง
“ข้าขอสาบานต่อฟ้า...ข้าไม่ใช่ผู้แบกคำสาป แต่ข้าคือผู้หยุดมัน!”
เมื่อพลังของฉันแทรกเข้าสู่กลางอกของเวนไตย...สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น...ภาพอดีตของเวนไตย ตอนที่เขายังเป็นเด็กหยิบดอกไม้ให้นาคินีเอกวรา สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความหวัง
“ลูกของแม่...แม้เจ้าจะเกิดจากคำสาป แต่เจ้าไม่ได้ไร้รัก”
เวนไตยทรุดลง พลังอำมหิตเริ่มปริแตกออกเป็นเสี้ยวแสง
และน้ำตาหยดแรก ร่วงจากดวงตาเขา ตรีภพก้าวเข้าไปใกล้ ดาบในมือ...ไม่ได้ถูกยกขึ้นเพื่อทำลาย แต่เพื่อแตะไหล่เวนไตยอย่างอภัย“พอเถอะ...เวนไตย เจ้าไม่ต้องแบกมันคนเดียวอีกแล้ว”
อาศิรวิษเข้ามาประคองฉันไว้ข้างกาย รอยยิ้มเจือจางปรากฏกลางรอยเลือดและซากศึก ท่ามกลางเสียงลมหายใจของโลกที่กลับมาสงบอีกครั้ง
เวนไตยเลือกที่จะจารึกดวงจิตไว้ในผนึก เพื่อชำระคำสาปและเฝ้ามองโลกอย่างเงียบงัน ฉันกับอาศิรวิษจับมือกันแน่น พร้อมรอยยิ้มเศร้าแต่สงบ ส่วนตรีภพแม้จะเจ็บหนักไม่ต่างจากอาศิรวิษ แต่ยืนอยู่ข้างพวกเราเสมอ ด้วยสายตาที่บอกทุกอย่างโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด…และฉันก็สัมผัสได้ว่าตรีภพรู้สึกยังไงกับฉัน
ท้องฟ้าเหนือเทือกเขากลับมาสว่างอีกครั้ง ม่านเมฆสงบลงราวกับผ่านพ้นพายุพันปี แต่แม้สงครามจะสิ้นสุด เสียงในใจหลายคน...ยังไม่สงบ
ฉันนั่งอยู่ริมธารศักดิ์สิทธิ์แห่งคีรีพรหม สายน้ำสีเงินไหลผ่านเบา ๆ พร้อมกลิ่นหอมของดอกไม้ ผืนฟ้าเงียบกริบแต่หัวใจกลับดังก้อง
“อาศิรวิษทำไมท่านถึงยังมองแบบนั้น” เขานั่งเงียบ ๆ ข้างฉัน ร่างกายยังมีผ้าพันแผลหลายจุด แต่ดวงตาสีทองนวลกลับแจ่มกระจ่างเหมือนเคย
“เพราะกระหม่อมอยากจำดวงตาเจ้านางน้อยตอนที่ไม่มีน้ำตาไว้ให้นานที่สุด” เขาเอ่ยเบา ๆ ไม่สบตาฉัน แต่คำพูดนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นโครมจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก
ฉันหันหน้ามองทางอื่น บังเอิญเห็นตรีภพพักอยู่ที่ศาลาหลังหนึ่ง นาคารักษ์ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่เขาเอาแต่มองออกไปด้านนอก ความบังเอิญทำให้ฉันสบตากับเขาชั่วครู่ มือเขากำด้ามดาบบุษบงแน่น แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธ...
เพราะหัวใจที่เขามอบให้ฉัน ไม่สามารถย้อนกลับได้อีกแล้ว ฉันสัมผัสได้ว่าเป็นความรู้สึกนั้นคืนเดียวกันกลางผืนป่าศักดิ์สิทธิ์ ผนึกที่จารึกดวงจิตของเวนไตย เริ่มมีเสี้ยวแสงสั่นไหว เสียงกระซิบเบา ๆ ดังขึ้นในความมืด
“เจ้าอภัยให้ข้า...แต่โลกนี้ยังไม่อภัยให้ข้าและสิ่งที่เฝ้ามองข้ามาตลอดพันปีมันกำลังตื่น” เศษพลังที่หลงเหลือในร่างเวนไตย เริ่มรั่วไหลออกจากผนึกและในเงามืด…เงาร่างหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏชื่อในตำนานกำลังเปิดตาขึ้น
นี่คือสัญญาณที่เศษพลังสุดท้ายของเวนไตยเตือนพวกเรา ฉันไม่รู้หรอกว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้าในเมื่อทุกอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็จำเป็นต้องเผชิญและพร้อมรับมือ
ฉันหันไปมองอาศิรวิษ เขามองฟ้าแล้วพูดขึ้นเบา ๆ
“ท่านรู้หรือไม่... กระหม่อมเฝ้ามองท่านมาตลอดนับแต่ก้าวขาเข้ามาในมคธนคร กระหม่อมเคยคิดว่าตัวกระหม่อมไม่มีสิทธิ์จะรักใคร เพราะเกิดมาเพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อหวังให้ใครหันกลับมามอง”
ฉันหลับตาแน่น หัวใจเต้นเร็วเหมือนเสียงฆ้องศึก
“แล้วตอนนี้ล่ะ…”
“ถ้าข้ากำลังมองท่านอยู่…ท่านจะยอมรับไหม?”อาศิรวิษเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะมือฉันเบา ๆ มือของเขาอบอุ่น แม้จะมีผ้าพันบาดแผลกั้นไว้ ฉันก็สัมผัสถึงไออุ่นนั้นได้
“ถ้าท่านมอง…ข้าจะไม่มีวันละสายตาไปไหนอีก”
และท่ามกลางเงาไม้และสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ หัวใจสองดวงค่อย ๆ ประสานกันเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีคำว่ารักหลุดจากริมฝีปาก แต่ทุกสัมผัส ทุกแววตา…มันพูดแทนทั้งหมดแล้ว
ลมเย็นพัดแผ่วผ่านลานศิลาใต้แสงจันทร์ ฉันเดินเคียงข้างอาศิรวิษ บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด แสงไฟวาวจากโคมนาคายามค่ำ ค่อย ๆ ส่องสะท้อนระยิบบนพื้นน้ำ เขายังคงเดินอย่างเงียบขรึมตามแบบของเขา แต่ฉันจับได้ว่าทุกครั้งที่ฉันชะงักฝีเท้า...เขาจะหยุดก่อนฉันเสี้ยววินาทีเสมอ“อาศิรวิษ” ฉันเอ่ยเบา ๆ “ท่านเคยกลัวบ้างไหม ว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด”เขาหยุดเดิน แล้วหันมามอง ดวงตาสีทองนวลวาวใต้แสงจันทร์“เคย...กระหม่อมเคยกลัวจะสูญเสียท่านทั้งที่ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือใคร” คำพูดนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้ม“แล้วตอนนี้ล่ะยังกลัวอยู่ไหม?”“ไม่แล้ว” เขาตอบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่มือฉัน“เพราะกระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเจ้านางน้อยไปไหนอีก”“อยู่กันแค่สองคน เราเคยคุยกันแล้วว่าจะไม่พูดคำเป็นทางการไง”“...”“แต่ช่างเถอะอยากพูดยังไงก็พูด ข้าเคยคิดว่าท่านเย็นชาแต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...ท่านแค่ไม่เคยมีใครให้เปิดหัวใจ”เขายิ้มเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ“และพี่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครอยากเปิดหัวใจให้เช่นกัน” มืออุ่นของเขาจับมือฉันไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวจะหลุดจากกัน...แต่เพราะอยากจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดแต่ในขณะเดียวกัน พญาน
พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ
ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล
เรื่องเล่าที่ชาวบ้านกล่าวขานกันมาปากต่อปาก เกล็ดแห่งนาคา ที่ผู้คนต้องการครอบครองเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร์กาล เชื่อกันว่าเกล็ดพญานาคหากได้ผสมน้ำดื่มกินคนผู้นั้นจะมีชีวิตอมตะ ฉันได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนปัจจุบันเรื่องเล่านี้ก็ยังถูกพูดถึง มันคือสิ่งที่มนุษย์กิเลสหนาอยากได้ไว้เคียงกาย ด้วยอำนาจและอิทธิฤทธิ์ประหนึ่งเทวาสถิต เสริมให้ผู้ที่ได้ครอบครองอยู่เหนือสุดของมนุษย์ทั้งปวง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่อีกอย่างที่ฉันเคยได้ยินมาเช่นกันร่างตัวแทนแห่งนาคาที่แอบซ่อนในกายหยาบของมนุษย์ แต่คนผู้นั้นคือใครกัน? มีจริงเหมือนที่คนเฒ่าโบราณลือกันจริงหรือ?...ฉันก็ได้แต่ฟังเพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้หลบหลู่แต่อย่างใด"นั่นสินะ ในโลกนี้ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป เฮ้อ~~ แต่ฉันก็อยากให้โลกใบนี้มีแต่คนดีละนะ""บ่นอะไรของแกยัยณิน อะนี่น้ำที่แกฝากซื้อ""ขอบใจจ้าเพื่อนคนสวย...ไม่ได้บ่นอะไรหรอก อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดเฉย ๆ น่ะ""อ่านเรื่องอะไรอะ""อาศิรวิษ""เออชื่อเรื่องแปลกแต่น่าสนใจดี ขอยืมอ่านบ้างดิ""ได้...แต่แกต้องทะนุถนอมหนังสือฉันให้ดี ๆ ห้ามยับเยินเด็ดขาดไม่งั้นฉันจะตีมือ
“ที่นี่ที่ไหนกันไม่คุ้นเลย”“แล้วนั่นอะไร?”“จะไปไหนกันเหรอคะคุณยาย”“.....”ฉันมาอยู่สถานที่นี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เป็นเหมือนปราสาทขอมสมัยโบราณ ทางเดินก็ค่อนข้างจะชัน ฉันเดินไปตามทางเรื่อย ๆ พร้อมกับผู้คนมากมาย ถามยายคนหนึ่งที่กำลังเดินสวนไปท่านก็ไม่ตอบ ฉันเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าเดินไม่ไหว ทางมันชันเกินไปเหมือนจะกลิ้ง แต่“จับเชือกไว้สิโยม”มีพระสงฆ์สองรูปยื่นเชือกมาให้ แล้วบอกให้ฉันจับไว้ ก็เลยทำตามเพราะกลัวว่าจะกลิ้งตกลงไป แล้วพระสงฆ์สองรูปก็ดึงพาฉันขึ้นไปจนสำเร็จ มองรอบ ๆ เป็นภูเขาสูงตระหง่าน และมียอดปราสาทอยู่บนนั้น“ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“.....”ฉันพนมมือแนบอกแล้วถามพระสงฆ์ทั้งสองรูปที่พาฉันขึ้นมา แต่ว่าท่านไม่ตอบและเดินหนีฉันไปเฉยเลย ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนงงอยู่คนเดียว ผู้คนก็เดินผ่านไปผ่านมา แต่เหมือนกับว่าไม่มีใครสนใจหรือตอบอะไรฉันเลย ฉันเดินไปถามก็เหมือนกับว่าไม่มีใครได้ยิน นี่มันคืออะไรกัน?“คุณป้าคะ ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“...” ไม่ตอบฉันอีกแล้ว ฉันจึงวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังเดิน“นั่นมัน...คุณยายคนนั้นนี่นา” ฉันตกใจเมื่อเห็นคนยายที่มาคุยกับฉันและเนยหวาน ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่
“นะ นะ นั่นมันอะไร?”และฉันต้องผงะจนขายืนทรงตัวไม่อยู่ ล้มก้นกระแทกกับพื้นหิน ดวงตาเบิกโต กับภาพตรงหน้าคุณตาคนนั้นกลายเป็นงูที่มีรูปร่างใหญ่มาก ส่วนหัวและลำคอดูแปลกประหลาด จะว่างูก็ไม่ใช่ แต่เลื้อยเหมือนงู นั่นเรียกว่าอะไร? ฉันตกใจกลัวแทบหยุดหายใจ และรู้สึกว่าตอนนี้ฉันกำลังครองสติไม่อยู่ ท้ายที่สุดจนก็ล้มฟุบกับพื้นพร้อมความมืดในดวงตาเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วเข้ามาในหู การรับรู้ถ้อยคำของผู้คนที่พูดคุยกัน ทำให้ฉันรู้สึกตัว และลืมตาตื่นในถัดมา ฉันมองเพดานและรอบด้าน ทุกอย่างที่เห็นมันแปลกตาไปหมด ทั้งการตบแต่ง ข้าวของเครื่องใช้มันดูไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันเคยเจอมา และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ก่อนหน้าที่ฉันพบเจอ“??” ฉันงงและสงสัย พลันคิดในใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉันอีก ทุกอย่างมันแปลกประหลาดไปเสียหมด รวมทั้งผู้คนที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้“เจ้านางน้อย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันพยายามลุกนั่งและมองหาคนที่เธอคนนั้นเรียก“รู้สึกกระไรบ้างเพคะ” เธอยังคงถามและมองหน้าฉัน“ใครเหรอเจ้านางน้อย” ฉันงงเลยเลือกที่จะถามออกไป“พระนางอย่างไรเล่าเพคะ” เธอคนนั้นย้ำว่าเป็นฉัน นี่มันอะไรอีกล่ะเนี่ย“ฉันเหรอ?” ชี้นิ้วเข
“เจ้านางน้อยพูดสำเนียงกระไรรึเพคะ?” ผู้หญิงที่ชื่อกาลัดถามขึ้น“สำเนียงไทยนี่แหละ อะไรของพวกเธอละเนี่ย” ฉันก็งงกับพวกนางทั้งที่ฉันก็พูดภาษาไทย ทำไมถึงบอกมันแปลก“สำเนียงไทยฟังดูพิลึกชอบกลเพคะ”“เออ ช่างเถอะน่าแค่ฟังออกไม่ใช่ไง?”“ไม่ใช่ไง? แปลว่ากระไรรึเพคะ?”“พอ! เลิกถามเลิกสงสัยเพราะฉันปวดหัวกับพวกเธอมาก”ฉันต้องรีบยกมือห้ามก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านี้ นี่มันคือที่ไหนกันนะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่ไม่รู้จักมาก่อน“นี่พวกเธอ”(“เพคะ”) ทั้งสองคนก็ตอบฉันพร้อมกัน“นี่มันที่ไหนกันทำไมดูแปลกประหลาด สถานที่ก็แปลก คนก็ยังจะแปลกอีก” ฉันนึกได้จึงถามตามที่สงสัย“นครมคธอย่างไรเพคะเจ้านางน้อยทรงลืมไปแล้วหรือ” กลีบบัวเป็นคนให้คำตอบแก่ฉัน“นครมคธ?”“เพคะ”ฉันงงไปกันใหญ่ นี่ฉันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วนครมคธมันอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ไม่เคยได้ยินชื่อแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความฝันซ้อนฝันแน่ ๆ ฉันว่ามันต้องใช่ เพราะฉันจะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง มันไม่ใช่ความจริงกับชีวิตของฉันสักอย่างเพี๊ยะ!(“เจ้านางน้อย!!!”)เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนั้นเพียงแค่ฉันแค่ฝันไป จึงตบเข้าใบหน้าตัวเองเ
“ท่านอาศิรวิษองครักษ์ประจำกายเจ้านางน้อยเพคะ”“หล่อจัง”คนที่ฉันเห็นทำให้ฉันเผลอลั่นปากพูดออกมา ก็ใบหน้าสมส่วนมีเสน่ห์ ใครเห็นก็ต้องทักแบบฉันนี่แหละ เขาหล่อจริง ๆ ล่ำสั่นสมชายชาตรี ฉันไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็หาที่ติในความหล่อเหลาของเขาไม่ได้เลย นี่คนหรือเทพบุตรกันแน่นะ“เจ้านางน้อยเพคะ...เจ้านางน้อย”“ห ห๊ะ”“ทรงเป็นกระไรหรือเพคะหม่อมฉันสะกิดอยู่นานก็ไม่ขานรับ”“ม ไม่มีอะไร กลีบบัวว่าอะไรนะ ขออีกที”ฉันรู้สึกตัวจากการจ้องหน้าผู้ชายที่เป็นองครักษ์เมื่อกลีบบัวเขย่าแขนแรง มันอดไม่ได้ที่จะมอง ครุ่นคิดในหัวเขาเหมือนกับผู้ชายที่อยู่ในหนังสือเรื่องที่เพิ่งอ่านจบไป ภาพจินตนาการของฉันจากการบรรยายในหนังสือบอกว่าเป็นเขา แต่มันคงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเสียก่อน ให้เจ้านางน้อยได้พักผ่อน” เป็นเจ้าหลวงที่พูดขึ้น(พ่ะย่ะค่ะ)(“กราบลาเจ้าหลวงเพคะ”)กลีบบัวและกาลัดน้อมตัวแล้วกราบลาผู้สูงศักดิ์ จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไป มีเพียงกาลัดกับกลีบบัวที่อยู่เหมือนเดิม พวกเธอคงไม่ห่างจากฉันเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลืมตาตื่นมาก็เห็นทั้งสองคนอยู่เคียงข้าง คงเป็นคนสนิทของเจ้าของร่างนี้
ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล
พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ
ลมเย็นพัดแผ่วผ่านลานศิลาใต้แสงจันทร์ ฉันเดินเคียงข้างอาศิรวิษ บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด แสงไฟวาวจากโคมนาคายามค่ำ ค่อย ๆ ส่องสะท้อนระยิบบนพื้นน้ำ เขายังคงเดินอย่างเงียบขรึมตามแบบของเขา แต่ฉันจับได้ว่าทุกครั้งที่ฉันชะงักฝีเท้า...เขาจะหยุดก่อนฉันเสี้ยววินาทีเสมอ“อาศิรวิษ” ฉันเอ่ยเบา ๆ “ท่านเคยกลัวบ้างไหม ว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด”เขาหยุดเดิน แล้วหันมามอง ดวงตาสีทองนวลวาวใต้แสงจันทร์“เคย...กระหม่อมเคยกลัวจะสูญเสียท่านทั้งที่ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือใคร” คำพูดนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้ม“แล้วตอนนี้ล่ะยังกลัวอยู่ไหม?”“ไม่แล้ว” เขาตอบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่มือฉัน“เพราะกระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเจ้านางน้อยไปไหนอีก”“อยู่กันแค่สองคน เราเคยคุยกันแล้วว่าจะไม่พูดคำเป็นทางการไง”“...”“แต่ช่างเถอะอยากพูดยังไงก็พูด ข้าเคยคิดว่าท่านเย็นชาแต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...ท่านแค่ไม่เคยมีใครให้เปิดหัวใจ”เขายิ้มเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ“และพี่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครอยากเปิดหัวใจให้เช่นกัน” มืออุ่นของเขาจับมือฉันไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวจะหลุดจากกัน...แต่เพราะอยากจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดแต่ในขณะเดียวกัน พญาน
หลายพันปีก่อน เอกวรา นาคินีแห่งรัก ผู้เป็นที่รักยิ่งของเหล่านาค แต่หัวใจของเธอกลับมิได้อยู่ในวิมานบาดาล เธอตกหลุมรัก อริยะ พญาครุฑหนุ่มผู้กล้าหาญ ผู้ขึ้นสู้กับทวยเทพเพื่อขอความยุติธรรมให้เหล่าสัตว์ครึ่งอสูร ความรักของทั้งคู่ต้องห้ามเด็ดขาด แต่เอกวรายอมเสียทุกสิ่ง แม้กระทั่งบัลลังก์สูงสุดเพื่อใช้ชีวิตกับอริยะในดินแดนลับแล ไม่นานเอกวราก็ให้กำเนิด เวนไตย ทารกผู้มีปีกทองแดงเหมือนครุฑ แต่ดวงตาสีแดงเรืองแสงเหมือนพญานาคทว่า...พลังที่เวนไตยถือกำเนิดมานั้น คือพลังของครุฑพันคำสาป การรวมคำสาปจากสองภพ คำสาปแห่งการหวงแหนและคำสาปแห่งการพลัดพราก“ข้าไม่อาจควบคุมเขาได้...เวนไตยเติบโตมาพร้อมความแค้น และอำนาจที่แม้แต่ข้าก็เกรงกลัว”เอกวราจึงตัดสินใจ ผนึกวิญญาณตนเองไว้ใน ดาบบุษบง เพื่อเป็นดาบที่สามารถหยุดเวนไตยได้ แต่แลกกับการที่ลูกอีกคนหนึ่ง...ต้องแบกภาระอันโหดร้ายนี้ไว้“ตรีภพ...เจ้าคือผู้สืบสายเลือดของข้า ลูกแห่งความรัก และเจ้าจะต้องเลือกระหว่างคำสาบานหรือความรัก”//ปัจจุบัน//ตรีภพลืมตาขึ้น ท่าม
ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใต้เท้าคือพื้นศิลาของ วิหารเงานาคากำลังแตกแยกจากแรงอาคมสะท้อนของคำสาป ในมือยังอบอุ่นจากการกุมของอาศิรวิษ พลังในร่างกายเปลี่ยนไปคล้ายมีบางสิ่งแฝงตัวในเลือดและลมหายใจ เห็นบางอย่างในเงาสะท้อนของผืนน้ำ...นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเรืองแสง มีอักขระคล้ายเกล็ดนาคาซ้อนกันอยู่“นี่คืออะไร ทำไมมันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”อาศิรวิษยกมือประคองบ่าของฉันเบา ๆ ดวงตาคมเหมือนพญานาคที่หลับใหลมานานมองฉัน“มันคือตัวตนแท้จริงของท่านเจ้านางน้อย ข้ารู้ว่าท่านสงสัย เพียงแต่ตอนนี้เราต้องไปช่วยตรีภพเสียบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป”ฉันกับอาศิรวิษรีบเดินทางผ่านประตูเงานาคาชั้นใน อาศิรวิษเล่าว่านี่เป็นช่องว่างที่เชื่อมระหว่างภพมนุษย์กับแดนพันธนา สถานที่ที่ตรีภพถูกคุมขังด้วยตราอาคมของครุฑ และฉันมองเห็นเขาตรีภพ นั่งคุกเข่าอยู่กลางวงแหวนอาคม มีเสาเทพครุฑ ปักไว้สี่ทิศ อาคมค่อย ๆ ดูดพลังชีวิตเขาทีละหยด ผิวของตรีภพเริ่มซีดเผือด ริมฝีปากแตก แต่แววตายังแน่วแน่“เกี่ยวกับเวนไตยด้วยอย่างนั้นเหรอเนี่ย ซับซ้อนเกิน” ฉันพึมพำในใจฉันเลิกคิดเรื่องกวนใจ แล้วพุ่งเข้าไปแต่กลับถูกม่านครุฑศิลป์ต้า
เสียงคำรามของเงานาคาก้องไปทั่วซากวิหารโบราณพื้นดินแตกระแหง ต้นไม้ล้มระเนระนาด และ “ตรีภพ” ถูกตรึงร่างไว้กลางลานพิธีด้วยเงาดำ พันธะคำสาปที่กำลังจะกลืนกินหัวใจของเขา“พี่ภพ!!” ฉันแผดเสียงเรียกอย่างแหบพร่า หัวใจเหมือนจะแตกออกจากอก เห็นตรีภพเหมือนกำลังจะขาดใจ ฉันหยัดแรงและตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปช่วย แต่เสียงกึกก้องดุจสายฟ้าผ่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“อย่าเข้าไป!! นั่นคือคำสาปของเทวนาคา ท่านจะแตะต้องมันไม่ได้!!”เสียงนั้น... ฉันรู้ดีว่าเป็นใคร“อาศิรวิษ”ชายร่างสูงสง่าในชุดนักรบโบราณสีดำปักลายเกล็ดนาคา อาศิรวิษพญานาคองครักษ์ประจำตัว และคนที่ฉันเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆเมื่อลงจอดกลางวิหารเงานาคา...อาศิรวิษเข่าทรุดลงกับพื้น ดวงตาของเขาจ้องมาทางฉัน มันเป็นแววตาที่หนักแน่นปะปนด้วยค
รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสางเหนือเทือกเขานาคบาศงามจับใจ แต่ภายใต้ความสงบกลับซ่อนบางสิ่งที่อึดอัดไว้ลึก ๆ ฉันนั่งอยู่บนหลังม้าสีหมอก ข้างกายเป็นสหายแต่วัยเยาว์ สายตาเขามองตรงไปเบื้องหน้า แต่ใจเราสองคนกลับจดจ่อกับอดีตที่ยังไม่ได้รับคำตอบ มันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างมักฉายภาพเข้ามาในหัวของฉัน ซึ่งฉันไม่เข้าใจ“ศาลาพันธะนาคาอยู่ห่างจากวังหลวงหนึ่งวันทางม้า ทว่าหากเรากลายร่างเป็นพญานาคไปจักเร็วขึ้น แต่อาจจะทำให้ศัตรูเห็น จึงจำเป็นต้องเดินทางด้วยม้า เจ้านางน้อยพร้อมหรือไม่” เขาถามเสียงเรียบ“ตั้งแต่ที่ข้าถูกใส่ความ ข้าก็ไม่เคยหยุด...พร้อมมากเลยล่ะ” ฉันตอบพลางกระตุกบังเหียนเบา ๆ พลันหวนคิดคำแทนตัวก็นึกตลก ฉันอยู่จนพูดคำโบราณเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ขัดเขินแล้วเหรอเนี่ย ก็อย่างว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามฉันและตรีภพเดินทางผ่านป่าทึบและธารน้ำใส ก่อนจะไปถึงเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ตั้งของ ศาลาโบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ผูกสา
ประตูท้องพระโรงเปิดออกอย่างฉับพลัน“หัวหน้ายามวิหารอาคมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ชายชราร่างผอม ผมเผ้าขาวโพลน เดินเข้ามาพร้อมกับก้มกราบเจ้าหลวงอย่างเคารพ“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”“เราต้องการให้เจ้าตอบความหนึ่ง” เจ้าหลวงเอ่ย “คืนก่อนบ่วงนาคบาศจะหาย เจ้าได้อนุญาตให้ผู้ใดเข้าวิหารหรือไม่?”“ไม่ได้มีผู้ใดเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี” เขาขมวดคิ้ว “เว้นแต่...”“เว้นแต่?” เจ้าหลวงถามเสียงเข้ม“เว้นแต่มีข้ารับใช้คนหนึ่งมาขอเข้าไปตรวจตราตอนก่อนรุ่งสาง พ่ะย่ะค่ะ”ทุกคนในท้องพระโรงตกใจ ฉันหันขวับไปมองตรีภพ ดวงตาของเขาฉายแววคาดเดาออกมาแล้ว“เป็นใคร?” ฉันถามเสียงดังหัวหน้ายามนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าแพรผืนเล็กออกจากอกเสื้อ ยื่นให้เจ้าหลวง“ข้ารับใช้ผู้นั้นลืมผ้าไว้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเก็บไว้ยังไม่ได้ส่งคืน ในผ้ามีลายปักรูปดอกบุนนาค...ข้าน้อยจำได้ดี”ฉันกับตรีภพสบตากันทันที“ดอกบุนนาค
“ตอนนี้ไม่มีผู้ใดแล้ว นับว่ามีแต่คนในครอบครัว พ่อจักไม่ยื้อถามให้มากความ...อัปสรา”“เพคะ”“ครั้นก่อนหน้าไยเจ้าจึงได้บอกว่าผณินทรเป็นผู้ขโมยบ่วงนาคบาศไป” เจ้าหลวงเอ่ยอย่างตรงประเด็น ฉันเห็นสีหน้าของอัปสราสลดลงทันตา ทุกคนจ้องมองไปยังเธออย่างเฝ้ารอการโต้ตอบ เธอดูประหม่ากำมือแน่น แขนสั่นเทา ฉันเห็นความกลัวในแววตาของเธอชัดเจน“เช้ามืดของวันนั้นลูกตื่นแต่เช้า เพราะนอนไม่หลับ ลูกเห็นเจ้าพี่ผณินทรออกมาจากวิหารอาคมเพคะ ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าบ่วงนาคบาศหายไป จึงไปกราบทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบ หากไม่ใช่ท่านพี่จักเป็นผู้ใดได้เล่าเพคะ ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในวิหารอาคมนี้ได้”อัปสราเล่าเรื่องราว ทำเอาฉันถึงกับกำมือแน่นด้วยความโมโห แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ รอดูต่อไปว่าเธอจะใส่ร้ายฉันยังไงอีก จากที่เธอเล่ามามันย้อนแย้งกันมาก เพราะเป็นวันที่ฉันไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวัง เรื่องนี้มันชักจะไม่