ลมเย็นพัดแผ่วผ่านลานศิลาใต้แสงจันทร์ ฉันเดินเคียงข้างอาศิรวิษ บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด แสงไฟวาวจากโคมนาคายามค่ำ ค่อย ๆ ส่องสะท้อนระยิบบนพื้นน้ำ เขายังคงเดินอย่างเงียบขรึมตามแบบของเขา แต่ฉันจับได้ว่าทุกครั้งที่ฉันชะงักฝีเท้า...เขาจะหยุดก่อนฉันเสี้ยววินาทีเสมอ
“อาศิรวิษ” ฉันเอ่ยเบา ๆ “ท่านเคยกลัวบ้างไหม ว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด”
เขาหยุดเดิน แล้วหันมามอง ดวงตาสีทองนวลวาวใต้แสงจันทร์
“เคย...กระหม่อมเคยกลัวจะสูญเสียท่านทั้งที่ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือใคร” คำพูดนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้ม
“แล้วตอนนี้ล่ะยังกลัวอยู่ไหม?”
“ไม่แล้ว” เขาตอบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่มือฉัน“เพราะกระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเจ้านางน้อยไปไหนอีก”
“อยู่กันแค่สองคน เราเคยคุยกันแล้วว่าจะไม่พูดคำเป็นทางการไง”
“...”
“แต่ช่างเถอะอยากพูดยังไงก็พูด ข้าเคยคิดว่าท่านเย็นชาแต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...ท่านแค่ไม่เคยมีใครให้เปิดหัวใจ”
เขายิ้มเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ
“และพี่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครอยากเปิดหัวใจให้เช่นกัน”
มืออุ่นของเขาจับมือฉันไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวจะหลุดจากกัน...แต่เพราะอยากจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุด
แต่ในขณะเดียวกัน พญานาคินีเอกวรา ก็ปรากฏขึ้นกลางแสงในนิมิตของฉัน นางพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว
“ลูกเอ๋ย...ศึกที่แท้จริงยังไม่เริ่มเงาที่ถูกลืมกำลังกลับมา และเจ้า...ผู้ถือมหามนตราต้องเลือกอีกครั้ง” ภาพในนิมิตเผยให้เห็นเงาดำมหึมาคล้ายครุฑ แต่ไม่เหมือนเวนไตย…มันมืดกว่า น่ากลัวกว่าและไม่มีดวงตา
บางสิ่งก็กำลังคืบคลาน ขณะเดียวกัน ณ วิหารไร้เงา ที่ตั้งอยู่กลางผืนเงาสะท้อนของมิติลับ เศษพลังคำสาปของเวนไตยที่รั่วไหล…กำลังรวมตัวกันอย่างช้า ๆ มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากม่านควัน ผิวซีดราวหยกขาว ดวงตาดำสนิทไร้แวว แต่มีลวดลายพญาครุฑสีดำประทับทั่วร่าง
“อสรพิษ...ครุฑ...มนุษย์...ต่างคิดว่าศึกจบแล้ว แต่ข้าจะตื่นขึ้นในนาม ศกรณ ผู้ถูกลืมในห้วงเวลา”
เขาคือครุฑต้องสาปรุ่นก่อนเวนไตย ผู้ถูกจารึกไว้ในมหาคัมภีร์ว่า ถูกลืม แต่จริง ๆ แล้ว…ถูกผนึกด้วยความกลัวเพราะเขาเคยพยายามกลืนทั้งมิติ
อาศิรวิษสังเกตฉันเงียบลง จึงกุมมือฉันแน่นขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฉันมองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัว
“เงาหนึ่ง...กำลังจะกลับมาและข้าอาจต้องตัดสินใจเลือกระหว่างปกป้องโลก หรือรักษาท่านไว้ข้างกาย”
เขาไม่พูดอะไรเพียงยิ้มเศร้าแล้วเอ่ยคำที่ฉันจะไม่มีวันลืม
“หากเจ้านางน้อยต้องเลือก…ก็จงเลือกเพื่อโลก แต่หากท่านร้องไห้ข้าจะเป็นคนแรกที่เช็ดน้ำตาให้เสมอ”
//ตรีภพ//
คืนที่เงียบสงบ แสงดาวระยิบเต็มฟ้า…แต่ใจของข้ากลับหนักอึ้ง ข้านั่งอยู่ลำพังตรงริมสระนาคา ดาบบุษบงพิงอยู่ข้างตัวแต่ไม่ได้ฝึก ไม่ได้ป้องกัน ข้าแค่มองแสงจันทร์ที่สะท้อนลงผืนน้ำ…เหมือนมองใครบางคนที่ไกลเกินเอื้อม รอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ที่นางมีให้กับอาศิรวิษ สายตาที่นางมองชายผู้นั้น...เต็มไปด้วยแสงที่ข้าไม่เคยได้รับ แม้จะรู้แก่ใจว่ายังไงก็ยังคงฐานะนางได้เพียงน้องสาวและอนาคตกษัตรีแห่งมคธนคร
“ข้ารู้...ข้าไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ข้าคือแค่คนที่มาช้าเสมอ”
เสียงในใจของข้าดังแผ่วราวสายลม ข้าไม่ได้อิจฉา
ข้าแค่เจ็บ ที่ต้องเป็นเพียงคนที่เฝ้ามองอยู่ข้างหลัง ข้านึกถึงตอนที่เจอกับนางครั้งแรก นางเงียบขรึม กลัวทุกอย่างรอบตัว แต่ข้ากลับรู้สึกว่านางเป็นคนที่มีประกายบางอย่างในใจ แม้จะไม่รู้ตัวเอง“ตอนนั้น...ข้าแค่รู้ว่าอยากให้เจ้าปลอดภัย ไม่ต้องรู้จักข้าก็ได้...แค่ข้าได้เฝ้ามองเจ้าก็พอ”
ตอนนั้นนางได้รับบาดเจ็บจากมนตราผูกสัญญา นางสลบคามือของข้า ข้าอุ้มนางแนบแน่นราวกับโลกจะแตกสลาย
“อย่าเป็นอะไรเลยนะ...เจ้าต้องลืมตาอีกครั้ง ถึงเจ้าจะไม่เห็นข้าอยู่ตรงนี้ แต่ข้าก็จะอยู่ตรงนี้เสมอ” แต่พอนางลืมตา...
กลับถามถึงอาศิรวิษเป็นชื่อแรก“อาศิรวิษเขาอยู่ไหน...เขาปลอดภัยหรือไม่?”
ตอนนั้นหัวใจของข้าเหมือนหยุดเต้น แต่ข้าก็แค่พยักหน้าแล้วยิ้ม
“เขาปลอดภัย...เขาอยู่ใกล้เจ้าเสมอ”
ในวันนั้น…ตอนที่นางพิงไหล่อาศิรวิษ ข้ายืนเงียบอยู่บนบันไดหิน ไม่ให้ใครเห็น มองนางยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ข้าไม่เคยได้ยินจากนางตอนอยู่ด้วยกัน แต่ข้าก็ยิ้ม…และบอกตัวเองว่า
“ขอแค่เจ้ามีความสุข...ข้าก็พอใจแล้ว แค่ข้า...ได้รักเจ้าเงียบ ๆ อยู่ตรงนี้ตลอดไป”
ข้าเดินจากเงานั้นอย่างเงียบงัน มือกำจี้หินที่นางเคยให้ไว้ตอนช่วยชีวิต จี้ชิ้นนั้นมีรอยร้าวเพราะข้าปกป้องนางจากเงาครุฑ แต่นางคงไม่รู้ว่า…ข้ายังเก็บมันไว้จนถึงตอนนี้ ในคืนนั้น
ใต้แสงดาว ข้าเงยหน้าขึ้นแล้วพูดเบา ๆ กับฟ้า“หากต้องแลกบางสิ่ง เพื่อให้นางปลอดภัย…แม้ข้าต้องหายไปจากโลกนี้ข้าก็ยอม”
วันเวลาผ่านไปบาดแผลจากการต่อสู้เริ่มหายดี ข้าจ้องมองฟ้าที่มีเมฆหม่นปกคลุม เสียงลมหอบแรงจากเบื้องบนเริ่มส่งสัญญาณ พายุเวทกำลังก่อตัว…และมันไม่ใช่พายุธรรมดามันคือ ประตูมรณะ ช่องแยกระหว่างโลกมนุษย์กับมิติคำสาปที่กำลังจะเปิดออกอีกครั้งและครั้งนี้ มันไม่ได้มาเพื่อข่มขู่แต่มาเพื่อ กลืนกินทั้งดินแดน
“ผณินทรเจ้าคงยังไม่รู้…ว่าเพราะเจ้าข้าจึงยอมแลกได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของข้าเอง”
ท่านอาจารย์โฆรวิสเรียกข้าไปพบเมื่อค่ำหลายวันก่อน ใบหน้าเคร่งเครียดราวรู้ชะตา
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ตรีภพ…ว่าเลือดของเจ้าคือเสี้ยวหนึ่งของคำสาปโบราณ ในวันที่โลกจะถูกกลืนเจ้าคือกุญแจเดียวที่จะ ปิดมันตลอดกาล”
หัวใจของข้าเย็นวูบในวินาทีนั้น ใช่…ข้าเคยสงสัยเสมอ
ทำไมข้าถึงรู้สึกเจ็บแปลบเวลาสัมผัสบางเวท ทำไมดาบบุษบงจึงสั่นทุกครั้งที่ข้าโกรธ นั่นคงเป็นเพราะข้าเป็นสายเลือดของครุฑที่ถูกเนรเทศ เลือดครึ่งหนึ่งของข้าคือคำสาปและอีกครึ่งคือคำอธิษฐาน เจตจำนงของมนุษย์ที่ไม่อยากให้ใครต้องเจ็บอีก“แต่หากเจ้าทำลายตนเองในพิธีผนึก…เจ้าจะไม่มีวันได้กลับมาอีก แม้แต่จิตวิญญาณก็จะหายไปตลอดกาล”
ข้านิ่ง...และพยักหน้าเพียงครั้งเดียว
“ถ้าข้าต้องหายไป…เพื่อให้นางมีชีวิตที่ดี ข้ายินยอม”
ข้าแอบมองนางจากเงาอีกครั้ง ผณินทรยิ้มกับอาศิรวิษ ดวงตาของนางมีแสงที่ข้าไม่เคยได้เห็นตอนอยู่กับข้า
“เจ้ามีรอยยิ้มแบบนั้นให้ใครคนอื่น...นอกจากข้าเสมอเลยนะ แต่ก็ไม่เป็นไรแค่เจ้ายิ้ม ข้าก็พอใจแล้ว”
ประตูมรณะเปิดขึ้นกลางฟากฟ้า เสียงคำรามของเหล่าดวงวิญญาณที่หลงทางดังระงม ผณินทรยืนข้างอาศิรวิษ ดวงตานางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจสละตน เพราะนางคือกุญแจสำคัญอีกดอกเช่นกัน และข้ารู้ว่าเวลาของข้ามาถึงแล้ว…
“ให้ข้าจัดการเปิดผนึกเอง...ข้าคือดวงตราที่มันต้องการแต่จงจำไว้ข้าจะไม่ให้มันได้สิ่งที่มันหวัง”
“ไม่นะตรีภพ!” เสียงอาศิรวิษแผดกร้าว ข้าส่งยิ้มสุดท้ายมอบให้แก่เพื่อนสำนักเดียวกัน เพื่อนที่ข้ารักและนางที่ข้ามอบหัวใจให้
ข้ากระชับดาบบุษบงไว้แน่น แล้วเปล่งเสียงสาบานกลางมิติคำสาป
“ด้วยเลือดของข้า...ผู้ก่อคำสาปและก่อคำอธิษฐาน ข้าจะเป็นตราผนึกมันไว้...เพื่อให้นางมีชีวิตในวันที่ไม่มีคำสาปอีกต่อไป”
พลังจากกายของข้าปะทุจนร่างแทบแตกสลาย เงาครุฑที่ซ่อนในตัวแผ่ปีกสุดท้าย ก่อนจะสลายเป็นประกายแสง
แสงสุดท้ายนั้น...คือพลังชีวิตของข้า
ผณินทรนางตะโกนชื่อข้า แล้ววิ่งเข้ามาหาข้าในตอนที่แสงของข้ากำลังมอดลง อาศิรวิษรั้งนางไว้ เขารู้ดีว่าไม่มีใครเปลี่ยนชะตานี้ได้อีกแล้ว
“ตรีภพ...ไม่นะ!”
“ข้าไม่เคยรู้เลย...เจ้ารู้สึกยังไงกับข้า”ข้าหัวเราะเบา ๆ ทั้งน้ำตา รอยยิ้มสุดท้ายของข้ามอบให้นาง
“ไม่เป็นไรแค่เจ้ารู้ตอนนี้...แค่ครั้งเดียว ข้าก็พอใจแล้ว”
ไม่มีร่าง ไม่มีเสียง มีเพียงกลิ่นจางของสายลมที่ยังคงพัดผ่านข้างนางอยู่เสมอ ผู้ที่รักผณินทรเสมอ แม้ไม่มีชื่อข้าอยู่ในนิทานของนางเลยก็ตาม
“ตรีภพ ทำไมต้องเลือกแทนข้าด้วย” เสียงร่ำไห้ของนางสะเทือนหัวใจของข้ายิ่งนัก แม้กายหยาบของข้าจะหายไป แต่เสียงของนางข้าได้ยินทุกถ้อยคำ...และจะจำไม่มีวันลืม
และสุดท้ายข้าก็ไม่ได้ช่วยเหลือนาง เพื่อตามหาบ่วงนาคบาศที่หายไป คงต้องฝากให้อาศิรวิษช่วยดูแล
//ผณินทร//
เสียงสุดท้ายที่ตรีภพพูดกับฉัน ไม่ใช่เสียงที่ดังลั่น แต่มันคือเสียงที่กระซิบในใจของฉันไม่เคยเลือน
“ไม่เป็นไร...แค่เจ้ารู้ตอนนี้...ข้าก็พอใจแล้ว”
และเขาก็หายไป แสงสุดท้ายของดวงวิญญาณตรีภพสลายกลืนเข้าสู่ม่านมิติ เหลือเพียงเศษหิน เสียงลม และหัวใจของฉัน...ที่แตกออกเหมือนทุกสิ่ง ฉันร้องไห้จนไม่มีเสียง ไม่ได้แค่เสียเพื่อนร่วมทาง แต่เสียอีกคนผู้ที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้ฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้ฉันจะไม่เคยมองเห็นมันเลย...จนกระทั่งเขาหายไป
ค่ำคืนนั้นฉันฝันเห็น เขา ไม่ใช่ตรีภพในร่างเดิม แต่เป็นเงาเรืองแสงจาง ๆ ลอยอยู่กลางดงหมอกม่วงระยิบ เขาไม่มีใบหน้า ไม่มีร่างกายแต่รู้ทันที...ว่านั่นคือตรีภพ
“ท่านกลับมาหาข้าอีกครั้งใช่ไหม ตรีภพ...ข้ายังไม่ยอมให้เจ้าหายไป”
อาศิรวิษจับมือข้าแน่น เมื่อตื่นจากฝัน
“เจ้านางน้อย ถ้าท่านรู้ตำแหน่งของเศษวิญญาณตรีภพได้แม้เพียงเสี้ยว...พี่จะช่วยเจ้าดึงมันกลับมา”
ท่านอาจารย์โฆรวิสเตือนพวกเราว่า…การผนึกมิติแลกกับพลังวิญญาณทั้งหมด หากจะดึงกลับมา จะต้องมอบสิ่งล้ำค่าที่สุดในตัวเองเป็นสื่อผูกพัน
อาศิรวิษก้มหน้าเพียงครู่ ก่อนกล่าวช้า ๆ
“พี่ยินดี…จะมอบเกล็ดอสรพิษดวงหทัยแก่พิธี มันคือหัวใจของข้าในฐานะองครักษ์ แต่ถ้าเพื่อคืนคนที่เจ้านางน้อยต้องการให้เขากลับมา พี่จะยกมันให้โดยไม่ลังเล”
ฉันมองหน้าอาศิรวิษ น้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ อาศิรวิษยิ้มอ่อนโยน แม้ดวงตาจะเศร้าสร้อย
“อย่าร้องเลย ท่านรู้ใช่หรือไม่ ว่าพี่ยินดีเสมอ หากมันคือสิ่งที่เจ้านางน้อยต้องการ”
ฉันถึงพูดไม่ออก จริงอยู่ที่ฉันเสียใจมากกับการที่ตรีภพสละตัวเองแทน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องปล่อยให้อาศิรวิษมอบสิ่งมีค่าให้ ฉันไม่อยากเสียเขาไปอีกคน
“ส่วนฉันขอมอบหยาดพลังนาคินีเอกวราทั้งหมด ที่เพิ่งตื่นรู้ พลังนั้นเชื่อมโยงกับต้นตระกูล และเมื่อมอบมันฉันจะไม่เหลือพลังของพญานาคอีกเลย แต่หากมันคือทางเดียว ที่จะดึงตรีภพกลับมา ฉันยินดี...แม้ฉันจะไม่ใช่นาคาอีกต่อไป ฉันแค่อยากให้เขา...ยังอยู่บนโลกใบนี้ แม้จะเหลือเพียงเศษวิญญาณ”
พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ
ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล
เรื่องเล่าที่ชาวบ้านกล่าวขานกันมาปากต่อปาก เกล็ดแห่งนาคา ที่ผู้คนต้องการครอบครองเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร์กาล เชื่อกันว่าเกล็ดพญานาคหากได้ผสมน้ำดื่มกินคนผู้นั้นจะมีชีวิตอมตะ ฉันได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนปัจจุบันเรื่องเล่านี้ก็ยังถูกพูดถึง มันคือสิ่งที่มนุษย์กิเลสหนาอยากได้ไว้เคียงกาย ด้วยอำนาจและอิทธิฤทธิ์ประหนึ่งเทวาสถิต เสริมให้ผู้ที่ได้ครอบครองอยู่เหนือสุดของมนุษย์ทั้งปวง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่อีกอย่างที่ฉันเคยได้ยินมาเช่นกันร่างตัวแทนแห่งนาคาที่แอบซ่อนในกายหยาบของมนุษย์ แต่คนผู้นั้นคือใครกัน? มีจริงเหมือนที่คนเฒ่าโบราณลือกันจริงหรือ?...ฉันก็ได้แต่ฟังเพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้หลบหลู่แต่อย่างใด"นั่นสินะ ในโลกนี้ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป เฮ้อ~~ แต่ฉันก็อยากให้โลกใบนี้มีแต่คนดีละนะ""บ่นอะไรของแกยัยณิน อะนี่น้ำที่แกฝากซื้อ""ขอบใจจ้าเพื่อนคนสวย...ไม่ได้บ่นอะไรหรอก อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดเฉย ๆ น่ะ""อ่านเรื่องอะไรอะ""อาศิรวิษ""เออชื่อเรื่องแปลกแต่น่าสนใจดี ขอยืมอ่านบ้างดิ""ได้...แต่แกต้องทะนุถนอมหนังสือฉันให้ดี ๆ ห้ามยับเยินเด็ดขาดไม่งั้นฉันจะตีมือ
“ที่นี่ที่ไหนกันไม่คุ้นเลย”“แล้วนั่นอะไร?”“จะไปไหนกันเหรอคะคุณยาย”“.....”ฉันมาอยู่สถานที่นี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เป็นเหมือนปราสาทขอมสมัยโบราณ ทางเดินก็ค่อนข้างจะชัน ฉันเดินไปตามทางเรื่อย ๆ พร้อมกับผู้คนมากมาย ถามยายคนหนึ่งที่กำลังเดินสวนไปท่านก็ไม่ตอบ ฉันเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าเดินไม่ไหว ทางมันชันเกินไปเหมือนจะกลิ้ง แต่“จับเชือกไว้สิโยม”มีพระสงฆ์สองรูปยื่นเชือกมาให้ แล้วบอกให้ฉันจับไว้ ก็เลยทำตามเพราะกลัวว่าจะกลิ้งตกลงไป แล้วพระสงฆ์สองรูปก็ดึงพาฉันขึ้นไปจนสำเร็จ มองรอบ ๆ เป็นภูเขาสูงตระหง่าน และมียอดปราสาทอยู่บนนั้น“ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“.....”ฉันพนมมือแนบอกแล้วถามพระสงฆ์ทั้งสองรูปที่พาฉันขึ้นมา แต่ว่าท่านไม่ตอบและเดินหนีฉันไปเฉยเลย ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนงงอยู่คนเดียว ผู้คนก็เดินผ่านไปผ่านมา แต่เหมือนกับว่าไม่มีใครสนใจหรือตอบอะไรฉันเลย ฉันเดินไปถามก็เหมือนกับว่าไม่มีใครได้ยิน นี่มันคืออะไรกัน?“คุณป้าคะ ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“...” ไม่ตอบฉันอีกแล้ว ฉันจึงวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังเดิน“นั่นมัน...คุณยายคนนั้นนี่นา” ฉันตกใจเมื่อเห็นคนยายที่มาคุยกับฉันและเนยหวาน ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่
“นะ นะ นั่นมันอะไร?”และฉันต้องผงะจนขายืนทรงตัวไม่อยู่ ล้มก้นกระแทกกับพื้นหิน ดวงตาเบิกโต กับภาพตรงหน้าคุณตาคนนั้นกลายเป็นงูที่มีรูปร่างใหญ่มาก ส่วนหัวและลำคอดูแปลกประหลาด จะว่างูก็ไม่ใช่ แต่เลื้อยเหมือนงู นั่นเรียกว่าอะไร? ฉันตกใจกลัวแทบหยุดหายใจ และรู้สึกว่าตอนนี้ฉันกำลังครองสติไม่อยู่ ท้ายที่สุดจนก็ล้มฟุบกับพื้นพร้อมความมืดในดวงตาเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วเข้ามาในหู การรับรู้ถ้อยคำของผู้คนที่พูดคุยกัน ทำให้ฉันรู้สึกตัว และลืมตาตื่นในถัดมา ฉันมองเพดานและรอบด้าน ทุกอย่างที่เห็นมันแปลกตาไปหมด ทั้งการตบแต่ง ข้าวของเครื่องใช้มันดูไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันเคยเจอมา และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ก่อนหน้าที่ฉันพบเจอ“??” ฉันงงและสงสัย พลันคิดในใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉันอีก ทุกอย่างมันแปลกประหลาดไปเสียหมด รวมทั้งผู้คนที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้“เจ้านางน้อย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันพยายามลุกนั่งและมองหาคนที่เธอคนนั้นเรียก“รู้สึกกระไรบ้างเพคะ” เธอยังคงถามและมองหน้าฉัน“ใครเหรอเจ้านางน้อย” ฉันงงเลยเลือกที่จะถามออกไป“พระนางอย่างไรเล่าเพคะ” เธอคนนั้นย้ำว่าเป็นฉัน นี่มันอะไรอีกล่ะเนี่ย“ฉันเหรอ?” ชี้นิ้วเข
“เจ้านางน้อยพูดสำเนียงกระไรรึเพคะ?” ผู้หญิงที่ชื่อกาลัดถามขึ้น“สำเนียงไทยนี่แหละ อะไรของพวกเธอละเนี่ย” ฉันก็งงกับพวกนางทั้งที่ฉันก็พูดภาษาไทย ทำไมถึงบอกมันแปลก“สำเนียงไทยฟังดูพิลึกชอบกลเพคะ”“เออ ช่างเถอะน่าแค่ฟังออกไม่ใช่ไง?”“ไม่ใช่ไง? แปลว่ากระไรรึเพคะ?”“พอ! เลิกถามเลิกสงสัยเพราะฉันปวดหัวกับพวกเธอมาก”ฉันต้องรีบยกมือห้ามก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านี้ นี่มันคือที่ไหนกันนะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่ไม่รู้จักมาก่อน“นี่พวกเธอ”(“เพคะ”) ทั้งสองคนก็ตอบฉันพร้อมกัน“นี่มันที่ไหนกันทำไมดูแปลกประหลาด สถานที่ก็แปลก คนก็ยังจะแปลกอีก” ฉันนึกได้จึงถามตามที่สงสัย“นครมคธอย่างไรเพคะเจ้านางน้อยทรงลืมไปแล้วหรือ” กลีบบัวเป็นคนให้คำตอบแก่ฉัน“นครมคธ?”“เพคะ”ฉันงงไปกันใหญ่ นี่ฉันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วนครมคธมันอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ไม่เคยได้ยินชื่อแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความฝันซ้อนฝันแน่ ๆ ฉันว่ามันต้องใช่ เพราะฉันจะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง มันไม่ใช่ความจริงกับชีวิตของฉันสักอย่างเพี๊ยะ!(“เจ้านางน้อย!!!”)เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนั้นเพียงแค่ฉันแค่ฝันไป จึงตบเข้าใบหน้าตัวเองเ
“ท่านอาศิรวิษองครักษ์ประจำกายเจ้านางน้อยเพคะ”“หล่อจัง”คนที่ฉันเห็นทำให้ฉันเผลอลั่นปากพูดออกมา ก็ใบหน้าสมส่วนมีเสน่ห์ ใครเห็นก็ต้องทักแบบฉันนี่แหละ เขาหล่อจริง ๆ ล่ำสั่นสมชายชาตรี ฉันไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็หาที่ติในความหล่อเหลาของเขาไม่ได้เลย นี่คนหรือเทพบุตรกันแน่นะ“เจ้านางน้อยเพคะ...เจ้านางน้อย”“ห ห๊ะ”“ทรงเป็นกระไรหรือเพคะหม่อมฉันสะกิดอยู่นานก็ไม่ขานรับ”“ม ไม่มีอะไร กลีบบัวว่าอะไรนะ ขออีกที”ฉันรู้สึกตัวจากการจ้องหน้าผู้ชายที่เป็นองครักษ์เมื่อกลีบบัวเขย่าแขนแรง มันอดไม่ได้ที่จะมอง ครุ่นคิดในหัวเขาเหมือนกับผู้ชายที่อยู่ในหนังสือเรื่องที่เพิ่งอ่านจบไป ภาพจินตนาการของฉันจากการบรรยายในหนังสือบอกว่าเป็นเขา แต่มันคงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเสียก่อน ให้เจ้านางน้อยได้พักผ่อน” เป็นเจ้าหลวงที่พูดขึ้น(พ่ะย่ะค่ะ)(“กราบลาเจ้าหลวงเพคะ”)กลีบบัวและกาลัดน้อมตัวแล้วกราบลาผู้สูงศักดิ์ จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไป มีเพียงกาลัดกับกลีบบัวที่อยู่เหมือนเดิม พวกเธอคงไม่ห่างจากฉันเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลืมตาตื่นมาก็เห็นทั้งสองคนอยู่เคียงข้าง คงเป็นคนสนิทของเจ้าของร่างนี้
“เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะเจ้านางน้อย รู้สึกดีหรือไม่” เพียงแค่ฉันลืมตาตื่นเสียงทักก็ดังขึ้น จึงหันไปมองพบเป็นกาลัดที่นั่งอยู่ข้างเตียง “อืม หลับสนิทดี แล้วนี่กลีบบัวไปไหนล่ะ?” ฉันพยุงตัวลุกนั่งทั้งที่ยังมีอาการงัวเงีย ไม่เห็นกลีบบัวจึงได้ถามขึ้น “ห้องครัวเพคะ เตรียมสำรับให้เจ้านางน้อย” กาลัดตอบ “ตอนนี้กี่โมงกี่ยามละ” ฉันถามกาลัดทั้งที่ยังสะลืมสะลือมือขยี้ตาเบา ๆ “ย่ำค่ำแล้วเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดตอบฉัน และมันก็ทำเอาตาฉันสว่างโล่ เพราะงุนงงกับเวลาที่กาลัดบอก “ย่ำค่ำนี่กี่โมงวะ” ฉันเกาหัวงึมงำกับตัวเอง “เออย่ำค่ำก็ย่ำค่ำ” “เจ้านางน้อยทรงตรัสว่ากระไรหรือเพคะ” กาลัดถามพลางขมวดคิ้วงง “ไม่มีอะไรหรอก บ่นไปเรื่อยน่ะ” ฉันฉีกยิ้มแล้วตอบเธอ “กลีบบัวไปนานนัก ทำให้เจ้านางน้อยต้องคอยอยู่นาน” กาลัดบ่น พร้อมกับชะเง้อมองไปทางบานประตู “เออนี่กาลัด แล้วถ้าฉันอยากจะอาบน้ำล่ะต้องไปตรงไหน” “สระบัวแก้วมรกตเพคะ เป็นสระส่วนพระองค์ที่เจ้าหลวงสร้างขึ้นเพื่อเจ้านางน้อยพ
ฉันไม่เคยคิดว่า…เสียงของบ่วงนาคบาศจะเหมือนเสียงหัวใจ มันไม่ได้ดังกังวานอย่างศาสตรา แต่มันเต้นในจังหวะเดียวกับจิตของผู้ถือมัน ราวกับกำลังฟังเสียงความจริงจากเงาลึกในตัวเอง หลังจากปลดผนึกครุฑานนท์ โลกเริ่มเปลี่ยนเส้นพลังแห่งสมดุลเริ่มเคลื่อน แต่...บางอย่างกลับต้านไว้จากเบื้องหลัง“ผณินทร...โลกนี้ยังไม่ปลอดภัย ยังมีเงาหนึ่งที่เฝ้าจ้องอยู่หลังม่านกรรม...ในวิหารไร้เงาที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ”เสียงจิตตรีภพกระซิบในยามค่ำ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนที่ฉันสัมผัสได้ตรงหน้า เขาคือพลังเงียบที่คอยคุ้มครองฉัน…ไม่ว่าวันคืนจะเลื่อนลับไปไกลเพียงใดอาศิรวิษและฉันร่วมทางกันอีกครั้ง“หากเจ้านางน้อยเข้าไปในวิหารนั้นแล้ว จะไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีก” เขาเตือนเบา ๆ“ข้าไม่เป็นคนเดิมตั้งแต่วันที่ได้รู้จักท่านแล้ว…” ฉันตอบดวงตาเขาสะท้อนแสงดาวในราตรีนั้น ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำแต่ก่อนที่เราจะก้าวข้ามเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ มีกำแพงหนึ่งที่พวกเราต้องเผชิญ ประตูแห่งกรรม ประตูนั้นไม่มีมือจับ ไม่มีกล
พิธีเริ่มต้น กลางทะเลสาบวิญญาณ ณ ผืนป่าหิมพานต์เราเริ่มพิธีในคืนที่ดาวทั้งหมดดับลง ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อตรีภพ เสียงนั้นทะลวงผ่านขอบฟ้ามิติ อาศิรวิษหลั่งเลือดลงกลางพิธีเกล็ดทองสว่างระยิบ ร่วงหล่นเข้าวงเวท และฉันร่ายบทสวดเรียกเสี้ยวจิต ในวินาทีที่เงาเงียบทั้งหมดรวมกัน...เศษวิญญาณของตรีภพ ปรากฏขึ้นในรูปของลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าอ่อน พลังของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยู่…ในรูปของ ดวงจิตเฝ้ามอง ฉันนำลูกแก้วนั้นไปวางไว้ใต้ต้นอโศกสีทอง ที่ขึ้นจากน้ำตาหยดแรกของฉันในวันเขาจากไป มีเขาอยู่กับฉัน แม้จะไม่ใช่แบบเดิม แต่ฉันรู้ว่า...ดวงจิตเขายังมองพวกเราจากใต้แสงฟ้านั้นอาศิรวิษยืนเคียงข้างฉัน เขาไม่เคยทวงคืนสิ่งใด“แม้เจ้านางน้อยไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้าเคยหวัง แต่ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ข้างเจ้านางน้อยเสมอ”ฉันจับมืออาศิรวิษแน่น แล้วหันหน้าพูด“รู้ได้ไงว่าไม่เคยรัก”“?”“หรือว่าท่านไม่เคยใส่ใจกันแน่”“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาของเ
ลมเย็นพัดแผ่วผ่านลานศิลาใต้แสงจันทร์ ฉันเดินเคียงข้างอาศิรวิษ บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด แสงไฟวาวจากโคมนาคายามค่ำ ค่อย ๆ ส่องสะท้อนระยิบบนพื้นน้ำ เขายังคงเดินอย่างเงียบขรึมตามแบบของเขา แต่ฉันจับได้ว่าทุกครั้งที่ฉันชะงักฝีเท้า...เขาจะหยุดก่อนฉันเสี้ยววินาทีเสมอ“อาศิรวิษ” ฉันเอ่ยเบา ๆ “ท่านเคยกลัวบ้างไหม ว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด”เขาหยุดเดิน แล้วหันมามอง ดวงตาสีทองนวลวาวใต้แสงจันทร์“เคย...กระหม่อมเคยกลัวจะสูญเสียท่านทั้งที่ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือใคร” คำพูดนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้ม“แล้วตอนนี้ล่ะยังกลัวอยู่ไหม?”“ไม่แล้ว” เขาตอบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่มือฉัน“เพราะกระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเจ้านางน้อยไปไหนอีก”“อยู่กันแค่สองคน เราเคยคุยกันแล้วว่าจะไม่พูดคำเป็นทางการไง”“...”“แต่ช่างเถอะอยากพูดยังไงก็พูด ข้าเคยคิดว่าท่านเย็นชาแต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...ท่านแค่ไม่เคยมีใครให้เปิดหัวใจ”เขายิ้มเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ“และพี่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครอยากเปิดหัวใจให้เช่นกัน” มืออุ่นของเขาจับมือฉันไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวจะหลุดจากกัน...แต่เพราะอยากจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดแต่ในขณะเดียวกัน พญาน
หลายพันปีก่อน เอกวรา นาคินีแห่งรัก ผู้เป็นที่รักยิ่งของเหล่านาค แต่หัวใจของเธอกลับมิได้อยู่ในวิมานบาดาล เธอตกหลุมรัก อริยะ พญาครุฑหนุ่มผู้กล้าหาญ ผู้ขึ้นสู้กับทวยเทพเพื่อขอความยุติธรรมให้เหล่าสัตว์ครึ่งอสูร ความรักของทั้งคู่ต้องห้ามเด็ดขาด แต่เอกวรายอมเสียทุกสิ่ง แม้กระทั่งบัลลังก์สูงสุดเพื่อใช้ชีวิตกับอริยะในดินแดนลับแล ไม่นานเอกวราก็ให้กำเนิด เวนไตย ทารกผู้มีปีกทองแดงเหมือนครุฑ แต่ดวงตาสีแดงเรืองแสงเหมือนพญานาคทว่า...พลังที่เวนไตยถือกำเนิดมานั้น คือพลังของครุฑพันคำสาป การรวมคำสาปจากสองภพ คำสาปแห่งการหวงแหนและคำสาปแห่งการพลัดพราก“ข้าไม่อาจควบคุมเขาได้...เวนไตยเติบโตมาพร้อมความแค้น และอำนาจที่แม้แต่ข้าก็เกรงกลัว”เอกวราจึงตัดสินใจ ผนึกวิญญาณตนเองไว้ใน ดาบบุษบง เพื่อเป็นดาบที่สามารถหยุดเวนไตยได้ แต่แลกกับการที่ลูกอีกคนหนึ่ง...ต้องแบกภาระอันโหดร้ายนี้ไว้“ตรีภพ...เจ้าคือผู้สืบสายเลือดของข้า ลูกแห่งความรัก และเจ้าจะต้องเลือกระหว่างคำสาบานหรือความรัก”//ปัจจุบัน//ตรีภพลืมตาขึ้น ท่าม
ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใต้เท้าคือพื้นศิลาของ วิหารเงานาคากำลังแตกแยกจากแรงอาคมสะท้อนของคำสาป ในมือยังอบอุ่นจากการกุมของอาศิรวิษ พลังในร่างกายเปลี่ยนไปคล้ายมีบางสิ่งแฝงตัวในเลือดและลมหายใจ เห็นบางอย่างในเงาสะท้อนของผืนน้ำ...นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเรืองแสง มีอักขระคล้ายเกล็ดนาคาซ้อนกันอยู่“นี่คืออะไร ทำไมมันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”อาศิรวิษยกมือประคองบ่าของฉันเบา ๆ ดวงตาคมเหมือนพญานาคที่หลับใหลมานานมองฉัน“มันคือตัวตนแท้จริงของท่านเจ้านางน้อย ข้ารู้ว่าท่านสงสัย เพียงแต่ตอนนี้เราต้องไปช่วยตรีภพเสียบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป”ฉันกับอาศิรวิษรีบเดินทางผ่านประตูเงานาคาชั้นใน อาศิรวิษเล่าว่านี่เป็นช่องว่างที่เชื่อมระหว่างภพมนุษย์กับแดนพันธนา สถานที่ที่ตรีภพถูกคุมขังด้วยตราอาคมของครุฑ และฉันมองเห็นเขาตรีภพ นั่งคุกเข่าอยู่กลางวงแหวนอาคม มีเสาเทพครุฑ ปักไว้สี่ทิศ อาคมค่อย ๆ ดูดพลังชีวิตเขาทีละหยด ผิวของตรีภพเริ่มซีดเผือด ริมฝีปากแตก แต่แววตายังแน่วแน่“เกี่ยวกับเวนไตยด้วยอย่างนั้นเหรอเนี่ย ซับซ้อนเกิน” ฉันพึมพำในใจฉันเลิกคิดเรื่องกวนใจ แล้วพุ่งเข้าไปแต่กลับถูกม่านครุฑศิลป์ต้า
เสียงคำรามของเงานาคาก้องไปทั่วซากวิหารโบราณพื้นดินแตกระแหง ต้นไม้ล้มระเนระนาด และ “ตรีภพ” ถูกตรึงร่างไว้กลางลานพิธีด้วยเงาดำ พันธะคำสาปที่กำลังจะกลืนกินหัวใจของเขา“พี่ภพ!!” ฉันแผดเสียงเรียกอย่างแหบพร่า หัวใจเหมือนจะแตกออกจากอก เห็นตรีภพเหมือนกำลังจะขาดใจ ฉันหยัดแรงและตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปช่วย แต่เสียงกึกก้องดุจสายฟ้าผ่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“อย่าเข้าไป!! นั่นคือคำสาปของเทวนาคา ท่านจะแตะต้องมันไม่ได้!!”เสียงนั้น... ฉันรู้ดีว่าเป็นใคร“อาศิรวิษ”ชายร่างสูงสง่าในชุดนักรบโบราณสีดำปักลายเกล็ดนาคา อาศิรวิษพญานาคองครักษ์ประจำตัว และคนที่ฉันเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆเมื่อลงจอดกลางวิหารเงานาคา...อาศิรวิษเข่าทรุดลงกับพื้น ดวงตาของเขาจ้องมาทางฉัน มันเป็นแววตาที่หนักแน่นปะปนด้วยค
รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสางเหนือเทือกเขานาคบาศงามจับใจ แต่ภายใต้ความสงบกลับซ่อนบางสิ่งที่อึดอัดไว้ลึก ๆ ฉันนั่งอยู่บนหลังม้าสีหมอก ข้างกายเป็นสหายแต่วัยเยาว์ สายตาเขามองตรงไปเบื้องหน้า แต่ใจเราสองคนกลับจดจ่อกับอดีตที่ยังไม่ได้รับคำตอบ มันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างมักฉายภาพเข้ามาในหัวของฉัน ซึ่งฉันไม่เข้าใจ“ศาลาพันธะนาคาอยู่ห่างจากวังหลวงหนึ่งวันทางม้า ทว่าหากเรากลายร่างเป็นพญานาคไปจักเร็วขึ้น แต่อาจจะทำให้ศัตรูเห็น จึงจำเป็นต้องเดินทางด้วยม้า เจ้านางน้อยพร้อมหรือไม่” เขาถามเสียงเรียบ“ตั้งแต่ที่ข้าถูกใส่ความ ข้าก็ไม่เคยหยุด...พร้อมมากเลยล่ะ” ฉันตอบพลางกระตุกบังเหียนเบา ๆ พลันหวนคิดคำแทนตัวก็นึกตลก ฉันอยู่จนพูดคำโบราณเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ขัดเขินแล้วเหรอเนี่ย ก็อย่างว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามฉันและตรีภพเดินทางผ่านป่าทึบและธารน้ำใส ก่อนจะไปถึงเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ตั้งของ ศาลาโบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ผูกสา
ประตูท้องพระโรงเปิดออกอย่างฉับพลัน“หัวหน้ายามวิหารอาคมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ชายชราร่างผอม ผมเผ้าขาวโพลน เดินเข้ามาพร้อมกับก้มกราบเจ้าหลวงอย่างเคารพ“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”“เราต้องการให้เจ้าตอบความหนึ่ง” เจ้าหลวงเอ่ย “คืนก่อนบ่วงนาคบาศจะหาย เจ้าได้อนุญาตให้ผู้ใดเข้าวิหารหรือไม่?”“ไม่ได้มีผู้ใดเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี” เขาขมวดคิ้ว “เว้นแต่...”“เว้นแต่?” เจ้าหลวงถามเสียงเข้ม“เว้นแต่มีข้ารับใช้คนหนึ่งมาขอเข้าไปตรวจตราตอนก่อนรุ่งสาง พ่ะย่ะค่ะ”ทุกคนในท้องพระโรงตกใจ ฉันหันขวับไปมองตรีภพ ดวงตาของเขาฉายแววคาดเดาออกมาแล้ว“เป็นใคร?” ฉันถามเสียงดังหัวหน้ายามนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าแพรผืนเล็กออกจากอกเสื้อ ยื่นให้เจ้าหลวง“ข้ารับใช้ผู้นั้นลืมผ้าไว้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเก็บไว้ยังไม่ได้ส่งคืน ในผ้ามีลายปักรูปดอกบุนนาค...ข้าน้อยจำได้ดี”ฉันกับตรีภพสบตากันทันที“ดอกบุนนาค
“ตอนนี้ไม่มีผู้ใดแล้ว นับว่ามีแต่คนในครอบครัว พ่อจักไม่ยื้อถามให้มากความ...อัปสรา”“เพคะ”“ครั้นก่อนหน้าไยเจ้าจึงได้บอกว่าผณินทรเป็นผู้ขโมยบ่วงนาคบาศไป” เจ้าหลวงเอ่ยอย่างตรงประเด็น ฉันเห็นสีหน้าของอัปสราสลดลงทันตา ทุกคนจ้องมองไปยังเธออย่างเฝ้ารอการโต้ตอบ เธอดูประหม่ากำมือแน่น แขนสั่นเทา ฉันเห็นความกลัวในแววตาของเธอชัดเจน“เช้ามืดของวันนั้นลูกตื่นแต่เช้า เพราะนอนไม่หลับ ลูกเห็นเจ้าพี่ผณินทรออกมาจากวิหารอาคมเพคะ ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าบ่วงนาคบาศหายไป จึงไปกราบทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบ หากไม่ใช่ท่านพี่จักเป็นผู้ใดได้เล่าเพคะ ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในวิหารอาคมนี้ได้”อัปสราเล่าเรื่องราว ทำเอาฉันถึงกับกำมือแน่นด้วยความโมโห แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ รอดูต่อไปว่าเธอจะใส่ร้ายฉันยังไงอีก จากที่เธอเล่ามามันย้อนแย้งกันมาก เพราะเป็นวันที่ฉันไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวัง เรื่องนี้มันชักจะไม่