พ่อเลี้ยงดรัณในวัย 35 มองหญิงสาวร่างบางอรชรที่กำลังสนุกสนานกับลูกฟิตบอล เขาหวงและอยากไล่เธอไปให้ไกลจากฟิตบอลของอิงฟ้า ทว่า...เขากลับถอนสายตาไปจากเธอไม่ได้ ร่างอรชรอิ่มเอิบที่ทอดโค้งอยู่บนฟิตบอลเผยให้เห็นสัดส่วนความเป็นสาวแทบทุกสัดส่วน อกอวบพุ่งชันดันเสื้อเชิ้ตที่แนบตึงไปกับเรือนร่าง สะโพกงอนเบียดแนบกับความนุ่มหยุ่นของลูกบอลสีสวย และยิ่งไปกว่านั้นสายตาคมกล้าดำสนิทราวนิลเนื้อดีก็ยังจับจ้องจุดที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุด จุดที่มีเนื้อนุ่มเบียดกันชิดนูนเด่นดันเป้ากางเกงยีนรัดรูปออกมาชัดเจน
คนเย็นชาและใจร้ายอย่างดรัณต้องกลืนน้ำลายลงคอบ่อยๆ จนรู้สึกว่าน้ำบ่อน้อยมีไม่พอดับความแห้งผากที่เกิดขึ้นมาฉับพลัน ลำคอของเขาแห้งผากเป็นผุยผงจนอยากหันหน้าหนีแล้วพาตัวเองไปให้พ้นจากตรงนี้ แต่เขาทำไม่ได้ ขามันก้าวไม่ออกเหมือนถูกมัดตรึงให้อยู่กับที่
กระทั่ง...
“อารัณ!! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” พลับพลึงสปริงตัวขึ้นก็เห็นดรัณมองจ้องเธอไม่วางตา เธอจัดเสื้อผ้าเข้าที่แล้วเดินเข้ามาใกล้
“กลับมามองเธอทำสิ่งที่ฉันไม่ชอบอยู่นานแล้ว” ดรัณบอกเสียงเย็นเยียบเข้าไปถึงใจพลับพลึง ดวงตาคมกริบมีเพียงความเย็นชาคล้ายจะเกลียดชังทุกคนที่เข้ามายุ่มย่ามในอาณาจักรของเขา เกลียดแม้กระทั่งเธอ คนที่เขารักเหมือนหลานในไส้
“พลับขอโทษค่ะ พลับมาหาอารัณแต่ไม่เจอ ก็เลย...”
“ออกไปให้พ้นจากบ้านของฉัน แล้วอย่าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับข้าวของๆ ฉันอีกเด็ดขาด” เขาไล่ตะพึด พลับพลึงไม่คิดว่าการที่เธอเข้ามาเล่นฟิตบอลโดยไม่ขออนุญาตจะทำให้เขาโกรธถึงขั้นไล่ไปให้ไกล บ่อยครั้งที่เขาทำเย็นชาไม่อยากเข้าใกล้เธอ ไม่มีแม้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ได้ยิน ไม่มีคำพูดอ่อนหวานเหมือนแต่ก่อน เธอเข้าใจและพยายามปรับตัวให้อดทนกับความเปลี่ยนแปลงชนิดสุดขั้วของเขา
“ของๆ อาอิง ทำไมพลับจะเล่นมั่งไม่ได้ อาอิงเป็นอาพลับ” เธอเถียง เป็นการกระตุกหนวดเสืออย่างห้ามไม่ได้จริงๆ ก็เขาไม่ควรจะหวงสิ่งของที่เป็นของอาสาวเธอนี่นา ถ้าเป็นคนอื่นเธอจะไม่ว่า แต่นี่เธอเป็นหลานของอิงฟ้าแล้วทำไมต้องห้าม
“แต่ฉันไม่ชอบ!!! ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่มย่ามกับของๆ อิงฟ้า”
“ทำไมจะยุ่งไม่ได้ พลับเป็นหลาน” พลับพลึงยังเถียง เธอต้องการเอาชนะถึงแม้จะไม่เคยชนะเขาได้มาหลายปีแล้วก็ตาม
เมื่อก่อนดรัณจะยอมลงให้เธอทุกครั้ง ไม่ว่าพลับพลึงต้องการอะไร เขาจะหาให้ได้ทุกอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เขาต้องการจากเธอ และมีเพียงเธอเท่านั้นที่ทำให้เขาได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ดรัณไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแล้วจริงๆ ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรอยู่ให้ไกลเขามากที่สุด เหมือนสิ่งมีชีวิตไร้ค่าเป็นแค่ขยะที่เน่าเหม็น เป็นสิ่งปฏิกูลที่ไม่ควรเข้าใกล้
“ถึงจะเป็นหลานก็ไม่ได้ ของๆ อิงฟ้าทุกชิ้นในบ้านหลังนี้ เธอจะแตะต้องไม่ได้ ฉันไม่สนใจว่าเธอจะเป็นใคร เป็นอะไรกับอิงฟ้า แค่ฉันไม่ต้องการให้เธอแตะต้องมันเท่านั้นพอ ออกไปได้แล้ว กลับไปไร่เธอซะพลับพลึง”
หญิงสาวปากคอสั่น น้อยใจที่ดรัณไล่เธออย่างกับหมูกับหมา เขาเปลี่ยนไปจนสุดขั้ว ข้อดีหายไปหมดเหลือแต่เพียงข้อเสียที่แก้ไม่หาย แต่อารัณก็ยังเป็นผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในหัวใจของเธออยู่ดี
“อารัณขี้ขลาดตาขาว อารัณขี้กลัว สิ่งที่อารัณเป็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำให้อารัณมีความสุขขึ้นมาเลย มีแต่จะทำให้อารัณทุกข์ขนัด แล้วคนที่จากไปเขาจะมีความสุขได้ยังไง ถ้าอารัณยังเห็นแก่ตัวแบบนี้”
“ใช่ ฉันมันเห็นแก่ตัว รักตัวเองแล้วไง ฉันเกลียดคนอื่น เกลียดทุกคนที่เข้ามาในบ้านของฉันแล้วไง มันหนักหัวเธอตรงไหน ออกไปจากบ้านของฉันเสียที”
ปากของพลับพลึงสั่นระริกจนต้องขบเม้มให้เป็นเส้นตรง ดวงตากลมตัดพ้อต่อว่าฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำเอ่อนอง จนคนมองรู้สึกผิด แต่ความรู้สึกนั้นก็เล็กน้อยจนไม่มีน้ำหนัก ดรัณก็ยังเป็นคนเย็นชาใจร้ายเหมือนเดิม
“ออกไปได้แล้ว หรือจะให้ฉันเหวี่ยงเธอออกไปฮึพลับพลึง”
หญิงสาวไม่ยอมให้เขาจับเธอโยนออกไปแน่ วันนี้คงเป็นวันซวยที่เธอเข้ามาเจอตอนอารมณ์ร้าย เขาอาจจะเหนื่อยมากพอเข้ามาเห็นเธอเล่นฟิตบอลโดยไม่ขออนุญาตก็เลยโกรธ แต่ไม่น่าจะโกรธมากมายขนาดนี้นี่นา อย่างน้อยหากอะไรๆ เปลี่ยนไปก็น่าจะคิดถึงอดีตที่เคยมีความสุขร่วมกันบ้าง เคยยิ้มเคยหัวเราะด้วยกัน ทำไมเขาถึงลืมมันไปได้
พลับพลึงตัดสินใจเดินสวนกระแทกไหล่กว้างออกไปอย่างฉุนเฉียว อยากกระแทกให้แรงกว่านี้ถ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บกว่าเดิม เธอย่ำเท้าเร็วๆ ออกไปนอกบ้านไม้ซุงหลังงาม เห็นเจ้าพายุซึ่งเป็นม้าหนุ่มแสนพยศสีดำทมิฬแต่จะเชื่องกับคนแค่สองคนเท่านั้นก็คือดรัณกับเธอ
หญิงสาวหันไปมองค้อนคนที่อยู่ในบ้านไม้ซุงอีกครั้ง เขาไม่เห็นหรอกแต่เธอก็อดไม่ได้ แล้วตรงดิ่งเข้าไปหาพายุก่อนสปริงตัวขึ้นขี่หลังมันอย่างง่ายดาย
“ไปกันเถอะพายุ พาฉันไปให้พ้นหน้าเจ้านายของแก เดี๋ยวเขาออกมาไม่เห็นแกคงคลั่ง ดีสมน้ำหน้าอยากไล่ฉันทำไมล่ะ” ว่าแล้วก็ควบเจ้าพายุออกไปกลางไร่องุ่นอิงฟ้า
“คุณกาญ ลูกเราไปไหน” พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เจ้าของไร่รุ่งโรจน์และเป็นบิดาของพลับพลึงถึงกับเอ่ยปากถามภรรยาเมื่อไม่เห็นบุตรสาวหลายชั่วโมงแล้ว
“ก็คงอยู่ที่ไร่อิงฟ้าเหมือนเคยนั่นแหละค่ะ ลูกเราน่ะดื้อ เตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟังนี่คะ”
“ผัวคิดถึงเมียจัง เมียจ๋า” พอกล้าหน่อยความคิดถึงก็ล้นทะลักเหมือนเขื่อนแตก อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นก่อนโน้มหน้าลงจูบปากเมียรักด้วยความคะนึงหา “ฤาษีตนนั้นหายไปแล้วหรือคะ” พลับพลึงยิ้มแก้มปริ ลูกช่วยรักษาพ่อได้จริงๆ สามีของเธอหายจากอาการหวาดกลัวแล้วสินะ “หายไปแล้วเพราะคิดถึงเมียรัก ให้ผัวรักเมียนะ ให้พ่อบอกรักแม่ ได้มั้ยลูก” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากลูกในท้อง แต่ดรัณและพลับพลึงก็แน่ใจว่าลูกต้องยินดี “ท้องพลับ 6 เดือนแล้ว ใหญ่พอจะไม่เป็นอันตรายแล้วนะ ถ้าจะรักพลับบ้าง” “ได้สิคะ ช่วยนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ คุณหมอว่าอย่างนั้น” ร่างสูงช้อนภรรยาขึ้นแล้วพาไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะช่วยปลดชุดคลุมท้องออกจากร่างอิ่มเปลือยเปล่า แม้ขณะท้องโตๆ พลับพลึงของเขาก็ยังสวย ผิวพรรณอิ่มเอิบนวลเนียนน่าสัมผัส ชายหนุ่มเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองแล้วทิ้งตัวนอนเคียงข้าง เขาจูบเมียสาวอย่างดูดดื่มโหยหา มือฟอนเฟ้นร่างอิ่มนวดคลึงทรวงงามอวบใหญ่มากขึ้นหนักๆ คิดถึงปานขาดใจ หญิงสาวจูบตอบอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน ลูบมือไปตามลำตัวหนาแกร่งของสามีอย่างรักใคร่ ล
เอากับเขาสิ เปลี่ยนเรื่องจริงจังให้กลายเป็นเรื่องชวนหัวไปได้หน้าตาเฉย แล้วพลับพลึงก็ยิ้มออกเสียด้วย คราวนี้เธอเป็นฝ่ายกอดเขา จูบปลายคางของเขาแล้วแถมด้วยแก้มทั้งสองข้าง แต่พอสามีจะกอดให้บ้างเธอกลับดันตัวออก “อย่ากอดแน่นนักนะคะ พลับอึดอัดและขี้ร้อนจริงๆ” “ทำไม เกิดอะไรขึ้น บอกอาซิ” พลับพลึงตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย เธอถอนใจแล้วสูดลมกระตุ้นกำลังใจให้ตัวเองเต็มปอด เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต “พลับ...ท้องค่ะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันนะคะ” สามีของเธอเงียบกริบ สีหน้ายิ้มๆ ดีใจก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกระดาษขาว เขาทิ้งมือลงสองข้างแล้วเซถอยหลังไปชนตู้กับข้าว พลับพลึงเห็นอาการนั้นก็หน้าเสีย ไม่คิดว่าสามีจะออกอาการขนาดนี้ให้เห็น ร่างของเขาสั่นเทิ้มคล้ายคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง เป็นผลให้เธอต้องพุ่งตัวเข้าไปประคองกลัวเขาจะล้มหงายตึงไปต่อหน้าต่อตา “อารัณ!!! เป็นอะไรไปคะ อารัณได้ยินพลับมั้ยคะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ อารัณขา...ได้ยินพลับมั้ยคะ” “ปล่อย ปล่อยอา” เพียงแค่เธอยอมปล่อยมือจากเขา ดรัณก็วิ่งหาห้องน้ำทันควัน เส
‘ฉันตอบเมล์พี่ชายสุดที่รักของฉันเมื่อหลายวันก่อน ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง และวันนี้เขาก็บินมาหาฉัน ฉันอับอายมากที่มีสภาพเหมือนผีให้พี่ชายเห็น ฉันไม่มีเงินมากพอจะเช่าอพาร์ตเม้นท์ดีๆ อยู่ แต่พพี่ชายของฉันก็ยังอุตส่าห์ให้เงินจำนวนมาก ฉันขอร้องให้เขาช่วยปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ เขาจึงขอร้องให้ฉันกลับบ้าน แลกกัน ฉันขอเวลารักษาตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้สักระยะ ซึ่งพี่ชายที่รักของฉันไม่ว่าอะไร ยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อสักระยะ ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน กลับไปกราบคุณแม่ กลับไปหาหลาน พลับพลึงหลานตัวน้อยโตขึ้นแค่ไหนแล้วนะ พี่ชายฉันหล่อ หลานฉันคงต้องสวยมากแน่ๆ เลย ฉันจะกลับไปหาทุกคน รอหน่อยนะครอบครัวที่รักของฉัน’ พลับพลึงปิดสมุดไดอารี่แค่นั้น เธอไม่อ่านอีกแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นยังไงไม่อยากรับรู้อีกแล้ว พอกันที! การอ่านไดอารี่อันเต็มไปด้วยความรู้สึกของอาสาว ทำให้หญิงสาวฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ถ้าอารัณไม่อยากมีลูกเพราะการตายของอาอิง เธอจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ อดีตจะถูกลบเลือน แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม เธอจะทำให้ได้ ไม่มีวันที่เธอจะคิดสั้นๆ
หญิงสาวถอนหายใจเอื่อยเฉื่อย เธอกำลังตัดสินใจว่าควรกลับไปบอกเรื่องลูกดีหรือไม่ เขาเคยบอกยังไม่พร้อมจะมีลูก สาเหตุเพราะอะไรเธอก็คิดว่ารู้แล้ว อารัณเผชิญกับความสูญเสียมานับครั้งไม่ถ้วน การสูญเสียเมียและลูกไปพร้อมกันก็เป็นเรื่องยากจะทำใจให้ลืม เธอเข้าใจดีทุกอย่างถึงต้องมานั่งถอนใจอยู่นี่ไง ร่างอวบอิ่มเดินเข้าไปในห้องหนังสือของคุณย่า เธอตั้งใจจะหาหนังสือธรรมะมาอ่านเป็นที่พึ่งของจิตใจ มือบางไล้ไปตามสันหนังสือหาเล่มที่อยากอ่าน แต่แล้วสายตาก็เหลือบขึ้นไปเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ข้างบนสุดของชั้นหนังสือ ร่างอวบอิ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใบนั้นลงมาอย่างทุลักทุเลเนื่องจากความสูงที่ต้องเขย่งปลายเท้าแล้วเหยียดแขนให้ตรงถึงจะหยิบได้ กล่องใบนั้นขนาดไม่ใหญ่และไม่หนักถูกยกลงมาปัดฝุ่นออกแล้วเปิดดูข้างใน ภายในมีรูปของอาอิงฟ้าหลายรูป เป็นรูปที่ถ่ายในต่างประเทศทั้งหมด ว่าที่คุณแม่มือใหม่ทอดสายตามองรูปถ่ายแต่ละรูปอย่างสังเกต อาอิงเป็นคนสวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รูปหลังๆ ก็เหมือนอาอิงจะสวยขึ้น อวบขึ้นด้วย อวบเหมือน...เธอในตอนนี้ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อสายตาปะทะ
แม่เลี้ยงกาญจนาเคยคิดจะบอกลูกสาวเพราะถึงยังไงอิงฟ้าก็เป็นอาแท้ๆ ของเธอ ลูกในท้องของอิงฟ้าก็คือหลานแท้ๆ ของเธอ แต่สามีสั่งห้ามด้วยเห็นใจอดีตน้องเขยของตน ดังนั้นทุกคนจึงพากันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอยู่ในใจ เวลาผ่านพ้นไปก็ยังไม่มีใครพลั้งปากพูดให้พลับพลึงได้ยิน “เห็นทีคงต้องบอกแดนนี่แล้วล่ะ ผมคิดว่าแดนนี่แข็งแกร่งพอจะรับเรื่องนี้ไหว แม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม” “น่าเห็นใจนายรัณนะคะ เขาตามหาเมียไม่เจอเสียที นี่ก็เห็นว่ากินแต่เหล้าจนเมาไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ร่างกายผ่ายผอมจนน่าเป็นห่วงว่าจะทรุดเอาดื้อๆ” แม่เลี้ยงกาญจนาเห็นใจลูกเขยมาก ทั้งสงสารและเห็นใจ แต่ยังต้องลุ้นว่าหากดรัณรู้จะเป็นยังไงต่อ “ถ้างั้นเดี๋ยวรอแดนนี่ลงมา พวกเราก็บอกแกพร้อมกันดีมั้ยคะ” คุณดวงหทัยตัดสินใจ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ทว่า...ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยขวดเหล้า ร่างสูงผ่ายผอมซูบลงไปมากกำลังสร่างเมาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.หานักสืบเอกชนที่เขาจ้างวานให้ตามหาเมียรักให้เจอ “ได้เรื่องหรือยัง” “อ้อ...พ่อเลี้ยงโทร.มาพอด
“เมื่อเช้าดิฉันได้ยินเสียงคุณหนูอาเจียนนะคะคุณท่าน อาการเหมือนคนท้องเลยค่ะ” ทิพามารดาของกรรชัยตั้งข้อสังเกต คุณย่าขมวดคิ้ว คนแต่งงานมีครอบครัวจะตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นแปลก แต่ตอนนี้พ่อของเด็กยังไม่รู้เลยว่าเมียอยู่ไหน ถ้าพลับพลึงท้องจริงๆ เรื่องที่คิดจะปิดบังจนกว่าหลานเขยจะตามหาเมียเจอ ก็คงต้องมีคนยื่นมือเข้าช่วยเสียแล้ว ไม่งั้นจะเป็นการพรากลูกพรากพ่อเสียเปล่าๆ ทว่า...คุณย่ายังไม่ลืมอดีตของหลานเขย ท่านจึงไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาดีใจหรือเสียใจกัน “พายัยพลับไปโรงพยาบาลที ไปทั้งๆ ไม่มีแรงอย่างนี้แหละดี ยัยพลับกลัวโรงพยาบาลจะได้ดื้อไม่ออก” สิ้นคำสั่งคุณย่า กรรชัยก็เป็นคนขับรถพาหญิงสาวและคุณย่าไปโรงพยาบาล ผลการตรวจออกมาเป็นไปตามที่คิด พลับพลึงท้อง!!!พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เดินตามหาภรรยาทั่วไร่เพื่อจะบอกข่าวสำคัญข่าวด่วนของบุคคลอันเป็นที่รักคนหนึ่งให้บุคคลอันเป็นที่รักอีกคนได้ฟัง ร่างสูงหนาก้าวยาวๆ เร่งรีบเท่าที่จะทำได้ถามหาภรรยาสุดที่รักกับทุกคนที่เจอหน้า เกือบทุกคนชี้บอกไปในทิศทางเดียวกัน พ่อเลี้ยงก็แทบจะวิ่งตรงไปหาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความยินดี