แม่เลี้ยงกาญจนาถึงกับส่ายหน้าเมื่อพูดถึงบุตรสาวคนสวยเพียงคนเดียวของตน พลับพลึงไม่ใช่เด็กดื้ออย่างที่พูดหรอก เพียงแต่เธอมักจะทำอะไรโดยขาดความไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง นึกจะทำก็ทำ ทว่าพลับพลึงก็เป็นเด็กฉลาด ออกจะฉลาดแกมโกงเสียด้วยซ้ำในบางครั้ง ความซุกซนก็ต้องมีบ้างตามประสาเด็กสาวแรกรุ่น วัย 21 ปี สำหรับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงแล้วยังถือว่าเด็กอยู่มาก เป็นเด็กวัยรุ่นที่มักจะทำอะไรตามอำเภอใจ เรียกร้องเอาแต่ใจให้ได้ทุกอย่างที่ต้องการ
เมื่อ 5 ปีก่อน พลับพลึงขอเข้าเรียนในโรงเรียนประจำซึ่งเป็นโรงเรียนคอนแวนต์หญิงล้วน เธอเป็นเด็กเรียนเก่ง สามารถเรียนจบเพื่อจะต่อในระดับชั้นอุดมศึกษาในเวลาเพียง 2 ปี หลังจากนั้นเธอก็ขออนุญาตไปเรียนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และอยู่หอพักจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา เธอตั้งใจเรียนเหมือนจะรีบเรียนให้จบด้วยคะแนนดีเยี่ยม เพียง 3 ปีกว่า เธอก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
เมื่อเรียนจบ พลับพลึงก็กลับมาช่วยงานที่บ้านโดยบอกว่า ขอช่วยงานในไร่ให้สนุกเต็มที่ก่อนจะหางานทำที่ตรงกับสาขาที่เรียนมา เธอเรียนจบศิลปะศาสตร์เอกวิชามัณฑนศิลป์ เมื่อจบออกมาก็ตั้งใจจะเป็นมัณฑนากรสาวซึ่งชื่นชอบการวาดรูปเป็นงานอดิเรก ฝีมือของเธอยังไม่เข้าขั้นเป็นได้แค่จิตรกรฝึกหัดและยังต้องพัฒนาฝีมืออีกมาก ไม่ว่าเธอจะเรียนอะไรคุณพ่อกับคุณแม่ก็ยินดีส่งเสียอยู่แล้ว
“พ่อเลี้ยงดรัณไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ลูกเราเข้านอกออกในบ้านเขาเหมือนเก่าจะดูไม่งามนะคุณ”
พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เป็นห่วงกลัวจะมีคนครหาบุตรสาว ถ้าเป็นก่อน 5 ปีที่ผ่านมา เขาก็คงจะไม่นึกห่วงขนาดนี้ เพราะดรัณเป็นคนจิตใจดี อ่อนโยนและน่าคบหา มีทั้งพระเดชและพระคุณที่ใครๆ ต่างก็ยอมก้มหัวให้ ตอนนี้พระเดชพระคุณของพ่อเลี้ยงหนุ่มก็ยังคงอยู่ แต่สภาพทางจิตใจที่เปลี่ยนไปสุดขั้วก็ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ของหญิงสาวนึกขยาด ดรัณคนนี้ร้ายกาจเขาอยู่ในร่างเทพบุตรก็จริงแต่จิตใจของเขาคืออสูร
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้งคะ ถึงยังไงพ่อเลี้ยงดรัณก็ยังเป็นคนเดิม แม้อะไรๆ จะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือก็เถอะค่ะ ดรัณคงไม่ทำร้ายลูกเราหรอกนะคะ”
“ไม่แน่หรอกคุณ หมอนั่นมันเคยมองใครในแง่ดีสักที่ไหน ตั้งแต่ยัยอิงจากไป สายตาและจิตใจของหมอนั่นก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ผมเป็นห่วงกลัวยัยพลับจะโดนลูกหลง ลูกเราเพิ่งจะเรียนจบกลับมาไม่นาน แทนที่จะช่วยงานในไร่อย่างที่บอกไว้ กลายเป็นไปขลุกอยู่แต่ในไร่อิงฟ้า เป็นผู้หญิงไปอยู่กับผู้ชายเป็นวันๆ คนจะครหาได้นะ”
“ปล่อยลูกเถอะค่ะ ดิฉันว่าลูกคงอยากอยู่ใกล้ดรัณเหมือนเมื่อก่อน”
“เมื่อก่อนน่ะยัยพลับยังเด็ก แต่ตอนนี้ลูกเราโตเป็นสาวสวยสะพรั่งแล้วนะ ที่สำคัญผมเคยเห็นสายตาที่ยัยพลับมองไร่อิงฟ้า มันดูแปลกๆ ยังไงชอบกล”
“ยัยพลับก็คงคิดถึงอาอิงของแกกระมังคะ” แม่เลี้ยงกาญจนาคิดในด้านดีไว้ก่อน
“ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็คงไม่คิดมาก แต่กลัวว่าสายตาของยัยพลับจะไม่ได้มองแค่ไร่อิงฟ้า หรือแม้แต่คิดถึงยัยอิงน่ะสิ ถ้าลูกเราจะมองเลยไปถึงใครอีกคนที่อยู่ในไร่นั้นด้วย เราจะทำยังไงดี”
เรื่องนี้อย่าว่าแต่สามีจะคิดเลย กาญจนาผู้เป็นภรรยาก็คิด ใช่ว่าจะชอบให้บุตรสาวเทียวเข้าออกไร่อิงฟ้าเหมือนบ้านของตน ทั้งที่ตอนนี้ไม่มีอาสาวอยู่ที่นั่นอีกแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้จะออกปากห้ามจริงๆ จังๆ ก็กระไรอยู่ ถึงยังไงดรัณก็เปรียบเสมือนญาติของคนในตระกูลโรจนศุภเกียรติ
“ดิฉันว่าเราอย่าเพิ่งคิดกันไปไกลเลยนะคะ พ่อเลี้ยงดรัณอาจจะใจดีกับพลับพลึงก็ได้ เขาอาจจะใจร้ายกับคนอื่นแต่กับลูกของเราเขาคงใจดีด้วย ไม่งั้นยัยพลับจะเทียวเข้าเทียวออกหรือคะ คุณอย่าคิดมากเลยนะคะ สองคนนั่นเขาสนิทสนมกันมานานตั้งแต่คุณซื้อที่ดินผืนนี้แล้วนะคะ สิบกว่าปีมันก็นานมากอยู่นะคะ ดรัณคงจะเอ็นดูยัยพลับเหมือนลูกเหมือนหลาน”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิคุณ ผมเป็นพ่อก็ห่วงลูก เอาเถอะ ผมจะเชื่อคุณก็แล้วกัน ว่าแต่วันนี้คุณจะเข้าเมืองหรือเปล่า ถ้าไป ผมจะไปด้วย ไม่ได้ไปไหนกับคุณนานแล้ว”
อยู่ๆ พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์ก็ทำตาเชื่อมใส่ศรีภรรยาแบบที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก แม่เลี้ยงกาญจนาออกอาการเขินอายปรับสีหน้าไม่ทัน ก็แสร้งหยิกหมับเข้าไปบนท่อนแขนล่ำแล้วสะบัดค้อนให้หนึ่งที ทำเอาสามีหัวเราะชอบใจจนอกหนากระเพื่อมแล้วเกี่ยวเอาภรรยาเดินตรงไปที่รถ โดยไม่รอฟังคำตอบว่าคนที่กอดน่ะอยากไปหรือเปล่า
“พายุไปไหน ใครเอาพายุไปวะ!!!”
เมื่อออกมาไม่เห็นเจ้าม้าหนุ่มสีนิลเหมือนสีตาของเจ้าของ ดรัณก็ออกอาการโกรธจนลมออกหู เขาตะโกนเสียงลั่นโหวกเหวกโวยวายจนไม่อยากมีใครเข้าไปตอบคำถามใกล้ๆ เจอใครเดินผ่านพ่อเลี้ยงหนุ่มก็ถามหากับทุกคน หลายคนที่ส่ายหน้าแล้วเดินหนี อารมณ์แบบนี้คนงานในไร่ไม่อยากสู้สายตาสักเท่าไหร่
“เฮ้ย! จะหลบตากันทำไม ใครไม่ตอบจะโดนหักเงินเดือนทั้งเดือน”
คราวนี้นายแดง หนึ่งในคนงานต้องตาลีตาเหลือกเข้ามาตอบ
“อยู่ในไร่ครับพ่อเลี้ยง”
“ในไร่? ฉันอยู่ที่นี่แล้วใครมันเอาไป อย่าบอกนะว่าเจ้าพายุมันเข้าไปเองน่ะ”
“เอ่อ...มีคนขี่เจ้าพายุไปครับ” นายแดงอ้อมแอ้มตอบ สงสารคนขี่ม้าตัวโปรดของเจ้านายก็สงสาร ถ้าพ่อเลี้ยงรู้ว่าใครขี่ไปเป็นได้เกิดเรื่องแน่ ทว่าถ้าไม่บอกความซวยก็คงมาเยือน แอบขอโทษขอโพยคุณหนูพลับพลึงอยู่ในใจ แล้วค่อยตอบคนหน้าดุโมโหจนหนวดงามๆ กระดิกดิ๊กๆ
“ใครวะ ใครมันกล้าขี่เจ้าพายุ เจ้าพายุมันไม่ยอมให้ใครขึ้นขี่ง่ายๆ นี่หว่า”
“เอ่อ...คุณหนูพลับพลึงครับ ผมเห็นเธอขี่พายุเข้าไปในไร่ ตอนนี้ก็คงยังอยู่ที่เดิมล่ะครับ”
ดรัณขบกรามกรอด เขาน่าจะคิดได้ตั้งแต่ทีแรกตอนไม่เห็นพายุแล้ว มันไม่เคยยอมให้ใครขึ้นขี่นอกจากเขาและ...เด็กคนนั้น แม้แต่อิงฟ้าก็ยังขึ้นขี่หลังมันไม่ได้
“ผัวคิดถึงเมียจัง เมียจ๋า” พอกล้าหน่อยความคิดถึงก็ล้นทะลักเหมือนเขื่อนแตก อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นก่อนโน้มหน้าลงจูบปากเมียรักด้วยความคะนึงหา “ฤาษีตนนั้นหายไปแล้วหรือคะ” พลับพลึงยิ้มแก้มปริ ลูกช่วยรักษาพ่อได้จริงๆ สามีของเธอหายจากอาการหวาดกลัวแล้วสินะ “หายไปแล้วเพราะคิดถึงเมียรัก ให้ผัวรักเมียนะ ให้พ่อบอกรักแม่ ได้มั้ยลูก” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากลูกในท้อง แต่ดรัณและพลับพลึงก็แน่ใจว่าลูกต้องยินดี “ท้องพลับ 6 เดือนแล้ว ใหญ่พอจะไม่เป็นอันตรายแล้วนะ ถ้าจะรักพลับบ้าง” “ได้สิคะ ช่วยนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ คุณหมอว่าอย่างนั้น” ร่างสูงช้อนภรรยาขึ้นแล้วพาไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะช่วยปลดชุดคลุมท้องออกจากร่างอิ่มเปลือยเปล่า แม้ขณะท้องโตๆ พลับพลึงของเขาก็ยังสวย ผิวพรรณอิ่มเอิบนวลเนียนน่าสัมผัส ชายหนุ่มเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองแล้วทิ้งตัวนอนเคียงข้าง เขาจูบเมียสาวอย่างดูดดื่มโหยหา มือฟอนเฟ้นร่างอิ่มนวดคลึงทรวงงามอวบใหญ่มากขึ้นหนักๆ คิดถึงปานขาดใจ หญิงสาวจูบตอบอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน ลูบมือไปตามลำตัวหนาแกร่งของสามีอย่างรักใคร่ ล
เอากับเขาสิ เปลี่ยนเรื่องจริงจังให้กลายเป็นเรื่องชวนหัวไปได้หน้าตาเฉย แล้วพลับพลึงก็ยิ้มออกเสียด้วย คราวนี้เธอเป็นฝ่ายกอดเขา จูบปลายคางของเขาแล้วแถมด้วยแก้มทั้งสองข้าง แต่พอสามีจะกอดให้บ้างเธอกลับดันตัวออก “อย่ากอดแน่นนักนะคะ พลับอึดอัดและขี้ร้อนจริงๆ” “ทำไม เกิดอะไรขึ้น บอกอาซิ” พลับพลึงตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย เธอถอนใจแล้วสูดลมกระตุ้นกำลังใจให้ตัวเองเต็มปอด เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต “พลับ...ท้องค่ะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันนะคะ” สามีของเธอเงียบกริบ สีหน้ายิ้มๆ ดีใจก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกระดาษขาว เขาทิ้งมือลงสองข้างแล้วเซถอยหลังไปชนตู้กับข้าว พลับพลึงเห็นอาการนั้นก็หน้าเสีย ไม่คิดว่าสามีจะออกอาการขนาดนี้ให้เห็น ร่างของเขาสั่นเทิ้มคล้ายคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง เป็นผลให้เธอต้องพุ่งตัวเข้าไปประคองกลัวเขาจะล้มหงายตึงไปต่อหน้าต่อตา “อารัณ!!! เป็นอะไรไปคะ อารัณได้ยินพลับมั้ยคะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ อารัณขา...ได้ยินพลับมั้ยคะ” “ปล่อย ปล่อยอา” เพียงแค่เธอยอมปล่อยมือจากเขา ดรัณก็วิ่งหาห้องน้ำทันควัน เส
‘ฉันตอบเมล์พี่ชายสุดที่รักของฉันเมื่อหลายวันก่อน ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง และวันนี้เขาก็บินมาหาฉัน ฉันอับอายมากที่มีสภาพเหมือนผีให้พี่ชายเห็น ฉันไม่มีเงินมากพอจะเช่าอพาร์ตเม้นท์ดีๆ อยู่ แต่พพี่ชายของฉันก็ยังอุตส่าห์ให้เงินจำนวนมาก ฉันขอร้องให้เขาช่วยปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ เขาจึงขอร้องให้ฉันกลับบ้าน แลกกัน ฉันขอเวลารักษาตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้สักระยะ ซึ่งพี่ชายที่รักของฉันไม่ว่าอะไร ยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อสักระยะ ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน กลับไปกราบคุณแม่ กลับไปหาหลาน พลับพลึงหลานตัวน้อยโตขึ้นแค่ไหนแล้วนะ พี่ชายฉันหล่อ หลานฉันคงต้องสวยมากแน่ๆ เลย ฉันจะกลับไปหาทุกคน รอหน่อยนะครอบครัวที่รักของฉัน’ พลับพลึงปิดสมุดไดอารี่แค่นั้น เธอไม่อ่านอีกแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นยังไงไม่อยากรับรู้อีกแล้ว พอกันที! การอ่านไดอารี่อันเต็มไปด้วยความรู้สึกของอาสาว ทำให้หญิงสาวฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ถ้าอารัณไม่อยากมีลูกเพราะการตายของอาอิง เธอจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ อดีตจะถูกลบเลือน แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม เธอจะทำให้ได้ ไม่มีวันที่เธอจะคิดสั้นๆ
หญิงสาวถอนหายใจเอื่อยเฉื่อย เธอกำลังตัดสินใจว่าควรกลับไปบอกเรื่องลูกดีหรือไม่ เขาเคยบอกยังไม่พร้อมจะมีลูก สาเหตุเพราะอะไรเธอก็คิดว่ารู้แล้ว อารัณเผชิญกับความสูญเสียมานับครั้งไม่ถ้วน การสูญเสียเมียและลูกไปพร้อมกันก็เป็นเรื่องยากจะทำใจให้ลืม เธอเข้าใจดีทุกอย่างถึงต้องมานั่งถอนใจอยู่นี่ไง ร่างอวบอิ่มเดินเข้าไปในห้องหนังสือของคุณย่า เธอตั้งใจจะหาหนังสือธรรมะมาอ่านเป็นที่พึ่งของจิตใจ มือบางไล้ไปตามสันหนังสือหาเล่มที่อยากอ่าน แต่แล้วสายตาก็เหลือบขึ้นไปเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ข้างบนสุดของชั้นหนังสือ ร่างอวบอิ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใบนั้นลงมาอย่างทุลักทุเลเนื่องจากความสูงที่ต้องเขย่งปลายเท้าแล้วเหยียดแขนให้ตรงถึงจะหยิบได้ กล่องใบนั้นขนาดไม่ใหญ่และไม่หนักถูกยกลงมาปัดฝุ่นออกแล้วเปิดดูข้างใน ภายในมีรูปของอาอิงฟ้าหลายรูป เป็นรูปที่ถ่ายในต่างประเทศทั้งหมด ว่าที่คุณแม่มือใหม่ทอดสายตามองรูปถ่ายแต่ละรูปอย่างสังเกต อาอิงเป็นคนสวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รูปหลังๆ ก็เหมือนอาอิงจะสวยขึ้น อวบขึ้นด้วย อวบเหมือน...เธอในตอนนี้ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อสายตาปะทะ
แม่เลี้ยงกาญจนาเคยคิดจะบอกลูกสาวเพราะถึงยังไงอิงฟ้าก็เป็นอาแท้ๆ ของเธอ ลูกในท้องของอิงฟ้าก็คือหลานแท้ๆ ของเธอ แต่สามีสั่งห้ามด้วยเห็นใจอดีตน้องเขยของตน ดังนั้นทุกคนจึงพากันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอยู่ในใจ เวลาผ่านพ้นไปก็ยังไม่มีใครพลั้งปากพูดให้พลับพลึงได้ยิน “เห็นทีคงต้องบอกแดนนี่แล้วล่ะ ผมคิดว่าแดนนี่แข็งแกร่งพอจะรับเรื่องนี้ไหว แม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม” “น่าเห็นใจนายรัณนะคะ เขาตามหาเมียไม่เจอเสียที นี่ก็เห็นว่ากินแต่เหล้าจนเมาไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ร่างกายผ่ายผอมจนน่าเป็นห่วงว่าจะทรุดเอาดื้อๆ” แม่เลี้ยงกาญจนาเห็นใจลูกเขยมาก ทั้งสงสารและเห็นใจ แต่ยังต้องลุ้นว่าหากดรัณรู้จะเป็นยังไงต่อ “ถ้างั้นเดี๋ยวรอแดนนี่ลงมา พวกเราก็บอกแกพร้อมกันดีมั้ยคะ” คุณดวงหทัยตัดสินใจ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ทว่า...ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยขวดเหล้า ร่างสูงผ่ายผอมซูบลงไปมากกำลังสร่างเมาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.หานักสืบเอกชนที่เขาจ้างวานให้ตามหาเมียรักให้เจอ “ได้เรื่องหรือยัง” “อ้อ...พ่อเลี้ยงโทร.มาพอด
“เมื่อเช้าดิฉันได้ยินเสียงคุณหนูอาเจียนนะคะคุณท่าน อาการเหมือนคนท้องเลยค่ะ” ทิพามารดาของกรรชัยตั้งข้อสังเกต คุณย่าขมวดคิ้ว คนแต่งงานมีครอบครัวจะตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นแปลก แต่ตอนนี้พ่อของเด็กยังไม่รู้เลยว่าเมียอยู่ไหน ถ้าพลับพลึงท้องจริงๆ เรื่องที่คิดจะปิดบังจนกว่าหลานเขยจะตามหาเมียเจอ ก็คงต้องมีคนยื่นมือเข้าช่วยเสียแล้ว ไม่งั้นจะเป็นการพรากลูกพรากพ่อเสียเปล่าๆ ทว่า...คุณย่ายังไม่ลืมอดีตของหลานเขย ท่านจึงไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาดีใจหรือเสียใจกัน “พายัยพลับไปโรงพยาบาลที ไปทั้งๆ ไม่มีแรงอย่างนี้แหละดี ยัยพลับกลัวโรงพยาบาลจะได้ดื้อไม่ออก” สิ้นคำสั่งคุณย่า กรรชัยก็เป็นคนขับรถพาหญิงสาวและคุณย่าไปโรงพยาบาล ผลการตรวจออกมาเป็นไปตามที่คิด พลับพลึงท้อง!!!พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เดินตามหาภรรยาทั่วไร่เพื่อจะบอกข่าวสำคัญข่าวด่วนของบุคคลอันเป็นที่รักคนหนึ่งให้บุคคลอันเป็นที่รักอีกคนได้ฟัง ร่างสูงหนาก้าวยาวๆ เร่งรีบเท่าที่จะทำได้ถามหาภรรยาสุดที่รักกับทุกคนที่เจอหน้า เกือบทุกคนชี้บอกไปในทิศทางเดียวกัน พ่อเลี้ยงก็แทบจะวิ่งตรงไปหาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความยินดี