พลับพลึง!!
ร่างสูงใหญ่แต่ปราดเปรียวของคนหน้าเข้มดุไว้หนวดงามเข้ากับหน้าเดินลิ่วไปยังรถกระบะ 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เหมาะสำหรับขับในไร่ให้ฝุ่นตลบ กระชากประตูเปิดแล้วดีดตัวขึ้นไปก่อนเหยียบคันเร่งออกตัวจนล้อฟรี
“ไร่แตกก็คราวนี้” นายแดงพึมพำส่ายหน้าอย่างรู้ถึงชะตาของสาวน้อย
“คุณหนูครับ แดดแรงขนาดนี้ผมว่าไปยืนหลบใต้เงาไม้ดีกว่าครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” แสงแดดจ้าในตอนบ่ายทำให้หัวหน้าคนงานในไร่อิงฟ้าอย่างวีกิจต้องเตือนสาวน้อยอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่กิจ พลับทำได้ งานแค่นี้สบายมาก” งานแค่นี้ของพลับพลึงก็คือช่วยคนงานทับกิ่งขยายพันธุ์องุ่นในแปลงใหม่
“ถึงคุณหนูจะสวมหมวก แต่ที่แปลงนี้มันร้อนมากนะครับ ถ้าจะช่วยจริงๆ ผมจะพาไปแปลงที่ใกล้จะออกผลดีไหมครับ” วีกิจหมายถึงแปลงองุ่นที่กำลังเลื้อยบนค้างเป็นหลังคาให้คนไปหลบแดดได้ดี
“ที่นั่นไม่ยุ่งเหมือนที่นี่แล้ว พี่กิจไม่ต้องห่วงพลับหรอกค่ะ อยู่เฉยๆ ก็น่าเบื่อ ไร่ของพลับก็ไม่มีอะไรให้ทำเพราะองุ่นใกล้จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว ไม่ต้องดูแลมากเท่าไหร่ คนงานของคุณพ่อก็ตั้งแยะ พลับมาช่วยพี่กิจดีกว่า งานตรงนี้เร่งกว่าไม่ใช่หรือคะ” พลับพลึงอธิบาย เป็นคำอธิบายที่ทำให้วีกิจส่ายหน้ายิ้มๆ เพราะดูเหมือนเธอจะหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองมากกว่าจะอยากให้เขารู้จริงๆ
“เรื่องนี้ผมคงห้ามคุณหนูไม่ได้ แต่ว่า...เรื่องเจ้าพายุ...”
“ทำไมคะ เจ้าพายุมันน่ารักจะตาย”
“ผมไม่ได้หมายถึงเจ้าพายุครับ แต่เป็น...เอ่อ...มาโน่นแล้ว”
ไม่ทันขาดคำ เสียงห้าวห้วนกระด้างหยาบคายก็ดังขึ้น
“เธอมีสิทธิ์อะไรถึงขโมยเจ้าพายุมาที่นี่”
พลับพลึงดันปีกหมวกกว้างให้เริ่ดขึ้นเพื่อมองคนตัวโตหน้าดุกระโดดลงจากรถคันโต แล้วแทบกระโจนเข้ามาเค้นคอเธอ
“พลับไม่ได้ขโมยนะคะ แค่ขอยืม”
“ขอยืมกับใครไม่ทราบ”
ไม่กี่ก้าว ร่างสูงใหญ่ก็เข้ามายืนตรงหน้าให้ต้องเงยคอขึ้นมอง วีกิจเห็นท่าไม่ดีก็ออกตัวแทนสาวน้อย
“คุณหนูกำลังจะเอาไปคืนพ่อเลี้ยงน่ะครับ”
“ใครถาม?” เจอคำถามย้อนเข้าให้วีกิจก็ต้องหลบตาวูบ
“พลับตะโกนขออารัณแล้วนะคะก่อนจะขี่มันออกมา แล้วก็คิดว่าจะเอาไปคืนก่อนอารัณจะออกมา”
“ตะโกนขอ? มารยาททรามมากๆ เลยนะพลับพลึง ไล่ก็ไม่ไปแถมยังจะขโมยของคนอื่นอีก นี่มาสร้างความวุ่นวายหนักใจให้นายกิจทำไม งานในไร่โน้นไม่มีให้ทำหรือไง”
ดรัณโมโหที่เธอขี่เจ้าพายุออกมาโดยไม่ขออนุญาต แต่ยิ่งโมโหมากขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับหัวหน้าคนงานของเขา งานการที่ไร่ไม่รู้จักทำกลับมายั่วผู้ชายในไร่อื่น
“ที่ไร่โน้นไม่มีอะไรให้ทำค่ะ” พลับพลึงปดคำโต “พลับเห็นว่าพี่กิจงานยุ่งก็เลยมาช่วย”
“มาช่วยหรือมาอ่อยเหยื่อ นอกจากเธอจะยั่วขึ้นขี่หลังพายุได้แล้ว ยังคิดจะยั่ววีกิจอีกเหรอ หน้าด้านจริงๆ”
พลับพลึงไม่คิดว่าจะถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงขนาดนี้ อารัณของเธอเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ผู้ชายไร้เหตุผลตรงหน้าไม่ใช่อารัณที่เธอรู้จักและยกย่องเทิดทูน
“จะมากไปแล้วนะคะ อารัณไม่มีสิทธิ์จะว่าพลับแบบนี้”
“ทำไมจะว่าไม่ได้ คนที่เหยียบบนผืนดินของไร่อิงฟ้าต้องอยู่ในอาณัติของฉันทั้งหมด แล้วตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ในไร่ของฉัน ทำไมเจ้าของไร่อย่างฉันจะว่าเธอไม่ได้ ไม่อยากให้ว่าก็กลับไปไร่ของเธอซะ แล้วอย่าเสนอหน้ามาที่นี่อีก”
“อารัณ!!! พลับไม่มีอะไรดีเลยใช่ไหมคะในสายตาของอารัณน่ะ” เธอมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อเต็มกำลัง เจ็บช้ำดวงใจที่ยังพิศวาสเขาไม่คลาย ถึงจะโดนดูหมิ่นแค่ไหนเธอก็ยังหน้าด้านเข้ามาในไร่อิงฟ้าเพียงเพราะต้องการจะเห็นหน้าเขาอย่างที่เขาบอกนั่นแหละ
“ผู้หญิงแก่นกะโหลกกะลาอย่างเธอ ไม่อยู่ในสายตาของฉันหรอกพลับพลึง ถึงเธอจะเป็นขวัญใจของผู้ชายกลัดมันก็เถอะ”
“แม้แต่ในฐานะ...หลาน ก็ไม่ได้หรือคะ”
“แน่นอน ลูกหลานของฉันจะต้องว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อ พูดจากันรู้เรื่อง น่ารักอ่อนหวานเหมือนผ้าพับไว้ ไม่ใช่วิ่งโร่มาหาผู้ชายกลัดมันถึงในไร่แบบนี้”
“ทำไมต้องว่าพลับแรงขนาดนี้ด้วย พลับไปทำอะไรให้อารัณกัน ทำไมอารัณต้องรังเกียจพลับขนาดนี้ ทีเมื่อก่อน...”
“อย่าพูดถึงอดีต สำหรับฉันอดีตคือสิ่งที่ฉันอยากลืมทั้งหมด”
“แต่ไม่เคยลืมได้สักที เพราะถ้าลืมอารัณจะไม่เป็นแบบนี้”
“อย่าทำมารู้ดีหน่อยเลย เธอเพิ่งจะกลับมาไม่นานจะไปรู้อะไร จะออกไปจากไร่ของฉันได้หรือยัง”
ทุกครั้งที่พลับพลึงต้องปะทะอารมณ์กับดรัณ เธอไม่เคยจะรู้สึกเหนื่อยใจได้ขนาดนี้ ทว่าครั้งนี้มันรุนแรงเกินไป เขาทำเหมือนรังเกียจผู้หญิงทุกคน ไม่อยากเห็นหน้าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหน ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเคยเป็นคนที่เขากอดและหอมแก้มบ่อยๆ หรือแม้แต่จะอุ้มชูขึ้นสูงๆ ก็ทำมาแล้ว
ทำไม?
“พลับไม่ออก” พลับพลึงอยากดื้อให้ถึงที่สุด เธอต่อต้านเต็มที่จะปักหลักอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าเขาจะไล่ราวหมูกับหมาด้วยวาจารุนแรงขนาดฟังไม่ได้ เธอก็จะทน
“หน้าด้าน วันนี้ฉันไล่เธอกี่ครั้งแล้วฮึ เธอก็หน้าด้านยังทนอยู่เพื่ออะไร อ้อ...ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการสินะ อยากได้นักก็บอกพ่อกับแม่เธอมาสู่ขอนายกิจให้เรียบร้อยซะสิ แล่นมาแล่นไปแบบนี้เดี๋ยวก็ป่องขึ้นมาได้งามหน้างามตระกูลกันบ้าง”
“เพียะ!!!” หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าสะบัดมือใส่หน้าเขาได้อย่างไร เธอตั้งใจแล้วว่าจะอดทนให้ได้ ทนให้เขาเป็นฝ่ายเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดไปเอง แต่มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติร่างกายทุกส่วนเกร็งจนกระตุกแล้วเผลอสะบัดมือเต็มแรงจนหน้าคมเข้มแดงเถือก
“ผัวคิดถึงเมียจัง เมียจ๋า” พอกล้าหน่อยความคิดถึงก็ล้นทะลักเหมือนเขื่อนแตก อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นก่อนโน้มหน้าลงจูบปากเมียรักด้วยความคะนึงหา “ฤาษีตนนั้นหายไปแล้วหรือคะ” พลับพลึงยิ้มแก้มปริ ลูกช่วยรักษาพ่อได้จริงๆ สามีของเธอหายจากอาการหวาดกลัวแล้วสินะ “หายไปแล้วเพราะคิดถึงเมียรัก ให้ผัวรักเมียนะ ให้พ่อบอกรักแม่ ได้มั้ยลูก” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากลูกในท้อง แต่ดรัณและพลับพลึงก็แน่ใจว่าลูกต้องยินดี “ท้องพลับ 6 เดือนแล้ว ใหญ่พอจะไม่เป็นอันตรายแล้วนะ ถ้าจะรักพลับบ้าง” “ได้สิคะ ช่วยนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ คุณหมอว่าอย่างนั้น” ร่างสูงช้อนภรรยาขึ้นแล้วพาไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะช่วยปลดชุดคลุมท้องออกจากร่างอิ่มเปลือยเปล่า แม้ขณะท้องโตๆ พลับพลึงของเขาก็ยังสวย ผิวพรรณอิ่มเอิบนวลเนียนน่าสัมผัส ชายหนุ่มเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองแล้วทิ้งตัวนอนเคียงข้าง เขาจูบเมียสาวอย่างดูดดื่มโหยหา มือฟอนเฟ้นร่างอิ่มนวดคลึงทรวงงามอวบใหญ่มากขึ้นหนักๆ คิดถึงปานขาดใจ หญิงสาวจูบตอบอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน ลูบมือไปตามลำตัวหนาแกร่งของสามีอย่างรักใคร่ ล
เอากับเขาสิ เปลี่ยนเรื่องจริงจังให้กลายเป็นเรื่องชวนหัวไปได้หน้าตาเฉย แล้วพลับพลึงก็ยิ้มออกเสียด้วย คราวนี้เธอเป็นฝ่ายกอดเขา จูบปลายคางของเขาแล้วแถมด้วยแก้มทั้งสองข้าง แต่พอสามีจะกอดให้บ้างเธอกลับดันตัวออก “อย่ากอดแน่นนักนะคะ พลับอึดอัดและขี้ร้อนจริงๆ” “ทำไม เกิดอะไรขึ้น บอกอาซิ” พลับพลึงตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย เธอถอนใจแล้วสูดลมกระตุ้นกำลังใจให้ตัวเองเต็มปอด เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต “พลับ...ท้องค่ะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันนะคะ” สามีของเธอเงียบกริบ สีหน้ายิ้มๆ ดีใจก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกระดาษขาว เขาทิ้งมือลงสองข้างแล้วเซถอยหลังไปชนตู้กับข้าว พลับพลึงเห็นอาการนั้นก็หน้าเสีย ไม่คิดว่าสามีจะออกอาการขนาดนี้ให้เห็น ร่างของเขาสั่นเทิ้มคล้ายคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง เป็นผลให้เธอต้องพุ่งตัวเข้าไปประคองกลัวเขาจะล้มหงายตึงไปต่อหน้าต่อตา “อารัณ!!! เป็นอะไรไปคะ อารัณได้ยินพลับมั้ยคะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ อารัณขา...ได้ยินพลับมั้ยคะ” “ปล่อย ปล่อยอา” เพียงแค่เธอยอมปล่อยมือจากเขา ดรัณก็วิ่งหาห้องน้ำทันควัน เส
‘ฉันตอบเมล์พี่ชายสุดที่รักของฉันเมื่อหลายวันก่อน ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง และวันนี้เขาก็บินมาหาฉัน ฉันอับอายมากที่มีสภาพเหมือนผีให้พี่ชายเห็น ฉันไม่มีเงินมากพอจะเช่าอพาร์ตเม้นท์ดีๆ อยู่ แต่พพี่ชายของฉันก็ยังอุตส่าห์ให้เงินจำนวนมาก ฉันขอร้องให้เขาช่วยปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ เขาจึงขอร้องให้ฉันกลับบ้าน แลกกัน ฉันขอเวลารักษาตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้สักระยะ ซึ่งพี่ชายที่รักของฉันไม่ว่าอะไร ยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อสักระยะ ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน กลับไปกราบคุณแม่ กลับไปหาหลาน พลับพลึงหลานตัวน้อยโตขึ้นแค่ไหนแล้วนะ พี่ชายฉันหล่อ หลานฉันคงต้องสวยมากแน่ๆ เลย ฉันจะกลับไปหาทุกคน รอหน่อยนะครอบครัวที่รักของฉัน’ พลับพลึงปิดสมุดไดอารี่แค่นั้น เธอไม่อ่านอีกแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นยังไงไม่อยากรับรู้อีกแล้ว พอกันที! การอ่านไดอารี่อันเต็มไปด้วยความรู้สึกของอาสาว ทำให้หญิงสาวฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ถ้าอารัณไม่อยากมีลูกเพราะการตายของอาอิง เธอจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ อดีตจะถูกลบเลือน แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม เธอจะทำให้ได้ ไม่มีวันที่เธอจะคิดสั้นๆ
หญิงสาวถอนหายใจเอื่อยเฉื่อย เธอกำลังตัดสินใจว่าควรกลับไปบอกเรื่องลูกดีหรือไม่ เขาเคยบอกยังไม่พร้อมจะมีลูก สาเหตุเพราะอะไรเธอก็คิดว่ารู้แล้ว อารัณเผชิญกับความสูญเสียมานับครั้งไม่ถ้วน การสูญเสียเมียและลูกไปพร้อมกันก็เป็นเรื่องยากจะทำใจให้ลืม เธอเข้าใจดีทุกอย่างถึงต้องมานั่งถอนใจอยู่นี่ไง ร่างอวบอิ่มเดินเข้าไปในห้องหนังสือของคุณย่า เธอตั้งใจจะหาหนังสือธรรมะมาอ่านเป็นที่พึ่งของจิตใจ มือบางไล้ไปตามสันหนังสือหาเล่มที่อยากอ่าน แต่แล้วสายตาก็เหลือบขึ้นไปเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ข้างบนสุดของชั้นหนังสือ ร่างอวบอิ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใบนั้นลงมาอย่างทุลักทุเลเนื่องจากความสูงที่ต้องเขย่งปลายเท้าแล้วเหยียดแขนให้ตรงถึงจะหยิบได้ กล่องใบนั้นขนาดไม่ใหญ่และไม่หนักถูกยกลงมาปัดฝุ่นออกแล้วเปิดดูข้างใน ภายในมีรูปของอาอิงฟ้าหลายรูป เป็นรูปที่ถ่ายในต่างประเทศทั้งหมด ว่าที่คุณแม่มือใหม่ทอดสายตามองรูปถ่ายแต่ละรูปอย่างสังเกต อาอิงเป็นคนสวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รูปหลังๆ ก็เหมือนอาอิงจะสวยขึ้น อวบขึ้นด้วย อวบเหมือน...เธอในตอนนี้ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อสายตาปะทะ
แม่เลี้ยงกาญจนาเคยคิดจะบอกลูกสาวเพราะถึงยังไงอิงฟ้าก็เป็นอาแท้ๆ ของเธอ ลูกในท้องของอิงฟ้าก็คือหลานแท้ๆ ของเธอ แต่สามีสั่งห้ามด้วยเห็นใจอดีตน้องเขยของตน ดังนั้นทุกคนจึงพากันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอยู่ในใจ เวลาผ่านพ้นไปก็ยังไม่มีใครพลั้งปากพูดให้พลับพลึงได้ยิน “เห็นทีคงต้องบอกแดนนี่แล้วล่ะ ผมคิดว่าแดนนี่แข็งแกร่งพอจะรับเรื่องนี้ไหว แม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม” “น่าเห็นใจนายรัณนะคะ เขาตามหาเมียไม่เจอเสียที นี่ก็เห็นว่ากินแต่เหล้าจนเมาไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ร่างกายผ่ายผอมจนน่าเป็นห่วงว่าจะทรุดเอาดื้อๆ” แม่เลี้ยงกาญจนาเห็นใจลูกเขยมาก ทั้งสงสารและเห็นใจ แต่ยังต้องลุ้นว่าหากดรัณรู้จะเป็นยังไงต่อ “ถ้างั้นเดี๋ยวรอแดนนี่ลงมา พวกเราก็บอกแกพร้อมกันดีมั้ยคะ” คุณดวงหทัยตัดสินใจ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ทว่า...ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยขวดเหล้า ร่างสูงผ่ายผอมซูบลงไปมากกำลังสร่างเมาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.หานักสืบเอกชนที่เขาจ้างวานให้ตามหาเมียรักให้เจอ “ได้เรื่องหรือยัง” “อ้อ...พ่อเลี้ยงโทร.มาพอด
“เมื่อเช้าดิฉันได้ยินเสียงคุณหนูอาเจียนนะคะคุณท่าน อาการเหมือนคนท้องเลยค่ะ” ทิพามารดาของกรรชัยตั้งข้อสังเกต คุณย่าขมวดคิ้ว คนแต่งงานมีครอบครัวจะตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นแปลก แต่ตอนนี้พ่อของเด็กยังไม่รู้เลยว่าเมียอยู่ไหน ถ้าพลับพลึงท้องจริงๆ เรื่องที่คิดจะปิดบังจนกว่าหลานเขยจะตามหาเมียเจอ ก็คงต้องมีคนยื่นมือเข้าช่วยเสียแล้ว ไม่งั้นจะเป็นการพรากลูกพรากพ่อเสียเปล่าๆ ทว่า...คุณย่ายังไม่ลืมอดีตของหลานเขย ท่านจึงไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาดีใจหรือเสียใจกัน “พายัยพลับไปโรงพยาบาลที ไปทั้งๆ ไม่มีแรงอย่างนี้แหละดี ยัยพลับกลัวโรงพยาบาลจะได้ดื้อไม่ออก” สิ้นคำสั่งคุณย่า กรรชัยก็เป็นคนขับรถพาหญิงสาวและคุณย่าไปโรงพยาบาล ผลการตรวจออกมาเป็นไปตามที่คิด พลับพลึงท้อง!!!พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เดินตามหาภรรยาทั่วไร่เพื่อจะบอกข่าวสำคัญข่าวด่วนของบุคคลอันเป็นที่รักคนหนึ่งให้บุคคลอันเป็นที่รักอีกคนได้ฟัง ร่างสูงหนาก้าวยาวๆ เร่งรีบเท่าที่จะทำได้ถามหาภรรยาสุดที่รักกับทุกคนที่เจอหน้า เกือบทุกคนชี้บอกไปในทิศทางเดียวกัน พ่อเลี้ยงก็แทบจะวิ่งตรงไปหาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความยินดี