@บ้านเอกวิโรจน์
ส้มขับรถเข้ามาจอดยังบ้านหลังใหญ่โตโออาไม่ใช่สิต้องเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า คฤหาสน์ที่เป็นเหมือนกรงขังสำหรับเธอ เป็นคฤหาสน์ที่หาความสุขไม่เจอ เธอนั่งมองรอบ ๆ บริเวณบ้านผ่านกระจกรถพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องโถงก็เห็นพ่อกับแม่ และพี่ชายนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาจึงยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม "สวัสดีค่ะพ่อ แม่ พี่เบส" "นี่ถ้าพ่อไม่ให้แม่เขาโทรตาม ลูกก็คงไม่คิดจะกลับบ้านเลยใช่ไหม" อภิสิทธิ์ประมุขของบ้านมองบุตรสาวคนเล็กที่กำลังหย่อนก้นนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาดุแทนที่จะรับไหว้ ส้มไม่ได้ตอบอะไรกลับทั้งที่ในใจอยากตะโกนบอกท่านดัง ๆ ว่าสาเหตุที่เธอไม่อยากกลับบ้าน หรืออยู่ในบ้านหลังนี้เพราะความเข้มงวดของพวกท่านสองคนนั่นแหละ ทว่ารู้แก่ใจดีว่าถ้าพูดไปท่านทั้งสองคงจะพานโกรธหาว่าเธอไม่เคารพพวกท่านอีกเพราะมันเคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นมาเธอจึงเลือกสงบปากสงบคำดีกว่าปล่อยให้พวกท่านบ่นไป "พ่อก็อย่าดุน้องเลยครับ" เบสชายหนุ่มตาหล่อเหลาวัยสามสิบปีออกหน้ารับแทนน้องสาวเพราะเข้าใจดี เขาเองก็ถูกคาดหวังจากพ่อแม่ไม่ต่างจากน้องสาวเลย "ลูกก็เข้าข้างน้องตลอด" เป็นอัปสรที่เลื่อนสายตาเอ่ยกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงตำหนิ ก่อนเลื่อนสายตามองหน้าบุตรสาวต่อ "ที่พ่อเขาพูดก็ถูก แม่ว่าลูกควรขายคอนโดแล้วกลับมาอยู่บ้านซะ" "ส้มยอมทำตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการมาตลอด แต่เรื่องนี้ส้มขอเถอะค่ะให้ส้มได้ใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง" ทำพูดของผู้เป็นแม่ทำเอาส้มต้องหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดยาว ๆ พยายามระงับอารมณ์เอาไว้ แล้วปรือตาขึ้นบอกกล่าวอย่างใจเย็นที่สุด ทุกวันนี้ถึงเธอจะอายุยี่สิบหกแล้วแต่ก็ยังต้องทำตามคำสั่งของพ่อแม่อยู่เลย พวกท่านบอกให้เธอเข้าไปช่วยงานที่บริษัทเธอก็ต้องทำทั้งที่ความฝันของเธอคือการเป็นดีไซน์เนอร์ต่างหาก เพราะคำว่าบุญคุณที่พวกท่านพร่ำพูดกลอกหูเธออยู่ซ้ำ ๆ เพราะคำขู่ที่ว่าหากไม่ทำตามจะตัดออกจากกองมรดก และไม่ต้องมาเป็นเป็นพ่อแม่ลูกกันอีก "แม่จะยอมให้ลูกอยู่คอนโดต่อก็ได้" คำตอบของผู้เป็นแม่ทำให้เธอยิ้มออกมาได้บ้าง แต่เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นใบหน้าก็พลันบึ้งตึงอีกครั้งกับประโยคถัดมาของท่าน "แต่มีข้อแม้ว่าลูกต้องไปดูตัวกับจิณณะลูกชายคุณหญิงพิมพรรณวันพรุ่งนี้" "เมื่อไรแม่จะเลิกจับคู่ให้หนูสักทีคะ" เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมามองผู้เป็นแม่ด้วยความผิดหวัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านบังคับให้เธอไปดูตัว แต่มันนับไม่ถ้วนแล้วต่างหากจนเธอเอือมระอาเต็มทนแล้ว "ก็ต่อเมื่อลูกได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี และเหมาะสมกับลูกไง" อัปสรตอบกลับเสียงราบเรียบ ที่เธอทำไปทั้งหมดมีจุดประสงค์เดียวคือหวังดีต่อบุตรสาว อยากให้บุตรสาวได้เจอกับคนที่ดี บุตรสาวเธอมีเพรียบพร้อมทุกอย่างทั้งฐานะ การศึกษา หน้าตา และชาติตระกูลผู้ชายที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยเธอจึงต้องมีทุกอย่างเท่าเทียมกับบุตรสาว ต้องผ่านการค้ดกรองจากเธอจะคว้าใครมามั่ว ๆ ไม่ได้ "หนูหาเองได้ค่ะ แม่ไม่จำเป็นต้องมากังวลกับเรื่องนี้" "แม่ต้องยุ่งสิเกิดลูกไปคว้าใครมามั่ว ๆ แม่จะทำยังไง ลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ แม่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด" "แม่หวังดีกับหนูจริง ๆ หรือแม่กลัวจะอับอายขายหน้ากันแน่คะถ้าสมมุติว่าหนูคว้าผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาให้แม่" ส้มเอ่ยอย่างรู้ทันเพราะพ่อแม่ของเธอให้ความสำคัญกับหน้าตาทางสังคมมากไม่อย่างนั้นคงไม่บังคับให้เธอกับพี่ชายอยู่ในกรอบที่พวกท่านต้องการตลอด "แม่เขาบอกว่าหวังดี ก็คือหวังดีแกเป็นลูกก็ควรทำตามไม่ใช่มายอกย้อนแบบนี้" อภิสิทธิ์เอ่ยแทรกขึ้นอย่างไม่ชอบใจที่บุตรสาวแข็งข้อขึ้นมา ส้มกับเบสจึงได้แค่ส่ายหน้าไปมาสุดท้ายทั้งสองก็มิอาจชนะท่านทั้งสองได้เพราะคำว่าพ่อแม่มันค้ำคออยู่ "พรุ่งนี้แม่นัดทานข้าวกับคุณหญิงพิมพรรณช่วงเย็น ๆ ที่ร้านอาหารเดอะลองค์ ลูกต้องมาอย่าทำให้แม่ขายหน้าเด็ดขาด" อัปสรยื่นคำขาด มองหน้าบุตรสาวอย่างกดดันบ่งบอกให้รู้ว่าบุตรสาวจะได้เห็นดีหากไม่มาตามคำสั่ง "มะ.." "อาหารเสร็จแล้วค่ะ คุณท่านกับคุณผู้หญิงจะทานเลยไหมคะ" ส้มทำท่าจะตอบกลับไปแต่เสียงแม่บ้านก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อนเธอจึงจำใจต้องเงียบปากลง "ทานเลยจ้ะ" อัปสรตอบแม่บ้านไปด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ครั้นแม่บ้านหายหลังไปก็หันมาเอ่ยกับบุตรสาวต่อ "ตามนี้นะส้ม อย่าทำให้แม่ผิดหวัง" ว่าจบก็ลุกเดินไปยังห้องอาหารโดยมีประมุขของบ้านลุกเดินตามไปติด ๆ "เฮ้อ.." ส้มได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายจนคนเป็นพี่ชายอย่างเบสต้องยื่นมือไปตบบ่าปลอบประโลม และให้กำลังใจในคราวเดียวกัน "อดทนนะพี่เชื่อว่าสักวันทุกอย่างจะดีขึ้น" "ส้มก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นค่ะ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกมาเบาหวิวพร้อมกับลมหายใจหนัก ๆ บอกเลยว่าเธอมีความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นไม่ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ว่าจบก็ลุกเดินตามพ่อกับแม่ไปยังห้องอาหาร เบสก็เช่นกัน บนโต๊ะอาหารถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบบรรยากาศเป็นไปอย่างอึมครึมทั้งที่ความจริงการทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาภายในครอบครัวมันควรมีความสุข และเต็มไปด้วยความอบอุ่น ส้มกับเบสมีความรู้สึกไม่ต่างกันเลยนั่นก็คืออึดอัดจนแทบอยากจะหายไป ทว่าก็ทำไม่ได้ ทั้งสองได้แต่นั่งมองตากัน ก่อนที่ส้มจะต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกเมื่อแม่บ้านนำอาหารมาวางบนโต๊ะ "อึก.." "เป็นอะไรส้ม" อัปสรขมวดคิ้วถามบุตรสาวด้วยความสงสัย คนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน "เหม็นอะไรก็ไม่รู้ค่ะแม่ มันเหม็นมากเลย" ส้มบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ มือปิดปากกับจมูกไว้แน่นเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหม็นอะไร รู้เพียงว่ามันเหม็นมากจนเธออยากจะอาเจียนออกมา "เหม็นอะไรพี่ไม่เห็นว่าจะเหม็นอะไรเลย" เบสทำจมูกฟุดฟิดพยายามสูดดมหากลิ่นตามที่น้องสาวบอก แต่ก็ไม่เห็นว่าจะได้กลิ่นอะไรเลยจึงหันมองหน้าน้องสาวด้วยความแปลกใจ "พี่ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย มีแต่หอมกับข้าวที่แม่บ้านยกมา" "มันเหม็นจริง ๆ นะพี่เบส" เธอยังคงยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมกับคลายมือออกจากปาก และจมูก พยายามสูดดมหาต้นตอของกลิ่นเพื่อยืนยัน ทว่าในวินาทีที่ก้มลงสูดดมหากลิ่นบริเวณถ้วยต้มข่าไก่เธอก็ต้องรีบยกมือขึ้นอุดปากเพราะรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียนออกมา รีบผลุกผลันลุกวิ่งไปยังห้องน้ำสำหรับแขก โก้งคออาเจียนออกมาจนหน้าดำหน้าแดง ทุกคนต่างพากันลุกขึ้นวิ่งตามไปดูด้วยความเป็นห่วง โดยเบสเป็นคนเข้าไปคอยลูบหลังให้น้องสาวพลางถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง "เป็นอะไรส้ม" ส่วนประมุขของบ้านกับอัปสรยืนดูอยู่ที่ประตูห้องน้ำ สายตามองบุตรสาวที่กำลังโก้งคออาเจียนด้วยความเป็นห่วง ทว่าในใจอัปสรนั้นกำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างอยู่กับอาการที่บุตรสาวเป็นอยู่ เธอสังเกตเห็นตั้งแต่บนโต๊ะอาหารแล้วว่าบุตรสาวมีอาการแปลก ๆ พอได้กลิ่นอาหารก็รู้สึกเหม็นทั้งที่มันออกจะหอม อาการคล้ายกับเธอตอนแพ้ท้องเมื่อก่อนไม่มีผิด แต่เธอยังไม่อยากคิดเองเออเองคงต้องหาทางพิสูจน์ "ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณหน่อยค่ะ" เธอกระซิบกับผู้เป็นสามีพร้อมกับลากแขนให้เดินตามออกมา ขณะที่เบสยังคงคอยยืนลูบหลังให้น้องสาวไม่ห่าง "ไหวไหมส้ม" "อึก.." ส้มส่ายหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายแทนคำตอบว่าไม่ไหว ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงหดหายไปหมดคงเป็นเพราะอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ครั้นอาเจียนเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นเย็นเฉียบอย่างอ่อนแรง เหงื่อเริ่มผุดพรายขึ้นตามใบหน้าจนชื่น จากผิวหน้าอมชมพูก็เปลี่ยนเป็นซีดเซียวไร้สีเลือดทำเอาเบสตกใจไม่น้อย "พี่ว่าส้มขึ้นไปนอนพักที่ห้องดีกว่า จะได้เรียกหมอมาว่าตรวจดูด้วยว่าเป็นอะไร" รีบโน้มไปช้อนตัวน้องสาวขึ้นอุ้มพาเดินออกจากห้องน้ำ ซึ่งเจอกับพ่อแม่ที่เดินมาพอดีจึงรีบบอกกล่าว "ผมว่าน้องเหมือนจะเป็นลมเลยครับ ผมจะพาน้องขึ้นไปพักบนห้องแล้วโทรตามหมอว่าตรวจดู" "โอเค รีบพาน้องขึ้นไปพักเถอะ เดี๋ยวแม่โทรตามหมอเอง" อัปสรพยักหน้ารับ แล้วหันมองหน้าสามีเพราะหลังจากได้ปรึกษาถึงอาการที่น่าสงสัยของบุตรสาวแล้วทั้งสองก็คิดว่าจะโทรตามหมอประจำตระกูลให้มาตรวจดูเช่นกันจึงเข้าทางพอดี จะได้รู้ว่าสิ่งที่กำลังสงสัยเป็นจริงไหม หรือเธอกังวลไปเอง@บ้านวิสุทธิ์ภักดี"ว้าย!" ส้มร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกพ่อของลูกยกขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านวิสุทธิ์ภักดี "จะอุ้มทำไมแบงค์ส้มก็กำลังจะเดินเข้าบ้านอยู่นี่ไง" ครั้นตั้งตัวได้เธก็โวยวายใส่ร่างสูงพลางใช้มือทุบอกเขาแรง ๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาอุ้มทำไมกันในเมื่อเธอก็ยอมเดินเข้าบ้านดี ๆ ไม่ได้จะวิ่งหนีกลับบ้านสักหน่อยแบงค์เพียงยิ้มให้เพื่อนสาวเล็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรตั้งหน้าอุ้มเธอเดินดุ่ม ๆ เข้าบ้าน ก่อนจะพาเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทำเอาส้มต้องขมวดคิ้วเป็นปม รีบเปล่งเสียงถามทันที "แบงค์จะพาส้มไปไหน ปล่อยส้มลงเดี๋ยวนี้นะ""พาขึ้นไปดูทะเบียนสมรส แล้วก็ใบหย่าไงเพื่อยืนยันว่าแบงค์ยังไม่ได้เซ็นมันจริง ๆ เพราะฉะนั้นเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่" สิ้นประโยคใบหน้าหล่อเหลาก็เคลือบไปด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แววตาทอประกายเจ้าเล่ห์จนส้มอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย พยายามข่มอาการเอาไว้แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงดุหวังว่าอีกคนจะเกรงขึ้นมาบ้าง "แบงค์ก็ขึ้นไปหยิบลงมาให้ดูสิ จะอุ้มส้มขึ้นไปด้วยทำไม" "อยากพาขึ้นไปดูให้ถึงที่ไง" "มันใช่เรื่องไหม
หลายปีต่อมา"คุณพ่อคะเมื่อวานตอนไปห้างมีหนุ่ม ๆ มาจีบคุณแม่ด้วยค่ะ" ทันทีที่แบงค์ย่างกรายเข้ามาภายในบ้านเอกวิโรจน์บุตรสาวที่นั่งรอการมาของเขาในห้องโถงก็รีบเอ่ยฟ้องเสียงเจื้อยแจ๋ว"จริงเหรอครับ" ทำเอาแบงค์ถึงกับหูผึ่งรีบเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างบุตรสาว ถามไถ่ด้วยความร้อนรนใจ "แล้วผู้ชายคนนั้นหล่อไหม แล้วแม่เขาตอบผู้ชายคนนั้นไปว่ายังไงบ้าง""เขาก็หล่อนะคะ แต่น้อยกว่าคุณพ่อ" ภริตาเด็กน้อยวัยย่างเข้าเก้าขวบตอบไปตามความจริงเพราะสำหรับเธอแล้วไม่มีใครหล่อกว่าพ่อตัวเอง "ส่วนคุณแม่แค่ยิ้มหวานให้ผู้ชายคนนั้นค่ะไม่ได้ตอบอะไร น้องริตาเลยตอบแทนคุณแม่ไปว่ามีลูกแล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินหนีไปเลย""ทำดีมากลูกรัก ไม่เสียแรงที่พ่อให้ลูกช่วยดูแลแม่จากผู้ชายคนอื่น" ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยบึ้งตึงก่อนหน้านี้เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากบุตรสาว ก่อนเขาจะเอื้อมมือไปหยีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสี่ปีเกือบห้าปีแล้วอีกแค่วันเดียวเท่านั้นก็จะคบห้าปีพอดี บุตรสาวของเขาอายุย่างเข้าเก้าปีเริ่มเติบโตเป็นสาวแล้วรู้เรื่องทุกอย่างจึงเป็นตัวช่วยของเขาได้ดีงานที่เขามอ
จากวันนั้นเวลาก็ดำเนินมาหนึ่งปีเต็ม ๆแบงค์ยังคงคอยดูแลลูกในฐานะคุณอาที่แสนดี ซึ่งเขาก็เต็มใจยอมรับไม่คิดเรียกร้องอะไรแค่ได้อยู่ในชีวิตผู้หญิงที่รักทั้งสองคนเขาก็มีความสุขแล้วครืดดด~สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้แบงค์ที่กำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปหาบุตรสาวที่บ้านเอกวิโรจน์เหมือนเช่นทุกวันต้องหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูคิ้วเข้มพลันขมวดชนกันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือแม่ของลูกอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติเธอจะไม่โทรมาแต่เช้าแบบนี้ จึงกดรับสายด้วยความอยากรู้"โทรมาแต่เช้าเลยมีอะไรรึเปล่าส้ม"(ส้มจะโทรมาบอกว่าวันนี้ให้มาหาลูกตอนเย็น ๆ นะ เพราะช่วงเช้าพ่อกับแม่ส้มจะพาน้องริตาไปข้างนอก)พอได้ฟังประโยคจากปลายสายเขาก็หน้าหงอยลงฉับพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะกะไว้ว่าจะไปรับสองแม่ลูกไปทำบุญด้วยกันที่วัดสักหน่อยเนื่องในวันนี้เป็นวันเกิดของเขา อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนสาวคงจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาเพราะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ทั้งสองไม่ได้ฉลองวันเกิดด้วยกันตั้งแต่เกิดเรื่องนั่น"อ๋อ..ได้ ๆ" เขาได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจแล้วเปล่งเสียงตอบปลายสายไ
ส้มทอดสายตามองบรรยากาศยามค่ำคืนริมระเบียงห้องพักด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่พาบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในสมองก็ครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องชายหนุ่มและลูก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดจนสายลมเย็นยะเยือกลอยสัมผัสผิวเรียบเนียนทำให้เธอต้องรีบยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำนิลที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ลอยประดับประดาอย่างสวยงาม แต่นาทีต่อมาเธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรนุ่ม ๆ อุ่น ๆ ที่คลุมลงมาบนไหล่ ครั้นเอี่ยวหน้ามองก็พบว่าเป็นพ่อของลูกนั่นเองที่เอาผ้ามาคลุมไหล่ให้เธอ จึงเอ่ยขอบคุณไปตามมารยาท "ขอบคุณ"แบงค์เพียงยกยิ้มให้เพื่อนสาวบาง ๆ แล้วเดินไปยืนริมระเบียงข้าง ๆ ทอดสายตามองออกไปนอกท้องทะเลอันมืดสลัวโดยไม่พูดอะไรออกมา เฉกเช่นเดียวกับส้มที่มองออกไปยังทะเลอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ปกคลุมไปด้วยความเงียบมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาเป็นระยะไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนแบงค์จะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคุยขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับทะเลเบื้องหน้า "บรรยากาศดีเนาะ ส้มว่าไหม
เช้าวันต่อมาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็พากันลงไปทานอาหาร ครั้นทานอาหารเสร็จก็เช่ารถของโรงแรมพาบุตรสาวไปเล่นที่สวนน้ำกระทั่งเที่ยงจึงพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารชื่อดังของภูเก็ต"กินข้าวเสร็จคุณอาใจดีจะพาน้องริตาไปเที่ยวไหนต่อคะ" เด็กน้อยภริตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ๋วระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟพร้อมกับเอียงหน้าขึ้นมองคุณอาใจดีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะที่ส้มนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งจ้องมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกเอ็นดูระคนมันเขี้ยวเพราะยิ่งนับวันบุตรสาวก็ยิ่งติดคนเป็นพ่อมากขึ้น ดูอย่างตอนนี้สิแทนที่จะนั่งข้างเธอ กลับเลือกไปนั่งข้างชายหนุ่มแต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเขาเล่นตามใจบุตรสาวไปเสียทุกอย่างไม่ว่าบุตรสาวจะบอกจะขออะไรก็ทำให้หมดไม่เคยขัดจึงทำให้บุตรสาวชอบอยู่กับเขา"อืม..เราไปดูเครื่องบินที่หาดไม้ขาวกันไหมครับ พอแดดร่มหน่อยเดี๋ยวเราค่อยไปเล่นน้ำทะเลกัน" คนถูกถามอย่างแบงค์นั่งใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนเสนอความคิดเห็นให้บุตรสาวพร้อมกับยกมือลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู"ได้ค่ะ"เด็กน้อยภริตายิ้มรับจนตาหยีพลอยทำให้คนเป็นพ่อแม่ยิ้มตามไปด้วย ก่อนแบงค์จะเล
นับจากวันนั้นเวลาก็ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ แล้วที่แบงค์ได้กลับเข้ามาในชีวิตเพื่อนสาวกับลูกอีกครั้ง ตอนเช้าของทุกวันก่อนไปทำงานเขาจะแวะมาหาบุตรสาวก่อนเสมอ และหลังเลิกงานตอนเย็นก็แวะมาเล่นกับบุตรสาวอีกครั้ง หากเป็นวันหยุดเขาก็จะมารับบุตรสาวพาไปเที่ยวเป็นประจำ บางครั้งก็พาไปนอนค้างคืนที่บ้านด้วยกัน ส่วนความสัมพันธ์กับแม่ของลูกก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่าเดิมเพราะเธอปิดกั้นเขาทุกทางคงจะมีแค่เรื่องลูกที่ทำให้เธอยอมเกี่ยวข้องกับเขา ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ถอดใจหวังว่าสักวันจะแทรกซึมเข้าไปในใจเธอได้อีกครั้งวันนี้เป็นวันหยุดเขาเลยชวนบุตรสาวไปเที่ยวทะเลตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ และเขายังแอบพูดกับบุตรสาวว่าให้ชวนแม่ไปด้วยเพราะหวังว่าจะได้สร้างโมเม้นท์ดี ๆ กับแม่ของลูกเผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นกว่าเดิม และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนส้มยอมไปเที่ยวทะเลด้วยเพราะทนแรงออดอ้อนจากบุตรสาวไม่ไหว ทะเลที่เขาจะพาสองแม่ลูกไปเที่ยวก็คือภูเก็ตนั่นเองเพราะเขาไปมาครั้งที่แล้วมันสวยมาก ที่เที่ยวก็มีเยอะแยะจึงอยากให้บุตรสาวได้เที่ยวบ้าง ทั้งสามออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยรถส่วนตัวโดยแบงค์ทำหน้าที่เป็นคนขับ เขาอยากจะ