เข้าสู่ระบบสายลมที่พัดผ่านท้องนาเริ่มแผ่วลง เหลือเพียงไอแดดที่เต้นระยิบระยับเหนือผืนดิน แสงแดดส่องลงมาในมุมสูงตรงทำให้เงาของต้นไม้ใหญ่สั้นลงเรื่อย ๆ จนแทบจะแนบกับโคนลำต้น เช่นเดียวกับเงาของแดนดินที่ดูเหมือนจะถูกอัดแน่นเข้ากับตัวเอง
แดนดินจัดการซ่อมรั้วท่ามกลางแดดที่เริ่มร้อน ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลชุ่มตามขมับและลำคอ แต่เขายังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด
“หิวข้าวหรือยัง” หลังจากรีบทำจนเสร็จจึงได้เดินมาถามคนน้องที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามหน้าผากและไรผมแล้ว
“โครก~”
“อุบ...” แดนดินหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะพยายามกลั้นเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม เพราะความน่ารักของคนน้อง ที่ตอนนี้เสียงท้องก็ได้ตอบคำถามแทนเจ้าตัวแล้ว
“หัวเราะอะไรเนี่ย...หยุดเลยนะ”
ธีร์รันคิ้วขมวดเล็กน้อยและทำปากย่น พร้อมกับแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อ อาจจะด้วยความร้อนและอายที่คนพี่หัวเราะคิกคัก
“หึ...ปะ อ้ายสิพาไปกินข้าว” (หึ...มา พี่จะพาไปกินข้าว) แดนดินจัดการเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องโดยมีธีร์รันรีบไปช่วยเก็บให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะตอนนี้ตนหิวถึงขนาดกินช้างได้ทั้งตัว
เมื่อทั้งคู่ขับรถมาถึงบ้านของแดนดิน ก็เจอกับรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่บริเวณร่มไม้หน้าบ้าน ถัดไปอีกหน่อยมีชายหนุ่มที่นอนฮัมเพลงอยู่ในเปลที่ผูกกับต้นไม้อย่างสบายอารมณ์
“เอ๋า...บักสิง มาตะโดนแล้วเบาะ” (อ้าว...ไอ้สิง มานานแล้วเหรอ) แดนดินยิงคำถามใส่คนที่เพิ่งเจออย่างสงสัย
แดนดินและสิงหา เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก จนป่านนี้ก็ยังไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ พวกเขามีเพื่อนกลุ่มเดียวกันหลายคน แต่ทั้งคู่ที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในวัยเด็กมาด้วยกันกว่ายี่สิบปี ก็สนิทถึงขั้นที่ว่าแค่มองตาก็รู้ว่าอีกคนคิดอะไร
“บ่ พึ่งมาฮอด” (ไม่ พึ่งมาถึง)
“แล้ว...นั่นไผมานำ คือเป็นตะฮักแท้...ซือว่าจังได๋ครับ” (แล้ว...นั่นใครมาด้วย น่ารักจัง...ชื่อว่าอะไรครับ)
หลังจากที่ตอบคำถามกับเพื่อนเสร็จ สิงหาก็ได้เหลือบมามองคนตัวเล็กที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ดูจากผิวพรรณที่ขาวผุดผ่องแล้ว ไม่น่าจะใช่คนแถวนี้แน่นอนจึงได้เอ่ยถามกับเพื่อนไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะชะโงกมาถามเจ้าตัวพร้อมกับหยอดคำหวานใส่คนน้อง
“น้องธีร์รัน...เอิ้นน้องรันกะได้ หลานน้าสายมาตะกรุงเทพ” (น้องธีร์รัน...เรียกน้องรันก็ได้ หลานน้าสายมาจากกรุงเทพฯ)
“มึงมีอิหยัง” (มึงมีอะไร) แดนดินที่สงสัยสาเหตุการมาของเพื่อนจึงได้เอ่ยถามออกไป ถึงแม้ว่าสิงหาจะมาหาตนอยู่บ่อย ๆ แต่การมาโดยไม่ได้นัดมีไม่ค่อยบ่อยนัก
“มาหาหมู่กินข้าว...กินข้าวแล้วเบาะ” (มาหาเพื่อนกินข้าว...กินข้าวหรือยัง)
“บ่...จักหน่อยสิออกไปหาแนวกิน” (ยัง...อีกหน่อยจะออกไปหาของกิน)
“นี่...พอดีเลยกูได้เป็ดมา ลาบบ่ บ่ได้กินโดนล่ะ” (นี่...พอดีเลยกูได้เป็ดมา ลาบไหม ไม่ได้กินนานแล้ว) ว่าพลางสิงหาก็ชี้ไปที่ถุงในมือที่มีเนื้อเป็ดอยู่ด้านใน
“อืม...ดีคือกัน เฮ็ดถ่าเด้อกูไปอาบน้ำก่อน” (อืม...ดีเหมือนกัน ทำรอนะกูไปอาบน้ำก่อน)
แดนดินที่เห็นว่าการสนทนาน่าจะยืดยาวตนจึงรีบกล่าวตัดบท อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าคนน้องจะหิวจนทนไม่ไหว
“หิวแฮงบ่ ถ่าอ้ายแป๊บนึงเด้อ อ้ายขอไปอาบน้ำจักคราวก่อน” (หิวมากไหม รอพี่แป๊บนึงนะ พี่ขอไปอาบน้ำสักครู่ก่อน)
ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าว บวกกับเพิ่งทำงานมาทำให้แดนดินมีเหงื่อเต็มตัว จึงอยากที่จะไปอาบน้ำเพื่อให้ตนเองสบายตัวขึ้นก่อน แต่ก็ไม่วายที่จะหันกลับมาถามคนน้องก่อน
“อือ...ไปเถอะ แค่นี้สบายมาก” ธีร์รันตอบกลับพลางยักคิ้วใส่คนพี่ ก่อนยิ้มออกมาเล็กน้อยเพื่อแสดงความมั่นใจแบบเต็มเปี่ยม
“แม่นคนเดียวกันกับที่ท้องฮ้องเสียงดังเมื่อกี้บ่หนิ” (ใช่คนเดียวกันกับที่ท้องร้องเสียงดังเมื่อกี้ไหมนี่)
พอเห็นท่าทางมั่นใจจากคนน้อง แดนดินก็อดไม่ได้ที่จะแซวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เพราะการกระทำของธีร์รันมันช่างย้อนแย้งกันจริง ๆ
“ชิ...รีบไปอาบเลย” ธีร์รันคิ้วขมวด แล้วหันไปมองค้อนใส่คนพี่อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะเดินหนีไปล้างหน้าล้างตาที่โอ่งน้ำข้างบ้าน ทำให้แดนดินที่เห็นธีร์รันเดินกระฟัดกระเฟียดไปเช่นนั้นก็เผลอยิ้มตามหลังคนน้องอย่างลืมตัว
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดก็อยู่ในสายตาของสิงหาที่แอบมองอยู่ในครัวตามประสาคนหูตาไว...
แดนดินใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานก็รีบลงมาที่ครัวใต้ถุนบ้านเพื่อจัดการทำกับข้าว สิงหาที่กำลังยุ่งอยู่กับการรวนเนื้อเป็ด เลยให้คนตัวเล็กช่วยจัดการล้างผักที่เตรียมมา ซึ่งแดนดินก็พอเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ธีร์รันพอจะช่วยได้ก็มีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง
“เอ๋า...กินกล้วยฮองท้องก่อน” (นี่...กินกล้วยรองท้องก่อน)
แดนดินที่กลัวคนน้องจะหิวเลยได้หยิบกล้วยที่เขาตัดมาได้สองวัน ซึ่งตอนนี้ก็สุกกำลังพอดี ให้กับคนน้องกินประทังหิวไปก่อน
“อื้อ...ขอบคุณนะ”
ธีร์รันรับกล้วยมาด้วยความดีใจ เพราะตอนนี้ตนหิวมาก ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปกล่าวขอบคุณคนพี่
“แดน...มีบักนาวบ่” (แดน...มีมะนาวไหม)
สิงหาถามแทรกจังหวะขึ้น เพราะขณะที่กำลังค้นหาวัตถุดิบในถุงก็พบว่าตนนั้นได้ลืมหยิบมะนาวมา
“มี...อยู่ต้น เดี๋ยวไปเอามาให้”
“เอ่อ...เราล้างผักเสร็จแล้ว เดี๋ยวเราไปเก็บให้นะ”
ธีร์รันที่กำลังกินกล้วยอยู่ ก็ได้เอ่ยอาสาไปเก็บมะนาวให้ เพราะนอกจากล้างผักแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ช่วยอะไร เลยอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง
“ซั่นเก็บผักหอมเปมานำเด้อ...อยู่ในสวนนั่นล่ะ” (งั้นเก็บผักชีฝรั่งมาด้วยนะ...อยู่ในสวนนั่นแหละ)
“ผัก หอม...อะไรนะ”
ธีร์รันทำหน้างุนงงเพราะถึงแม้ว่าเขาจะฟังภาษาอีสานออกอยู่บ้าง แต่ชื่อผักที่คนพี่กล่าวมานั้นเขาไม่รู้เลยว่ามันคือผักอะไร
“ผักหอมเป” (ผักชีฝรั่ง)
แดนดินย้ำอีกครั้ง แต่ยังไม่ยอมบอกว่ามันคืออะไร เพราะสนุกกับการที่ธีร์รันทำหน้าสงสัย
“แล้วไอ้ผักหอมเปมันเป็นยังไงอะ” ธีร์รันที่ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการสักทีคิ้วก็เริ่มที่จะขมวดเข้าหากัน
“ผักชีฝรั่งนั่นล่ะ...เก็บมาจักสี่ห้าใบเด้อ”
“พูดชื่อนี้ตั้งแต่แรกก็จบ” ธีร์รันเดินไปบ่นไป เพราะคนพี่ชอบทำให้เขาหงุดหงิดอยู่บ่อย ๆ
.
.
“มึงคือได้พาน้องมานำมื้อนี่” (มึงทำไมได้พาน้องมาด้วยวันนี้)
เมื่อธีร์รันเดินไปเก็บผักที่สวนหลังบ้าน สิงหาที่รอโอกาสนี้อยู่จึงได้กระซิบถามเพื่อนถึงที่มาที่ไประหว่างสองคนนี้
“พาไปซ่อมรั้วให้ยายบัว” แดนดินตอบพลางหยิบไข่มาสามฟองเพื่อนำมาเจียวให้กับคนน้อง
“กะนั่นหละ...คือได้ไปรู้จัก เป็นหยังคือได้ไปรับมานำ” (ก็นั่นแหละ...ทำไมได้ไปรู้จัก ทำไมได้ไปรับมาด้วย)
“น้าสายฝากให้เบิ่ง ให้พาเฮ็ดเวียก” (น้าสายฝากให้ดู ให้พาทำงาน)
“เป็นหยังคือได้มาอยู่บ้านนอกวะ อยู่กรุงเทพสบาย ๆ กะดีอยู่แล้ว” (ทำไมได้มาอยู่บ้านนอกวะ อยู่กรุงเทพสบาย ๆ ก็ดีอยู่แล้ว)
สิงหายังคงสงสัยไม่หยุด เพราะการที่คนเมืองกรุงจะมาอยู่บ้านนอกนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ตนไม่ค่อยพบเจอเท่าไหร่
“กูสิรู้นำบ่ มึงคือส่อดีแถะบักห่านี่” (กูจะรู้ด้วยไหม มึงทำไมถามดีจังไอ้ห่านี่)
แดนดินที่เริ่มรู้สึกหมดพลังกับการตอบคำถามจึงได้ด่าเพื่อนกลับไป ซึ่งการพูดลักษณะนี้ก็มักจะเจอกันเป็นประจำตามประสาเพื่อนสนิท ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีแต่อย่างใด และสิงหาก็เข้าใจในส่วนนี้ดี
“กะกูอยากรู้เนาะ เป็นได๋...เฮ็ดงานมื้อแรก” (ก็กูอยากรู้หนิ เป็นไง...ทำงานวันแรก)
“นี่...ตีนกูช้ำอยู่หนิ สิกินบ่ข้าว ฟ่าวเฮ็ด” (นี่...เท้ากูช้ำอยู่นี่ จะกินไหมข้าว รีบทำ) แดนดินว่าพลางยกเท้าขึ้นมาให้เพื่อนดูจนเกือบจะโดนหน้าสิงหา
“โอ๊ย...บักห่าหนิเกือบถืกหน้ากู” (โอ๊ย...ไอ้ห่านี่เกือบโดนหน้ากู)
สิงหาบ่นให้เพื่อนอุบอิบเพราะเท้าที่เพื่อนยกมานั้นเกือบจะโดนหน้าของตน ก่อนจะหันกลับไปทำกับข้าวต่อ
ทางฝั่งของธีร์รันที่เดินมายังสวนหลังบ้าน ก็ง่วนอยู่กับการสอดส่ายสายตามองหาผักที่ตนจะต้องเก็บ เพราะภายในสวนผักนั้นก็มีผักอยู่หลากหลายชนิด มองหาอยู่นานก็เจอกับสิ่งที่ต้องการจึงบรรจงเก็บมาอย่างทะนุถนอมไม่ให้ช้ำ และไม่ลืมที่จะแวะเก็บมะนาวมาอีกสองสามลูก
“อะ...นี่ ผักที่ให้เราไปเก็บมา เรามั่นใจว่ายังไงก็เก็บมาถูกแน่นอน” ธีร์รันยื่นผักให้คนพี่ด้วยท่าท่างที่มั่นใจเต็มเปี่ยม
“โอ๊ย...ให้ไปเก็บอีกสามรอบผักเบิดสวนแท้” (โอ๊ย...ให้ไปเก็บอีกสามรอบผักหมดสวนแน่)
แดนดินอดที่จะแซวคนน้องไม่ได้ เพราะธีร์รันได้เก็บผักชีฝรั่งมาให้แบบถอนรากถอนโคน
“ทำไมอะ...เราเก็บมาไม่ถูกเหรอ”
คนตัวเล็กทำหน้าหงอยพร้อมกับก้มลงมองผักในมือที่ตั้งใจเก็บมาเป็นอย่างดี
“ถืกแล้ว...แต่ถอนมาเบิดรากแบบนี้ต้นใหม่มันสิขึ้นบ่ได้ เทือหน้าเก็บเอาแต่ใบมาเด้อสิได้มีไว้กินโดน ๆ” (ถูกแล้ว...แต่ถอนมาหมดรากแบบนี้ต้นใหม่มันจะขึ้นไม่ได้ ครั้งหน้าเก็บเอาแค่ใบมานะจะได้มีไว้กินนาน ๆ)
ธีร์รันพยักหน้ารับคำ ซึ่งแดนดินที่เห็นว่าคนน้องทำหน้าจ๋อยจึงได้รีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“มาอ้ายสิพาหั่นผัก”
แดนดินหยิบเขียงและมีดมานั่งที่เตียงภายในครัว พร้อมกับทำท่าทางให้คนน้องมานั่งข้าง ๆ
“นี่...จับแบบนี่วางนิ้วให้ตรง แล้วกะหั่นบ่ต้องยาวหลาย เอ๋า...ลองเบิ่ง” (นี่...จับแบบนี้วางนิ้วให้ตรง แล้วก็หั่นไม่ต้องยาวมาก อะ...ลองดู)
แดนดินที่เห็นฝีมือการซ่อมรั้วของธีร์รันแล้ว ก็ตั้งใจว่าสอนทุกอย่างให้กับคนน้อง เพราะธีร์รันคงไม่เคยทำอะไรแบบนี้แน่นอน เรื่องซ่อมรั้วส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของตนที่ไม่ได้สอน จนทำให้โดนค้อนทุบจนนิ้วแดง
ธีร์รันรับมีดมาจากแดนดินก่อนจะนำผักมาหั่นตามที่คนพี่สอน ถึงท่าทางจะทุลักทุเลอยู่บ้างตามประสาคนทำครั้งแรก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ซึ่งก็ได้มีคนพี่คอยนั่งลุ้นอยู่ข้าง ๆ
“เป็นไง...พอได้ไหม”
“อืม”
แดนดินที่เห็นว่าธีร์รันเริ่มจะคล่องแล้วจึงปล่อยให้คนน้องทำ และตนก็กลับไปทำกับข้าวต่อ เพราะตอนนี้ก็เริ่มจะหิวเต็มทีแล้ว
กับข้าวทั้งหมดถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะใต้ถุนบ้าน กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมากระทบกับจมูกชวนเรียกน้ำย่อยและเพิ่มความหิวได้เป็นอย่างดี
“เคยกินบ่ลาบเป็ด...ซิมเบิ่ง” (เคยกินไหมลาบเป็ด...ชิมดู)
ร่างสูงที่เห็นธีร์รันนั่งจ้องกับข้าวอยู่นานแต่ก็ไม่กินสักที ทั้งที่น่าจะหิวมากแท้ ๆ เลยได้เอ่ยถามคนน้องพร้อมกับชวนให้ลองกินดูสักครั้ง
“แซ่บเด้ฝีมืออ้าย…รับรองสิติดใจ” (อร่อยนะฝีมือพี่...รับรองจะติดใจ)
สิงหาพูดเสริมคะยั้นคะยอให้คนน้องลองกิน เพราะอาหารแบบนี้นาน ๆ ทีถึงจะได้กินครั้งหนึ่ง
คนตัวเล็กที่โดนคนพี่ทั้งสองรบเร้า จึงได้หยิบข้าวเหนียวในกระติบมาปั้นเป็นก้อน ก่อนจะนำมาจิ้มกับลาบที่อยู่ในจาน โดยมีสองหนุ่มนั่งจ้องอย่างตั้งความหวัง
“เป็นได๋” (เป็นไง) แดนดินที่ไม่เห็นคนน้องพูดอะไรต่อหลังจากกินเข้าไป จึงได้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เผ็ดอะ”
แดนดินมองหน้าคนน้องที่ตอนนี้เริ่มจะมีสีแดงระเรื่อ พร้อมกับเป่าลมออกมาจากปาก ก่อนจะคว้าน้ำที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ มาดื่มอย่างรีบร้อน
“กินเผ็ดบ่ได้เบาะ…เอ๋านี่ไข่เจียว” (กินเผ็ดไม่ได้เหรอ...อะนี่ไข่เจียว)
แดนดินมองธีร์รันแล้วแอบขำอยู่ในใจที่คนน้องกินเผ็ดไม่ได้ขนาดนี้ และคิดว่าครั้งหน้าคงต้องแยกกับข้าวจานไม่ใส่พริกไว้ให้ด้วยซะแล้ว...
“ปี๊น ปี๊น!” เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่ถึงกับต้องชะโงกหน้าออกไปดูผ่านทางหน้าต่าง ก่อนจะรีบจัดเตรียมเอาสิ่งของที่จำเป็นและวิ่งลงมาจากบ้านด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน “ป้าสายผมไปก่อนนะครับ” ธีร์รันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถ ซึ่งตอนนี้คนขับก็ได้นั่งรอพร้อมกับฟังเพลงที่เปิดคลอไว้อย่างสบายอารมณ์ภายในรถกระบะสีดำคันใหญ่ ที่วันนี้ได้ออกมาจากโรงจอดรถสักที “พร้อมยัง” แดนดินที่ประจำตรงที่นั่งคนขับ ได้เอ่ยถามคนน้องออกไปเมื่อขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว “อื้อ” วันนี้แดนดินต้องไปจัดการธุระให้พ่อในตัวอำเภอพอดี จึงถือโอกาสชวนคนน้องไปด้วย ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ “นี่รถใครอะ” ธีร์รันเอ่ยถามเมื่อคนพี่เริ่มออกรถไปได้สักพัก เพราะปกติเห็นคนพี่เอาแต่ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ทุกวัน พอมาวันนี้กลับดูแปลกตาไปมาก ทั้งจากลักษณะและการแต่งตัวที่ดูมาดแมนไปซะหมด “รถอ้ายนี่ล่ะ” แดนดินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่สายตาก็กำลังจดจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง “ทำไมไม่เคยเห็นเอามาขับเลยล่ะ” “อยู่บ้านข
บรรยากาศงานบุญวันนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น บุญบวชมักจัดเป็นงานใหญ่ มีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน ช่วงเช้าจะมีการตักบาตรและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่จะทำพิธีผูกข้อมือให้พรนาค จากนั้นจึงจะเข้าสู่พิธีการบวชซึ่งชาวบ้านก็จะช่วยกันในทุกขั้นตอน ทั้งการเตรียมอาหาร และการเตรียมขบวนแห่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย เช้านี้ธีร์รันได้มาช่วยงานบุญกับป้าสาย ภายในครัวหลังบ้านจะมีชาวบ้านที่มาช่วยกันทำอาหารหลายอย่าง หน้าที่ของเขาคือการยกถาดกับข้าวมาให้แขกภายในงานที่เริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ เริ่มแรกธีร์รันก็ช่วยงานแบบทุลักทุเลเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนทำอะไรแบบนี้ แต่โชคดีที่มีป้าเดือนคอยสอน ทำให้เขาเริ่มที่จะทำงานได้คล่องมากขึ้น หลังจากที่เดินช่วยงานจนเหนื่อย ตนจึงได้หลบออกมานั่งพักที่แคร่ใต้ร่มไม้ ธีร์รันที่ไม่ค่อยได้เดินระยะทางไกล ๆ ทำเอาวันนี้เขาเมื่อยขาไปหมด “เมื่อยบ่” (เหนื่อยไหม) ธีร์รันที่ก้มนวดขาตัวเองอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองตามเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นแดนดินที่เดินมานั่งบนแคร่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นน้ำในมือมาให้คนน้อง “ขอบคุณนะ” ธีร์รันกล่าวข
บรรยากาศตอนเช้าของหมู่บ้านยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน สายลมเย็นฉ่ำบวกกับเสียงระฆังที่ดังแววมาจากวัดที่ อยู่ไม่ไกล พระสงฆ์เดินบิณฑบาตไปตามทางของหมู่บ้าน ในขณะที่ชาวบ้านบางคนต่างพากันเตรียมอุปกรณ์ไปไร่ไปนา เสียงวัวเสียงควายที่ถูกจูงออกจากคอกดังก้องประสานกับเสียงพูดคุยทักทายกัน ธีร์รันที่คิดว่าตนเองตื่นเช้ามากแล้ว แต่สำหรับคนที่นี่เวลานี้ก็ถือว่าสายจนตะวันโด่ง ตนจึงรีบลุกมาจัดแจงตัวเอง หลังจากที่ธีร์รันไปช่วยแดนดินซ่อมรั้ววันนั้น นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ทันทีที่ลงมาจากบ้านก็ใช้สายตามองหาลุงกับป้า แต่พบเพียงกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ตนก็ได้มานั่งเล่นที่เปลใต้ถุนบ้าน บรรยากาศเย็นสบายที่ลมพัดผ่านบวกกับความเงียบสงบ ทำให้ธีร์รันหวนนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ธีร์รันหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู หลังจากมาที่นี่ก็ไม่มีเหตุให้ได้ใช้เท่าไร เลื่อนดูรูปภาพเก่า ๆ ตอนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ดูไปหวนระลึกถึงไป ครั้งก่อนมันเคยดีกว่านี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรไปหมด ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านกระเ
สายลมที่พัดผ่านท้องนาเริ่มแผ่วลง เหลือเพียงไอแดดที่เต้นระยิบระยับเหนือผืนดิน แสงแดดส่องลงมาในมุมสูงตรงทำให้เงาของต้นไม้ใหญ่สั้นลงเรื่อย ๆ จนแทบจะแนบกับโคนลำต้น เช่นเดียวกับเงาของแดนดินที่ดูเหมือนจะถูกอัดแน่นเข้ากับตัวเอง แดนดินจัดการซ่อมรั้วท่ามกลางแดดที่เริ่มร้อน ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลชุ่มตามขมับและลำคอ แต่เขายังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด “หิวข้าวหรือยัง” หลังจากรีบทำจนเสร็จจึงได้เดินมาถามคนน้องที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามหน้าผากและไรผมแล้ว “โครก~” “อุบ...” แดนดินหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะพยายามกลั้นเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม เพราะความน่ารักของคนน้อง ที่ตอนนี้เสียงท้องก็ได้ตอบคำถามแทนเจ้าตัวแล้ว “หัวเราะอะไรเนี่ย...หยุดเลยนะ” ธีร์รันคิ้วขมวดเล็กน้อยและทำปากย่น พร้อมกับแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อ อาจจะด้วยความร้อนและอายที่คนพี่หัวเราะคิกคัก “หึ...ปะ อ้ายสิพาไปกินข้าว” (หึ...มา พี่จะพาไปกินข้าว) แดนดินจัดการเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องโดยมีธีร์รันรีบไปช่วยเก็บให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะตอนนี้ตนหิวถ
ท้องฟ้ายามรุ่งสาง เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมชมพู สายลมบาง ๆ ในตอนเช้า ได้พัดผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ลอยผ่านมาปะทะร่างบางที่กำลังนอนขลุกอยู่บนเตียง เสียงไก่ขันในตอนเช้าปลุกให้ธีร์รันที่กำลังนอนอยู่ ยันกายขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมยามเช้า บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ แตกต่างจากความวุ่นวายที่เมืองกรุง ทุกเช้าของคนที่นี่เป็นไปอย่างเรียบง่าย เสียงพูดคุยทักทายกันยามเช้าแว่วมาตามสายลมอยู่เป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะแตกต่างจากที่ที่ตนเคยอยู่มาก แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่วันนั้นหลังจากตนมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากผู้เป็นพ่อเลย แม้แต่ข้อความที่ถามไถ่ก็ไม่มีแม้แต่ข้อความเดียว จะมีก็เพียงแค่นับดาวเพื่อนสนิทของเขา ที่โทรมาไม่เว้นเช้าเย็น ตนไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและคุณพ่อจะแย่ลงถึงเพียงนี้ แต่ก่อนก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเลยทีเดียว แต่หลังจากที่เสียคุณแม่ไป พ่อก็เข้มงวดมากขึ้น จนตนไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้เลย มีเพียงพ่อที่คอยจัดแจงให้ทุกอย่าง
“ทำไมพ่อต้องบังคับรันด้วย” “รันแค่อยากทำงานที่รันชอบ รันผิดตรงไหน” การโต้เถียงเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศภายในบ้านก็ดูตึงเครียด เหล่าคนงานต่างพากันทำตัวไม่ถูก จนต้องหาที่หลบไปจากตรงนี้ สาเหตุก็เนื่องมาจาก “ธีร์รัน” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่ต่างประเทศ และตั้งใจจะมาทำธุรกิจ นั่นก็คือการเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ผู้เป็นพ่ออย่าง “ธานินทร์” กลับไม่เห็นด้วย เพราะอยากที่จะให้ลูกได้รับช่วงต่อธุรกิจที่ตนสร้างขึ้นมา “แกต้องรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว” “ไอ้การออกแบบเสื้อผ้าบ้า ๆ นี่ ล้มเลิกไปซะ” แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของธานินทร์ได้ถูกปาออกไปยังคนตรงหน้า ธีร์รันมองแผ่นกระดาษที่กำลังค่อย ๆ ร่วงหล่นกระจายไปตามพื้น มันเป็นแผ่นงานร่างแบบเสื้อผ้าที่ตนทุ่มเทให้กับมันมาก เพราะตอนเป็นเด็กตนเคยได้ลองทำกับคุณแม่ที่เสียไปเมื่อหลายปีมาแล้ว มันจึงเป็นงานที่ตนรักมากและเป็นความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ “แล้วไอ้ธุรกิจของพ่อมันมีดีอะไรนักหนา” “พ่อชอบมันนักหนา พ่อก็ทำไปเองคนเดียวสิ”

![นายบำเรอของมาเฟีย [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

![อุบัติรักฟีโรโมน [Omagaverse]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)



