Beranda / วาย / อ้อมกอดแดนดิน / เรื่องราวที่ ๓ ช่วยงาน

Share

เรื่องราวที่ ๓ ช่วยงาน

Penulis: JaoNila
last update Terakhir Diperbarui: 2025-11-19 14:00:17

        บรรยากาศตอนเช้าของหมู่บ้านยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน สายลมเย็นฉ่ำบวกกับเสียงระฆังที่ดังแววมาจากวัดที่ อยู่ไม่ไกล พระสงฆ์เดินบิณฑบาตไปตามทางของหมู่บ้าน ในขณะที่ชาวบ้านบางคนต่างพากันเตรียมอุปกรณ์ไปไร่ไปนา เสียงวัวเสียงควายที่ถูกจูงออกจากคอกดังก้องประสานกับเสียงพูดคุยทักทายกัน

        ธีร์รันที่คิดว่าตนเองตื่นเช้ามากแล้ว แต่สำหรับคนที่นี่เวลานี้ก็ถือว่าสายจนตะวันโด่ง ตนจึงรีบลุกมาจัดแจงตัวเอง หลังจากที่ธีร์รันไปช่วยแดนดินซ่อมรั้ววันนั้น นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว

        ทันทีที่ลงมาจากบ้านก็ใช้สายตามองหาลุงกับป้า แต่พบเพียงกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ตนก็ได้มานั่งเล่นที่เปลใต้ถุนบ้าน บรรยากาศเย็นสบายที่ลมพัดผ่านบวกกับความเงียบสงบ ทำให้ธีร์รันหวนนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา

        ธีร์รันหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู หลังจากมาที่นี่ก็ไม่มีเหตุให้ได้ใช้เท่าไร เลื่อนดูรูปภาพเก่า ๆ ตอนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ดูไปหวนระลึกถึงไป ครั้งก่อนมันเคยดีกว่านี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรไปหมด

        ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิงไปกว่านี้  เสียงรถที่ขับเข้ามาในบ้านก็ช่วยเรียกสติกลับมาได้เป็นอย่างดี และไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นแดนดินนั่นเอง

        “น้าสายให้มารับไปช่วยงาน”

        “งานอะไร...อย่าบอกว่าไปซ่อมรั้วอีกนะ”

        “บ่...ช่วยเตรียมงานบวช”

        “อื้อ...รอแป๊บนะ”

        ธีร์รันที่ใส่กางเกงขาสั้นรีบวิ่งหายขึ้นไปบนบ้าน ก่อนที่จะลงมาพร้อมกับชุดที่ดูสุภาพ

        .

        .

        “คุณจะบวชเหรอ” ธีร์รันเอ่ยถามขณะนั่งซ้อนท้ายคนพี่มา

        “บ่...หมู่อ้ายบวช อ้ายบวชไปแล้ว”

        “พี่สิงจะบวชเหรอ”

        “บ่...หมู่อ้ายอีกคนบักเหนือ”

        “อืม...แล้วต้องทำอะไรบ้างอะ”

        “ไปฮอดเดี๋ยวกะรู้เองดอก” (ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง)

         แดนดินที่ต้องคอยตอบคำถามตั้งแต่ขับรถออกมาก็ได้แต่นึกอยู่ในใจ เพราะนอกจากต้องคอยตอบคำถามของสิงหาแล้วตอนนี้ก็มีธีร์รันเพิ่มมาอีกคน

        ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงบ้านที่จะจัดงาน ภายในบริเวณบ้านมีญาติและเพื่อนบ้านหลายคนมาช่วยกันจัดเตรียมสถานที่และเครื่องใช้ที่จำเป็น ตรงหน้าบ้านก็มีเต็นท์ผ้าใบที่ยังไม่ได้กางอีกหลายหลัง

        “ทำไมคนที่นี่จ้องเราแปลก ๆ อะ”

        ทันทีที่ธีร์รันมาถึงก็โดนสายตาแทบจะทุกสายตาจดจ้องมาที่ตนเอง ก่อนจะเดินมาหลบหลังคนพี่อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

        “เพิ่นบ่เคยเห็นหน้ากะเลยแนมซือ ๆ บ่มีหยังดอก คนอยู่นี่เพิ่นใจดี” (เขาไม่เคยเจอหน้าก็เลยมองเฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอก คนที่นี่เขาใจดี)

        “จริง ๆ นะ”

        “แมน...น้าสายอยู่ครัวหลังบ้านเด้อ อ้ายไปกางเต็นท์ช่วยเพิ่นก่อน” (ใช่...น้าสายอยู่ครัวหลังบ้านนะ พี่ไปกางเต็นท์ช่วยเขาก่อน)

        “อือ”

        ธีร์รันพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินมาหลังบ้านก็พบกับป้าสายและชาวบ้านคนอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งที่กำลังเตรียมงานและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

        “รัน...นี่ป้าเดือนเป็นแม่ของอ้ายแดนเด้อลูก”

        “สวัสดีครับ”

        ธีร์รันมองหน้าคนที่ทักทายด้วยความรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินว่าเป็นแม่ของแดนดิน เพราะป้าเดือนดูท่าทางใจดีซึ่งขัดกับคนพี่ที่ชอบแกล้งตนอยู่เรื่อย

        “สวัสดีลูก กินข้าวแล้วไป่ มา ๆ มากินข้าวนำกัน” (สวัสดีลูก กินข้าวหรือยัง มา ๆ มากินข้าวด้วยกัน)

        “ผมทานมาเรียบร้อยแล้วครับ”

        ธีร์รันที่ถูกต้อนรับอย่างดีจากใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคนที่นี่ ก็รู้สึกผ่อนคลายด้วยบรรยากาศที่ดูอบอุ่น

        หลังจากที่ทักทายชาวบ้านคนอื่น ๆ อยู่สักพัก ธีร์รันก็ได้ช่วยหยิบจับงานง่าย ๆ ที่พอจะทำได้อย่างไม่อิดออด เพราะตนก็เริ่มที่จะสนุกกับการได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ อยู่บ้าง

        “รัน...มาป้าสิสอนตำบักหุ่ง” (รัน...มาป้าจะสอนตำส้มตำ) ป้าเดือนที่รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ จึงได้เอ็นดูธีร์รันเป็นพิเศษก่อนจะกวักมือเรียกให้คนเมืองกรุงมานั่งข้าง ๆ ตน

        “บัก...หุ่ง?”

        “มะละกอ เคยตำบ่” ป้าเดือนตอบคำถามพลางยิ้มด้วยความเอ็นดู

        “อ๋อ...ไม่ครับ แต่เคยกินอยู่ครับ”

        “กินปลาแดกบ่ ลองเบิ่งเด้อลูกแล้วสิติดใจ” (กินปลาร้าไหม ลองดูนะลูกแล้วจะติดใจ)

        ว่าพลางอุปกรณ์และเครื่องปรุงสำหรับทำส้มตำก็ได้ถูกนำมาจัดเตรียมไว้ กลิ่นมะนาวและกลิ่นปลาร้าที่ลอยมาแตะจมูก ชวนเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี

        “ครับ...”

        หลังจากที่สอนกันอยู่สักพัก ไม่นานส้มตำจานแรกในชีวิตของธีร์รันก็ได้เสร็จเป็นที่เรียบร้อย

        “นี่ครับป้าเดือน”

        ธีร์รันยื่นจานส้มตำให้ป้าเดือนดูด้วยความตื่นเต้นและภูมิใจในตัวเองนิด ๆ ที่หน้าตามันออกมาดูดีกว่าที่คิดไว้

        “หน้าตาเป็นตะแซ่บ เดี๋ยวป้าหาคนชิมให้...แดนมานี่ลูก”

        “ชิมตำบักหุ่งให้แน น้องตำเทือแรก” (ชิมส้มตำให้หน่อย น้องตำครั้งแรก)

        “สิบ่ตายซะเบาะ...เอ๊อะ ๆ”

        พูดไม่ทันได้จบประโยคแดนดินก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะโดนผู้เป็นแม่หยิกเข้าที่เอวสอบอย่างแรง

        “มาอ้ายชิมให้กะได้”

        แดนดินที่คิดว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะหน้าตาก็ถือว่าใช้ได้ บวกกับกลิ่นหอมที่ลอยมาปะทะจมูก ตนจึงได้อาสาที่จะชิมให้

        “พรวด!! แค่ก แค่ก นี่มันตำบักหุ่งหรือเชื่อมบักหุ่งนี่ หวานคัก”

        “โอ๊ย! เบาหวานขึ้นตา”

        “พูดเกินไป มันก็ไม่ได้หวานขนาดนั้นหรอก มานี่เดี๋ยวเราชิมเอง”

        ธีร์รันทำหน้างอเพราะคิดว่าคราวนี้คนพี่ก็คงแค่แกล้งตนอีกตามเคย ก่อนจะตักส้มตำมาคำโตแล้วยัดเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว

        “พรวด!!”

        “ฮึ ๆ” แดนดินที่เห็นท่าทางของคนน้องแล้วอดขำไม่ได้ จึงได้หลุดขำออกมา บวกกับเสียงหัวเราะของชาวบ้านที่เอ็นดูในความน่ารักของธีร์รัน ทำให้เจ้าตัวถึงกับหน้าแดงแจ๋

        “บ่เป็นหยังลูก เทือแรกกะแบบนี้หล่ะ เทือหน้ามาลองใหม่เด้อ”

        ป้าเดือนที่เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงได้พูดปลอบใจเด็กน้อยที่กำลังทำหน้าหงอย

        “ปะ อ้ายพาไปเอาบักพร้าว”

        แดนดินที่เห็นคนน้องซึมไปก็รีบชวนเปลี่ยนบรรยากาศ เผื่อเจ้าตัวเล็กจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

        “เอากล้วยกับตองมานำแนเด้อแม่สิห่อข้าวต้ม น้องรันไปช่วยอ้ายแนเด้อลูก”

        “ครับ”

        “ปะ บักสิงกับบักเหนือถ่าโดนแล้ว” (ปะ ไอ้สิงกับไอ้เหนือรอนานแล้ว)

        หลังจากที่เดินตามกันมาบริเวณหน้าบ้าน ก็เจอกับสิงหาและอีกคนที่น่าจะเป็นเหนือที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วบนรถพ่วงข้างมอเตอร์ไซค์

        “เราจะไปรถคันนี้กันจริง ๆ เหรอ”

        ธีร์รันถามเพื่อความมั่นใจเพราะตนก็ไม่เคยนั่งรถพ่วงข้างมอเตอร์ไซค์มาก่อน และกังวลว่ารถคันนี้จะพาไปถึงที่หมายได้หรือเปล่า ถึงแม้ว่าตนจะตัวเล็กก็จริง แต่อีกสามคนกลับไม่ใช่เลย

        “คันนี่ล่ะ มาขึ้นรถ”

        แดนดินว่าพลางจัดแจงที่นั่งให้กับคนตัวเล็ก โดยมีเหนือประจำที่ตำแหน่งคนขับ ถัดมาคือสิงหาที่นั่งซ้อนท้าย ส่วนตนนั่งที่บริเวณพ่วงข้างและมีคนน้องนั่งอยู่ใกล้ ๆ

        “จับอ้ายไว้ดี ๆ มันสิตกรถ” ว่าพลางแขนแกร่งก็ได้ถูกวางไว้ที่หน้าขาเพื่อให้คนน้องจับได้ถนัด

        สิงหาและเหนือที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้หันมามองหน้ากันอย่างมีเลศนัย

        เมื่อมาถึงที่หมาย ซึ่งก็คือสวนของพ่อใหญ่คำเมืองนั่นเอง ลักษณะเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีพืชพรรณนานาชนิด ถูกปลูกเรียงรายกันอย่างเป็นสัดส่วน มีช่องทางเดินเล็ก ๆ ที่เกิดจากการเหยียบย่ำใช้งานภายในสวน และกลิ่นดินเปียกจากการรดน้ำที่โชยมาปะทะกับจมูก ทำให้รู้ว่าสวนแห่งนี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

        “เดี๋ยวกูกับบักเหนือไปเอาบักพร้าวเด้อ มึงกับน้องรันไปหากล้วยเลย”

        หลังจากที่สิงและเหนือได้พยักหน้าส่งสัญญาณให้กัน จึงขอปลีกตัวไปอีกทางเพื่อจัดแจงให้เพื่อนได้มีเวลาอยู่กับคนน้อง

        “อืม”

        หลังจากที่เหนือและสิงแยกตัวออกไป ทางด้านของแดนดินและธีร์รันก็ได้เดินเสาะหากล้วยที่สุกกำลังพอดีสำหรับทำข้าวต้มมัด

        หลังจากที่เดินอยู่นานทั้งคู่ก็มาถึงต้นกล้วยที่มีเครือกล้วยขนาดใหญ่ พร้อมลูกที่สุกกำลังพอดี แดนดินจัดการใช้มีดฟันที่กึ่งกลางลำต้นทำให้เครือกล้วยค่อย ๆ เอนลงมา

        “ต้องตัดต้นเลยเหรอ”

        “แมน เดี๋ยวมันกะแทงหน่อขึ้นมาใหม่”

        “เอ๋ามีด...ตัดใบตองมาจักห้าหกก้านเด้อ”

        แดนดินว่าพลางยื่นมีดให้คนน้องสำหรับตัดใบตอง ก่อนที่ตนจะหันกลับมาจัดการกับเครือกล้วยต่อ

        “เอาแบบไหนอะ”

        “เลือกใบที่มันงาม ๆ บ่ค่อยขาด ระวังเสื้อถืกยางกล้วยเด้อ” (เลือกใบที่สวย ๆ ไม่ค่อยขาด ระวังเสื้อเปื้อนยางกล้วยนะ)

        ธีร์รันพยักหน้ารับคำ พลางเลือกดูใบตองที่คิดว่าใช้ได้ตามต้นที่เอนลงมา ก่อนจะใช้มีดหั่น ๆ บริเวณก้านของใบตอง

        “ตัดเลย แบบนี้”

        แดนดินที่หันมาเจอคนน้องกำลังหั่นก้านกล้วยก็ถึงกับส่ายหน้า ก่อนจะหยิบมีดมาตัดก้านกล้วยให้คนน้องดู เพราะถ้าปล่อยให้ทำเองวันนี้ทั้งวันคงได้ไม่ถึงสามก้าน

        คนตัวเล็กก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่มีบ่น เมื่อทั้งคู่ได้ของครบแล้วจึงได้ลัดเลาะมาตามทางเดิน โดยมีธีร์รันถือก้านกล้วยเดินนำหน้าและมีแดนดินถือเครือกล้วยเดินตามหลัง

        “อ๊ะ!  ฟึ่บ!”

        คนตัวเล็กที่หอบใบกล้วยพะรุงพะรังทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้า เป็นเหตุให้เท้าลื่นไถลบนพื้นที่เปียกตามทางเดิน โชคดีที่มีแดนดินเดินตามหลังช่วยคว้าไว้ได้ทัน

        “เป็นหยังหลายบ่” (เป็นอะไรมากไหม)

        ธีร์รันที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของแดนดิน ทำให้สายตาทั้งคู่ประสานกัน ใบหน้าที่ตอนนี้อยู่ห่างไม่ถึงเอื้อม ก็ทำให้ธีร์รันเกิดความรู้สึกจั๊กจี้ที่หัวใจแปลก ๆ

        ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปกว่านี้ ธีร์รันได้สติดันตัวเองผละออกจากอกคนพี่ แล้วหันกลับไปก้มเก็บใบตองที่ตอนนี้ก็ตกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น

        “เราไม่เป็นอะไรมาก ขอบคุณนะ”

         ธีร์รันตอบทั้ง ๆ ที่หันหลังให้กับคนพี่ เพราะกลัวว่าคนพี่จะสังเกตเห็นอาการของตน ที่ตอนนี้ทั้งใบหน้าทั้งใบหูต่างก็แดงเป็นลูกตำลึง

        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดต่างก็ไม่พ้นสายตาของสิงหาและเหนือ ที่ทั้งคู่ต่างก็มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

        “มึงวาสองคนนี้สิมีอิหยังในกอไผ่บ่วะ” เหนือที่นั่งมองท่าทางของทั้งคู่มาสักพักจึงได้เอ่ยถามขึ้นมา

        “ตอนนี้อาจจะบ่ แต่ต่อไปกูว่าบ่แน่”

        สิงเอ่ยตอบไปอย่างมั่นใจ เพราะตนรู้จักกับเพื่อนคนนี้มานาน ทำให้เขาพอจะรู้นิสัยใจคอและความชอบของเพื่อนไปด้วย

        “ตัวเล็ก ขาว น่ารักแบบนี้ สเปคมันเลย”

        “อือ หวังว่าคงบ่เป็นคือคนเก่าของมันละกัน”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๕ ซื้อของ

    “ปี๊น ปี๊น!” เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่ถึงกับต้องชะโงกหน้าออกไปดูผ่านทางหน้าต่าง ก่อนจะรีบจัดเตรียมเอาสิ่งของที่จำเป็นและวิ่งลงมาจากบ้านด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน “ป้าสายผมไปก่อนนะครับ” ธีร์รันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถ ซึ่งตอนนี้คนขับก็ได้นั่งรอพร้อมกับฟังเพลงที่เปิดคลอไว้อย่างสบายอารมณ์ภายในรถกระบะสีดำคันใหญ่ ที่วันนี้ได้ออกมาจากโรงจอดรถสักที “พร้อมยัง” แดนดินที่ประจำตรงที่นั่งคนขับ ได้เอ่ยถามคนน้องออกไปเมื่อขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว “อื้อ” วันนี้แดนดินต้องไปจัดการธุระให้พ่อในตัวอำเภอพอดี จึงถือโอกาสชวนคนน้องไปด้วย ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ “นี่รถใครอะ” ธีร์รันเอ่ยถามเมื่อคนพี่เริ่มออกรถไปได้สักพัก เพราะปกติเห็นคนพี่เอาแต่ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ทุกวัน พอมาวันนี้กลับดูแปลกตาไปมาก ทั้งจากลักษณะและการแต่งตัวที่ดูมาดแมนไปซะหมด “รถอ้ายนี่ล่ะ” แดนดินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่สายตาก็กำลังจดจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง “ทำไมไม่เคยเห็นเอามาขับเลยล่ะ” “อยู่บ้านข

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๔ แห่นาค

    บรรยากาศงานบุญวันนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น บุญบวชมักจัดเป็นงานใหญ่ มีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน ช่วงเช้าจะมีการตักบาตรและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่จะทำพิธีผูกข้อมือให้พรนาค จากนั้นจึงจะเข้าสู่พิธีการบวชซึ่งชาวบ้านก็จะช่วยกันในทุกขั้นตอน ทั้งการเตรียมอาหาร และการเตรียมขบวนแห่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย เช้านี้ธีร์รันได้มาช่วยงานบุญกับป้าสาย ภายในครัวหลังบ้านจะมีชาวบ้านที่มาช่วยกันทำอาหารหลายอย่าง หน้าที่ของเขาคือการยกถาดกับข้าวมาให้แขกภายในงานที่เริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ เริ่มแรกธีร์รันก็ช่วยงานแบบทุลักทุเลเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนทำอะไรแบบนี้ แต่โชคดีที่มีป้าเดือนคอยสอน ทำให้เขาเริ่มที่จะทำงานได้คล่องมากขึ้น หลังจากที่เดินช่วยงานจนเหนื่อย ตนจึงได้หลบออกมานั่งพักที่แคร่ใต้ร่มไม้ ธีร์รันที่ไม่ค่อยได้เดินระยะทางไกล ๆ ทำเอาวันนี้เขาเมื่อยขาไปหมด “เมื่อยบ่” (เหนื่อยไหม) ธีร์รันที่ก้มนวดขาตัวเองอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองตามเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นแดนดินที่เดินมานั่งบนแคร่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นน้ำในมือมาให้คนน้อง “ขอบคุณนะ” ธีร์รันกล่าวข

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๓ ช่วยงาน

    บรรยากาศตอนเช้าของหมู่บ้านยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน สายลมเย็นฉ่ำบวกกับเสียงระฆังที่ดังแววมาจากวัดที่ อยู่ไม่ไกล พระสงฆ์เดินบิณฑบาตไปตามทางของหมู่บ้าน ในขณะที่ชาวบ้านบางคนต่างพากันเตรียมอุปกรณ์ไปไร่ไปนา เสียงวัวเสียงควายที่ถูกจูงออกจากคอกดังก้องประสานกับเสียงพูดคุยทักทายกัน ธีร์รันที่คิดว่าตนเองตื่นเช้ามากแล้ว แต่สำหรับคนที่นี่เวลานี้ก็ถือว่าสายจนตะวันโด่ง ตนจึงรีบลุกมาจัดแจงตัวเอง หลังจากที่ธีร์รันไปช่วยแดนดินซ่อมรั้ววันนั้น นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ทันทีที่ลงมาจากบ้านก็ใช้สายตามองหาลุงกับป้า แต่พบเพียงกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ตนก็ได้มานั่งเล่นที่เปลใต้ถุนบ้าน บรรยากาศเย็นสบายที่ลมพัดผ่านบวกกับความเงียบสงบ ทำให้ธีร์รันหวนนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ธีร์รันหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู หลังจากมาที่นี่ก็ไม่มีเหตุให้ได้ใช้เท่าไร เลื่อนดูรูปภาพเก่า ๆ ตอนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ดูไปหวนระลึกถึงไป ครั้งก่อนมันเคยดีกว่านี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรไปหมด ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านกระเ

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๒ มากินข้าวนำกันเด้ออ้าย

    สายลมที่พัดผ่านท้องนาเริ่มแผ่วลง เหลือเพียงไอแดดที่เต้นระยิบระยับเหนือผืนดิน แสงแดดส่องลงมาในมุมสูงตรงทำให้เงาของต้นไม้ใหญ่สั้นลงเรื่อย ๆ จนแทบจะแนบกับโคนลำต้น เช่นเดียวกับเงาของแดนดินที่ดูเหมือนจะถูกอัดแน่นเข้ากับตัวเอง แดนดินจัดการซ่อมรั้วท่ามกลางแดดที่เริ่มร้อน ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลชุ่มตามขมับและลำคอ แต่เขายังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด “หิวข้าวหรือยัง” หลังจากรีบทำจนเสร็จจึงได้เดินมาถามคนน้องที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามหน้าผากและไรผมแล้ว “โครก~” “อุบ...” แดนดินหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะพยายามกลั้นเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม เพราะความน่ารักของคนน้อง ที่ตอนนี้เสียงท้องก็ได้ตอบคำถามแทนเจ้าตัวแล้ว “หัวเราะอะไรเนี่ย...หยุดเลยนะ” ธีร์รันคิ้วขมวดเล็กน้อยและทำปากย่น พร้อมกับแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อ อาจจะด้วยความร้อนและอายที่คนพี่หัวเราะคิกคัก “หึ...ปะ อ้ายสิพาไปกินข้าว” (หึ...มา พี่จะพาไปกินข้าว) แดนดินจัดการเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องโดยมีธีร์รันรีบไปช่วยเก็บให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะตอนนี้ตนหิวถ

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๑ ซ่อมรั้ว...ซ่อมใจ

    ท้องฟ้ายามรุ่งสาง เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมชมพู สายลมบาง ๆ ในตอนเช้า ได้พัดผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ลอยผ่านมาปะทะร่างบางที่กำลังนอนขลุกอยู่บนเตียง เสียงไก่ขันในตอนเช้าปลุกให้ธีร์รันที่กำลังนอนอยู่ ยันกายขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมยามเช้า บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ แตกต่างจากความวุ่นวายที่เมืองกรุง ทุกเช้าของคนที่นี่เป็นไปอย่างเรียบง่าย เสียงพูดคุยทักทายกันยามเช้าแว่วมาตามสายลมอยู่เป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะแตกต่างจากที่ที่ตนเคยอยู่มาก แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่วันนั้นหลังจากตนมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากผู้เป็นพ่อเลย แม้แต่ข้อความที่ถามไถ่ก็ไม่มีแม้แต่ข้อความเดียว จะมีก็เพียงแค่นับดาวเพื่อนสนิทของเขา ที่โทรมาไม่เว้นเช้าเย็น ตนไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและคุณพ่อจะแย่ลงถึงเพียงนี้ แต่ก่อนก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเลยทีเดียว แต่หลังจากที่เสียคุณแม่ไป พ่อก็เข้มงวดมากขึ้น จนตนไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้เลย มีเพียงพ่อที่คอยจัดแจงให้ทุกอย่าง

  • อ้อมกอดแดนดิน   อารัมภบท

    “ทำไมพ่อต้องบังคับรันด้วย” “รันแค่อยากทำงานที่รันชอบ รันผิดตรงไหน” การโต้เถียงเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศภายในบ้านก็ดูตึงเครียด เหล่าคนงานต่างพากันทำตัวไม่ถูก จนต้องหาที่หลบไปจากตรงนี้ สาเหตุก็เนื่องมาจาก “ธีร์รัน” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่ต่างประเทศ และตั้งใจจะมาทำธุรกิจ นั่นก็คือการเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ผู้เป็นพ่ออย่าง “ธานินทร์” กลับไม่เห็นด้วย เพราะอยากที่จะให้ลูกได้รับช่วงต่อธุรกิจที่ตนสร้างขึ้นมา “แกต้องรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว” “ไอ้การออกแบบเสื้อผ้าบ้า ๆ นี่ ล้มเลิกไปซะ” แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของธานินทร์ได้ถูกปาออกไปยังคนตรงหน้า ธีร์รันมองแผ่นกระดาษที่กำลังค่อย ๆ ร่วงหล่นกระจายไปตามพื้น มันเป็นแผ่นงานร่างแบบเสื้อผ้าที่ตนทุ่มเทให้กับมันมาก เพราะตอนเป็นเด็กตนเคยได้ลองทำกับคุณแม่ที่เสียไปเมื่อหลายปีมาแล้ว มันจึงเป็นงานที่ตนรักมากและเป็นความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ “แล้วไอ้ธุรกิจของพ่อมันมีดีอะไรนักหนา” “พ่อชอบมันนักหนา พ่อก็ทำไปเองคนเดียวสิ”

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status