หน้าหลัก / วาย / อ้อมกอดแดนดิน / เรื่องราวที่ ๔ แห่นาค

แชร์

เรื่องราวที่ ๔ แห่นาค

ผู้เขียน: JaoNila
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-19 16:12:31

         บรรยากาศงานบุญวันนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น บุญบวชมักจัดเป็นงานใหญ่ มีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน ช่วงเช้าจะมีการตักบาตรและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่จะทำพิธีผูกข้อมือให้พรนาค จากนั้นจึงจะเข้าสู่พิธีการบวชซึ่งชาวบ้านก็จะช่วยกันในทุกขั้นตอน ทั้งการเตรียมอาหาร และการเตรียมขบวนแห่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย

         เช้านี้ธีร์รันได้มาช่วยงานบุญกับป้าสาย ภายในครัวหลังบ้านจะมีชาวบ้านที่มาช่วยกันทำอาหารหลายอย่าง หน้าที่ของเขาคือการยกถาดกับข้าวมาให้แขกภายในงานที่เริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ

         เริ่มแรกธีร์รันก็ช่วยงานแบบทุลักทุเลเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนทำอะไรแบบนี้ แต่โชคดีที่มีป้าเดือนคอยสอน ทำให้เขาเริ่มที่จะทำงานได้คล่องมากขึ้น

         หลังจากที่เดินช่วยงานจนเหนื่อย ตนจึงได้หลบออกมานั่งพักที่แคร่ใต้ร่มไม้ ธีร์รันที่ไม่ค่อยได้เดินระยะทางไกล ๆ ทำเอาวันนี้เขาเมื่อยขาไปหมด

         “เมื่อยบ่” (เหนื่อยไหม)

         ธีร์รันที่ก้มนวดขาตัวเองอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองตามเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นแดนดินที่เดินมานั่งบนแคร่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นน้ำในมือมาให้คนน้อง

         “ขอบคุณนะ” ธีร์รันกล่าวขอบคุณ ก่อนจะรับน้ำจากคนพี่มาดื่ม

         “คือได้มานั่งอยู่คนเดียว” แดนดินเอ่ยถามเพราะก่อนหน้านี้ตนเดินหาคนน้องทั่วงานแต่ก็ไม่พบ

         “แค่มานั่งพักเอาแรงเฉย ๆ”

         “คนกรุงเทพน้อ ยางส่ำนี้กะเมื่อย” (คนกรุงเทพหนอ เดินแค่นี้ก็เหนื่อย)

         แดนดินแซวคนน้องเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะตนมองว่าตอนนี้ธีร์รันมีอาการซึม ๆ อาจจะเพราะเหนื่อยหรืออะไรสักอย่าง แต่เขาไม่ต้องการให้คนน้องเป็นแบบนี้เลย

         “ชิ”

         ซึ่งมันได้ผล ธีร์รันที่ทำหน้าหงอยหันกลับมามองค้อนใส่คนพี่อย่างไม่สบอารมณ์

         “ปะ ไปกินข้าว แม่อ้ายกับน้าสายถ่าอยู่” (ปะ ไปกินข้าว แม่พี่กับน้าสายรออยู่) แดนดินว่าพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอามือวางไว้ที่หัวคนน้อง

         “อะ...อื้อ”

         ธีร์รันรู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะคนที่ปกติจะชอบแกล้ง ไม่นึกว่าจะมีมุมแบบนี้ด้วย ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะลุกเดินตามคนพี่ไป

         หลังจากที่ทานข้าวทานอะไรกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีร์รันรู้สึกเพลีย ๆ เพราะวันนี้ตนตื่นแต่เช้าตรู่บวกกับมาเดินช่วยงานจนเมื่อยขา ตนจึงอยากจะกลับไปพักผ่อนสักเล็กน้อย จึงได้ขอตัวกลับก่อน โดยมีแดนดินขับรถไปส่งที่บ้าน

         “พักผ่อนเด้อ”

         แดนดินที่คิดว่าวันนี้คงถึงขีดจำกัดของคนน้องแล้ว เลยกะจะให้พักเอาแรงก่อน เพราะตอนเช้าคงจะทำงานหนักเกินไปจริง ๆ ถึงได้หงอยเหมือนลูกหมาตกน้ำ

         “อื้อ”

         “บ่ายไปแห่นำอ้ายบ่”

         แดนดินที่ชั่งใจอยู่นานว่าจะชวนคนน้องดีหรือเปล่าจึงได้ตัดสินใจเอ่ยถามออกไป ใจหนึ่งก็อยากให้พักผ่อน ใจหนึ่งก็อยากให้คนน้องได้รู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตคนอีสานเผื่อเจออะไรสนุก ๆ แล้วจะอารมณ์ดีขึ้น

         “ถ้าไป...เดี๋ยวอ้ายมารับ”

         คนตัวเล็กเห็นท่าทางลังเลของคนพี่ ก็นึกขำอยู่ในใจ และคิดว่าวันนี้ตนคงทำให้คนอื่นเป็นห่วงเข้าแล้ว

         อื้อ...รบกวนด้วยนะ”

         พูดเสร็จตนก็รีบวิ่งขึ้นบ้านเพราะกลัวจะเสียอาการมากไปกว่านี้ ซึ่งแดนดินที่มองตามจนคนน้องเข้าบ้านก็แอบยิ้มอยู่คนเดียว ก่อนจะขับรถกลับไปช่วยงานต่อ

         หลังจากที่ได้พักผ่อนไปราว ๆ หนึ่งชั่วโมง ธีร์รันก็รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงกลับมา ก่อนจะลุกไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อรอไปร่วมงานบุญในช่วงบ่าย

         ธีร์รันแต่งตัวโดยใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ ๆ คู่กับกางเกงผ้าสบาย ๆ นั่งรอคนพี่ที่เปลใต้ถุนบ้าน ป้าสายที่กลับมาเตรียมตัวเช่นกัน ก็ได้หยิบผ้าขาวม้าผืนหนึ่งโดยนำมาพาดบ่าให้กับธีร์รัน ก่อนจะมองดูด้วยความเอ็นดู เพราะธีร์รันกับผ้าขาวม้าช่างดูเหมาะจริง ๆ

         จากนั้นไม่นานแดนดินก็ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งเข้ามาในบ้าน ลักษณะการแต่งตัวแบบเรียบง่าย แต่ดูดีในแบบบ้าน ๆ โดยใส่เสื้อเชิ้ตสีพื้นที่ดูสะอาดสะอ้าน ใส่คู่กับกางเกงยีนสีเข้ม ทุกอย่างดูเข้ากันจนทำให้ดูสะดุดตา เป็นเหตุให้ธีร์รันเผลอจ้องมองแบบไม่ตั้งใจ เช่นเดียวกับคนพี่ที่คิดว่าวันนี้คนน้องน่ารักเป็นพิเศษ

         ป้าสายที่เห็นดังนั้นจึงได้นำผ้าขาวม้าแบบเดียวกันกับที่ให้ธีร์รัน มาคาดเอวสอบให้กับแดนดิน ซึ่งมันทำให้ธีร์รันรู้สึกเขิน เพราะมันเหมือนกับว่าเขากำลังใส่ชุดคู่อยู่

         “ผมพาน้องไปก่อนเด้อครับ”

         หลังจากที่จัดแจงเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว แดนดินจึงได้เอ่ยเพื่อเป็นการขออนุญาตกับผู้เป็นน้า เพราะถ้าพาไปไหนโดยไม่ได้บอก ก็เกรงว่าจะเป็นห่วงเสียเปล่า

         “จ้า เบิ่งน้องให้น้านำเด้อลูก” (จ้า ดูแลน้องให้น้าด้วยนะลูก)

         “ครับ...ปะ”

         หลังจากที่คุยกับน้าสายเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงก็ได้หันมาชวนคนน้องที่ตอนนี้ก็ได้ยืนรออยู่ข้าง ๆ แล้ว

         “นี่มันไม่ใช่ทางไปบ้านงานนี่”

         หลังจากนั่งรถมาสักพัก ธีร์รันที่เห็นว่าทางที่กำลังจะไปเป็นคนละเส้นทางกับสถานที่จัดงาน จึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย

         “อ้ายสิพาไปหาอิหยังกินก่อน มันฮ้อน” (พี่จะพาไปหาอะไรกินก่อน มันร้อน)

         ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงร้านค้าแห่งหนึ่งภายในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นร้านขายของชำที่มีสินค้าและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด บริเวณด้านหน้ามีร้านขายน้ำผลไม้ปั่นตั้งอยู่

         “กินหยังเลือกเอาเลย”

         “แต่เราไม่มีเงินสดอะ สแกนจ่ายได้ไหม”

         ธีร์รันที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ทำให้ไม่มีเงินสดติดตัว อีกอย่างตอนที่อยู่กรุงเทพ ตนก็ใช้บัตรเครดิตเป็นส่วนใหญ่ พอต้องมาอยู่ที่นี่กะทันหัน เลยไม่ทันได้เตรียมตัวในส่วนนี้

         “บ่เป็นหยัง อ้ายเลี้ยง”

         พอได้ยินดังนั้นธีร์รันที่ทำตาลุกวาว ก่อนจะเดินไปสั่งน้ำผลไม้ปั่น ซึ่งแดนดินที่เห็นดังนั้นก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ก่อนที่ตนจะเข้าไปซื้อเครื่องดื่มชูกำลังภายในร้าน

         หลังจากที่ซื้อของเสร็จ แดนดินจึงได้เดินออกมาหาคนน้องเพื่อรอจ่ายเงิน

         “ตู้กดเงินอยู่ไกลไหมอะ”

         ธีร์รันเอ่ยถามหลังจากที่ยืนคิดมาสักพักเพราะการที่ตนจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานเงินสดก็จำเป็นมาก ๆ

         “ไกล...อยู่ในโตอำเภอ”

         “…”

         “ถ้ามื้อได๋อ้ายได้เข้าไป อ้ายสิมาเอิ้น” (ถ้าวันไหนพี่ได้เข้าไป พี่จะมาเรียก) แดนดินพูดต่อหลังจากที่เห็นคนน้องทำหน้าหงอย

         “ช่วงนี้ถ้าอยากซื้อหยังกะบอกอ้าย บ่ต้องเกรงใจ” (ช่วงนี้ถ้าอยากซื้ออะไรก็บอกพี่ ไม่ต้องเกรงใจ)

         ธีร์รันที่พอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับคำ ก่อนจะแอบยิ้มอยู่คนเดียว เพราะคิดว่าคนพี่ก็มีมุมที่ใจดีกับเขาเหมือนกัน

         “เป็นแฟนกันเบาะ”

         แม่ค้าที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้เอ่ยแซวขึ้นมา เพราะความน่ารักของทั้งคู่ที่แสดงออกมาชัดเจน ก่อนจะหันมาส่งยิ้มพร้อมกับยื่นน้ำแตงโมปั่นให้กับคนตัวเล็กกว่า

         “น้องครับ”

         แดนดินตอบพลางยื่นเงินไปจ่าย แม่ค้าที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่มองแล้วอมยิ้มตาม เพราะท่าทางของทั้งคู่ที่ดูเคอะเขินไม่เป็นตัวของตัวเอง บวกกับหูของคนพี่ที่เริ่มจะมีสีแดงระเรื่อ

         ขณะที่กำลังเดินไปขึ้นรถ แดนดินที่สังเกตเห็นท่าทีของคนน้องที่มือหนึ่งถือแก้วน้ำและอีกมือก็คอยจับผ้าขาวม้าไว้ไม่ให้หลุด พอเห็นดังนั้นตนจึงได้จัดการหยิบผ้าขาวม้าที่พาดไว้บนบ่า มาคาดไว้ที่เอวให้กับคนน้อง

         “ขอบคุณนะ”

         คนพี่ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับเฉย ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางมายังสถานที่จัดงาน ซึ่งพอมาถึงขบวนแห่ก็เริ่มเคลื่อนแล้ว โดยต้นขบวนก็จะมีนาคและญาติพี่น้องที่มาช่วยกันถือพานบายศรีและเครื่องบวช ส่วนท้ายขบวนก็จะมีชาวบ้านแทบจะทุกเพศทุกวัยที่มาร่วมขบวนแห่นาค โดยจะมีขบวนกลองยาวที่คอยบรรเลงจังหวะให้อยู่ตลอดทาง

         ทั้งคู่รีบเดินเข้าไปสมทบกับสิงหาที่ตอนนี้ก็ได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะเดินเข้าไปร่วมในส่วนท้ายขบวน ซึ่งตอนนี้ก็มีชาวบ้านมากหน้าหลายตาที่เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

         “เฮ็ดโตสบาย ๆ บ่ต้องเกร็ง”

         แดนดินที่เห็นว่าคนน้องทำท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ จึงได้ให้คำแนะนำกับคนน้องไป พร้อมกับเดินมายืนข้าง ๆ เพื่อที่จะไม่ทำให้น้องรู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียว

         “ก็เราไม่เคยมางานอะไรแบบนี้นี่ เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง”

         “แค่ม่วนไปนำบรรยากาศกะพอ ลองเบิ่ง” (แค่สนุกไปกับบรรยากาศก็พอ ลองดู)

         “ลองก็ลอง”

         ธีร์รันที่ตัดสินใจจะสนุกไปกับงานจึงได้ฝากแก้วน้ำไว้กับคนพี่ ก่อนที่จะพยายามมองซ้ายมองขวาจับจังหวะตามชาวบ้านพลางยกมือขึ้นรำด้วยลักษณะที่แข็งทื่อผิดกับชาวบ้านที่ดูพลิ้วไหว ทำให้คนแถวนั้นที่พบเห็นต่างก็มองด้วยความเอ็นดู

         “มันไม่ใช่ทางของเราเลยอะ”

         หลังจากที่พยายามอยู่นานแต่เหมือนจะไม่เป็นผล ธีร์รันจึงได้ล้มเลิกความพยายามพร้อมกับทำท่าทางที่ดูผิดหวัง

         “มันบ่มีถืกบ่มีผิด แค่เฮาม่วนกะพอ” (มันไม่มีถูกไม่มีผิด แค่เราสนุกก็พอ) ว่าพลางแดนดินก็ได้จับมือธีร์รันขึ้นมาเบา ๆ อย่างนุ่มนวล ก่อนจะพาคนน้องโยกไปตามจังหวะ

         ธีร์รันที่เห็นคนพี่เต้นไปพร้อมกับรอยยิ้ม ตนก็เริ่มที่จะปล่อยตัวตามสบายมากขึ้น ถึงแม้จะยังเต้นเหมือนหุ่นยนต์อยู่บ้าง แต่ด้วยความตั้งใจก็ทำให้ชาวบ้านส่งเสียงเชียร์และปรบมือให้

         ธีร์รันที่เริ่มเพลิดเพลินไปกับงานก็ได้หัวเราะออกมาแบบเขิน ๆ ก่อนจะพยายามเต้นต่อไป ซึ่งในบางจังหวะที่เขาเต้นหลุด ๆ หรือทำท่าทางประหลาดเกินใคร ชาวบ้านต่างก็พากันหัวเราะด้วยความเอ็นดู โดยเฉพาะแดนดินที่มองคนน้องด้วยสายตาที่ดูอบอุ่น และภูมิใจในตัวของธีร์รันที่กล้าเปิดใจสนุกไปกับงานนี้

         .

         .

         “เมื่อยบ่” (เหนื่อยไหม)

         แดนดินเอ่ยถามในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินกลับไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่บ้านงาน หลังจากที่แห่รอบหมู่บ้านเสร็จ จนตอนนี้ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

         “เหนื่อย แต่ก็สนุกดี”

         “ขอบคุณนะที่ชวนมา”

         ธีร์รันหันมายิ้มแฉ่งให้กับคนพี่แทนคำขอบคุณ เพราะวันนี้แดนดินทำให้รู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน และตนก็สนุกไปกับงานจริง ๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปเดินรับลมที่พัดมาเบา ๆ เสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้เลยยิ่งทำให้รู้สึกเย็นขึ้นไปอีก

         “อืม แค่ม่วนกะดีแล้วล่ะ”

         แดนดินอมยิ้มเบา ๆ เพราะคิดถูกแล้วที่พาคนน้องออกมา ทำให้เขารู้ว่าจริง ๆ แล้วธีร์รันก็ไม่ได้รังเกียจวิถีชีวิตแบบชาวอีสานเลยแม้แต่น้อย...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๕ ซื้อของ

    “ปี๊น ปี๊น!” เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่ถึงกับต้องชะโงกหน้าออกไปดูผ่านทางหน้าต่าง ก่อนจะรีบจัดเตรียมเอาสิ่งของที่จำเป็นและวิ่งลงมาจากบ้านด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน “ป้าสายผมไปก่อนนะครับ” ธีร์รันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถ ซึ่งตอนนี้คนขับก็ได้นั่งรอพร้อมกับฟังเพลงที่เปิดคลอไว้อย่างสบายอารมณ์ภายในรถกระบะสีดำคันใหญ่ ที่วันนี้ได้ออกมาจากโรงจอดรถสักที “พร้อมยัง” แดนดินที่ประจำตรงที่นั่งคนขับ ได้เอ่ยถามคนน้องออกไปเมื่อขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว “อื้อ” วันนี้แดนดินต้องไปจัดการธุระให้พ่อในตัวอำเภอพอดี จึงถือโอกาสชวนคนน้องไปด้วย ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ “นี่รถใครอะ” ธีร์รันเอ่ยถามเมื่อคนพี่เริ่มออกรถไปได้สักพัก เพราะปกติเห็นคนพี่เอาแต่ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ทุกวัน พอมาวันนี้กลับดูแปลกตาไปมาก ทั้งจากลักษณะและการแต่งตัวที่ดูมาดแมนไปซะหมด “รถอ้ายนี่ล่ะ” แดนดินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่สายตาก็กำลังจดจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง “ทำไมไม่เคยเห็นเอามาขับเลยล่ะ” “อยู่บ้านข

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๔ แห่นาค

    บรรยากาศงานบุญวันนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น บุญบวชมักจัดเป็นงานใหญ่ มีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน ช่วงเช้าจะมีการตักบาตรและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่จะทำพิธีผูกข้อมือให้พรนาค จากนั้นจึงจะเข้าสู่พิธีการบวชซึ่งชาวบ้านก็จะช่วยกันในทุกขั้นตอน ทั้งการเตรียมอาหาร และการเตรียมขบวนแห่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย เช้านี้ธีร์รันได้มาช่วยงานบุญกับป้าสาย ภายในครัวหลังบ้านจะมีชาวบ้านที่มาช่วยกันทำอาหารหลายอย่าง หน้าที่ของเขาคือการยกถาดกับข้าวมาให้แขกภายในงานที่เริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ เริ่มแรกธีร์รันก็ช่วยงานแบบทุลักทุเลเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนทำอะไรแบบนี้ แต่โชคดีที่มีป้าเดือนคอยสอน ทำให้เขาเริ่มที่จะทำงานได้คล่องมากขึ้น หลังจากที่เดินช่วยงานจนเหนื่อย ตนจึงได้หลบออกมานั่งพักที่แคร่ใต้ร่มไม้ ธีร์รันที่ไม่ค่อยได้เดินระยะทางไกล ๆ ทำเอาวันนี้เขาเมื่อยขาไปหมด “เมื่อยบ่” (เหนื่อยไหม) ธีร์รันที่ก้มนวดขาตัวเองอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองตามเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นแดนดินที่เดินมานั่งบนแคร่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นน้ำในมือมาให้คนน้อง “ขอบคุณนะ” ธีร์รันกล่าวข

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๓ ช่วยงาน

    บรรยากาศตอนเช้าของหมู่บ้านยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน สายลมเย็นฉ่ำบวกกับเสียงระฆังที่ดังแววมาจากวัดที่ อยู่ไม่ไกล พระสงฆ์เดินบิณฑบาตไปตามทางของหมู่บ้าน ในขณะที่ชาวบ้านบางคนต่างพากันเตรียมอุปกรณ์ไปไร่ไปนา เสียงวัวเสียงควายที่ถูกจูงออกจากคอกดังก้องประสานกับเสียงพูดคุยทักทายกัน ธีร์รันที่คิดว่าตนเองตื่นเช้ามากแล้ว แต่สำหรับคนที่นี่เวลานี้ก็ถือว่าสายจนตะวันโด่ง ตนจึงรีบลุกมาจัดแจงตัวเอง หลังจากที่ธีร์รันไปช่วยแดนดินซ่อมรั้ววันนั้น นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ทันทีที่ลงมาจากบ้านก็ใช้สายตามองหาลุงกับป้า แต่พบเพียงกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ตนก็ได้มานั่งเล่นที่เปลใต้ถุนบ้าน บรรยากาศเย็นสบายที่ลมพัดผ่านบวกกับความเงียบสงบ ทำให้ธีร์รันหวนนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ธีร์รันหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู หลังจากมาที่นี่ก็ไม่มีเหตุให้ได้ใช้เท่าไร เลื่อนดูรูปภาพเก่า ๆ ตอนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ดูไปหวนระลึกถึงไป ครั้งก่อนมันเคยดีกว่านี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรไปหมด ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านกระเ

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๒ มากินข้าวนำกันเด้ออ้าย

    สายลมที่พัดผ่านท้องนาเริ่มแผ่วลง เหลือเพียงไอแดดที่เต้นระยิบระยับเหนือผืนดิน แสงแดดส่องลงมาในมุมสูงตรงทำให้เงาของต้นไม้ใหญ่สั้นลงเรื่อย ๆ จนแทบจะแนบกับโคนลำต้น เช่นเดียวกับเงาของแดนดินที่ดูเหมือนจะถูกอัดแน่นเข้ากับตัวเอง แดนดินจัดการซ่อมรั้วท่ามกลางแดดที่เริ่มร้อน ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลชุ่มตามขมับและลำคอ แต่เขายังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด “หิวข้าวหรือยัง” หลังจากรีบทำจนเสร็จจึงได้เดินมาถามคนน้องที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามหน้าผากและไรผมแล้ว “โครก~” “อุบ...” แดนดินหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะพยายามกลั้นเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม เพราะความน่ารักของคนน้อง ที่ตอนนี้เสียงท้องก็ได้ตอบคำถามแทนเจ้าตัวแล้ว “หัวเราะอะไรเนี่ย...หยุดเลยนะ” ธีร์รันคิ้วขมวดเล็กน้อยและทำปากย่น พร้อมกับแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อ อาจจะด้วยความร้อนและอายที่คนพี่หัวเราะคิกคัก “หึ...ปะ อ้ายสิพาไปกินข้าว” (หึ...มา พี่จะพาไปกินข้าว) แดนดินจัดการเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องโดยมีธีร์รันรีบไปช่วยเก็บให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะตอนนี้ตนหิวถ

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๑ ซ่อมรั้ว...ซ่อมใจ

    ท้องฟ้ายามรุ่งสาง เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมชมพู สายลมบาง ๆ ในตอนเช้า ได้พัดผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ลอยผ่านมาปะทะร่างบางที่กำลังนอนขลุกอยู่บนเตียง เสียงไก่ขันในตอนเช้าปลุกให้ธีร์รันที่กำลังนอนอยู่ ยันกายขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมยามเช้า บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ แตกต่างจากความวุ่นวายที่เมืองกรุง ทุกเช้าของคนที่นี่เป็นไปอย่างเรียบง่าย เสียงพูดคุยทักทายกันยามเช้าแว่วมาตามสายลมอยู่เป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะแตกต่างจากที่ที่ตนเคยอยู่มาก แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่วันนั้นหลังจากตนมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากผู้เป็นพ่อเลย แม้แต่ข้อความที่ถามไถ่ก็ไม่มีแม้แต่ข้อความเดียว จะมีก็เพียงแค่นับดาวเพื่อนสนิทของเขา ที่โทรมาไม่เว้นเช้าเย็น ตนไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและคุณพ่อจะแย่ลงถึงเพียงนี้ แต่ก่อนก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเลยทีเดียว แต่หลังจากที่เสียคุณแม่ไป พ่อก็เข้มงวดมากขึ้น จนตนไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้เลย มีเพียงพ่อที่คอยจัดแจงให้ทุกอย่าง

  • อ้อมกอดแดนดิน   อารัมภบท

    “ทำไมพ่อต้องบังคับรันด้วย” “รันแค่อยากทำงานที่รันชอบ รันผิดตรงไหน” การโต้เถียงเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศภายในบ้านก็ดูตึงเครียด เหล่าคนงานต่างพากันทำตัวไม่ถูก จนต้องหาที่หลบไปจากตรงนี้ สาเหตุก็เนื่องมาจาก “ธีร์รัน” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่ต่างประเทศ และตั้งใจจะมาทำธุรกิจ นั่นก็คือการเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ผู้เป็นพ่ออย่าง “ธานินทร์” กลับไม่เห็นด้วย เพราะอยากที่จะให้ลูกได้รับช่วงต่อธุรกิจที่ตนสร้างขึ้นมา “แกต้องรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว” “ไอ้การออกแบบเสื้อผ้าบ้า ๆ นี่ ล้มเลิกไปซะ” แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของธานินทร์ได้ถูกปาออกไปยังคนตรงหน้า ธีร์รันมองแผ่นกระดาษที่กำลังค่อย ๆ ร่วงหล่นกระจายไปตามพื้น มันเป็นแผ่นงานร่างแบบเสื้อผ้าที่ตนทุ่มเทให้กับมันมาก เพราะตอนเป็นเด็กตนเคยได้ลองทำกับคุณแม่ที่เสียไปเมื่อหลายปีมาแล้ว มันจึงเป็นงานที่ตนรักมากและเป็นความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ “แล้วไอ้ธุรกิจของพ่อมันมีดีอะไรนักหนา” “พ่อชอบมันนักหนา พ่อก็ทำไปเองคนเดียวสิ”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status