Home / วาย / อ้อมกอดแดนดิน / เรื่องราวที่ ๘ ตลาด

Share

เรื่องราวที่ ๘ ตลาด

Author: JaoNila
last update Last Updated: 2025-11-23 18:42:01

        ท้องฟ้าสีสดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีจางลง แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องผ่านร่มไม้ลงมาถึงจะไม่ร้อนเท่าตอนเที่ยง แต่ก็ยังพอมีไออุ่นเหลืออยู่ สายลมที่พัดมาเอื่อย ๆ ช่วยให้รู้สึกเย็นสบายชวนเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศ

        หลังจากที่กลับมาจากจับปลาแล้ว ธีร์รันที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ได้มานั่งรับลมที่ใต้ถุนบ้านเพื่อรอให้คนพี่มารับไปตลาด พลางหวนนึกถึงวันแรกที่มาที่นี่

        วันแรกตนต้องปรับตัวอยู่หลายอย่าง ภาวนาให้ได้กลับกรุงเทพเร็ว ๆ แต่พอมาถึงวันนี้ที่ตนได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง และการต้อนรับอย่างดีของคนในหมู่บ้านทำให้นึกขึ้นว่าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว

        ก่อนที่จะคิดไปไกลกว่านี้พลันได้ยินเสียงรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาจอดที่หน้าบ้าน ลักษณะเป็นรถกระบะสีดำ แต่ดู ๆ แล้วเป็นคนละคันกับตอนที่ไปอำเภอคราวนั้น ก่อนที่ธีร์รันจะชะโงกหน้าไปดูว่ารถใคร ก็เห็นคนพี่เปิดประตูรถออกมา

        “มาขึ้นรถ”

        ธีร์รันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปขึ้นรถเพราะไม่อยากให้พี่ ๆ รอนาน อีกใจหนึ่งก็อยากจะรีบไปให้ถึงตลาด เพราะถึงแม้ว่าตนจะอยู่กรุงเทพแต่ก็ชอบเดินตลาดมากกว่าเดินห้างเป็นไหน ๆ

        “พี่สิงตลาดอยู่ไกลไหมอะ?”

        หลังจากที่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วธีร์รันก็ได้เอ่ยถามขึ้น พลางขยับตัวไปเกาะเบาะที่นั่งข้างคนขับซึ่งมีเหนือนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะหันหน้าไปถามสิงที่กำลังขับรถอยู่

        “บ่ไกลปานได๋อยู่แถว ๆ อำเภอ” (ไม่ไกลเท่าไหร่อยู่แถว ๆ อำเภอ)

        “เคยไปบ่” (เคยไปไหม)

        “อื้อ พี่คนนี้เคยพาไปอะ” คนตัวเล็กว่าพลางชี้นิ้วไปหาแดนดินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

        สิงหาและเหนือเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้เหลือบสายตามามองกันโดยทันที เพราะมีวันหนึ่งที่ตนชวนแดนดินไปนั่งกินเหล้ากันตามปกติ แต่เพื่อนกลับปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่ามีธุระ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าธุระที่บอกจะมีคนตัวเล็กติดไปด้วย

        “นั่งดี ๆ” แดนดินที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น พลางใช้มือดึงไหล่ร่างบางเบา ๆ ให้กลับมานั่งที่ตามเดิมด้วยน้ำเสียงที่กึ่งดุกึ่งห่วง

        “…”

        “เผื่อรถเบรก”

        และเหมือนเป็นการส่งสัญญาณ ทันทีที่พูดจบสิงที่ขับรถอยู่ก็ได้เหยียบเบรกขึ้นมากะทันหัน ทำให้ธีร์รันที่กำลังโยกตัวกลับมานั่งที่เดิมเกิดเสียหลักเซไปด้านหน้า แต่ก่อนที่หัวจะทิ่มไปชนเบาะ ก็มีมือใหญ่ยื่นเข้ามาช่วยประคองไว้

        ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของอีกคนผ่านฝ่ามือหนา ที่ตอนนี้กำลังสัมผัสอยู่กับหน้าผากของตน

        เสียงหัวใจที่เต้นรัวเริ่มดังขึ้นราวกับเสียงกลอง ความรู้สึกแปลก ๆ ที่บอกไม่ถูกเอ่อล้นออกมา จนคนตัวเล็กหน้าแดงระเรื่อจากการกระทำเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งตนไม่เคยรู้สึกแบบนี้

        ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน

        “ขะ...ขอบคุณนะ” ธีร์รันรวบรวมสติพลางโยกหัวผละออกจากฝ่ามือหนาของคนพี่ ก่อนจะหันไปเอ่ยขอบคุณ

        “มึงขับรถจั่งได๋หนิ” (มึงขับรถยังไงนี่) หลังจากที่พยักหน้ารับคนน้องแล้ว แดนดินก็ได้หันไปท้วงติงเพื่อนที่ขับรถจนเกือบทำให้บางคนหัวกระแทก

        “โทษ ๆ หมาตัดหน้ารถวะ”

        “เออ ขับดี ๆ มึงน่ะ...อย่าซิ่ง”

        “ครับผม” สิงหาพยักหน้ารับคำพร้อมกับทำหน้าตากวน ๆ ซึ่งแดนดินที่เห็นดังนั้นก็ได้เพียงแต่ส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมของเพื่อน

        ไม่นานทั้งสี่ก็มาถึงยังสถานที่ขายปลานั่นก็คือตลาดในอำเภอ บรรยากาศภายในดูคึกคักเพราะเป็นวันหยุด มีชาวบ้านตั้งแผงขายของกันเป็นแถวยาว กลิ่นหอมของอาหารลอยมาปะทะกับจมูก ทำให้คนร่างบางรู้สึกตื่นเต้นและอดไม่ไหวที่จะไปเดินตลาดแล้ว

        “อยากไปยางตลาดเบาะ” (อยากไปเดินตลาดเหรอ)

        แดนดินที่เห็นคนน้องทำหน้าตาระรื่นจึงได้เอ่ยถามออกไปพลางทำหน้าคิ้วขมวดเล็กน้อย เพราะรู้สึกแปลกใจที่คนน้องตื่นเต้นกับการมาตลาด นึกว่าจะคุ้นชินกับการไปเดินห้างซะอีก

        “อื้อ ไปได้ไหม” ธีร์รันพยักหน้ารับคำอย่างรวดเร็ว แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าคนพี่จะอนุญาตให้ตนไปเดินชมตลาดแห่งนี้

        “ขายปลาแล้วเดี๋ยวอ้ายพาไป”

        แดนดินว่าพลางเดินไปยกถังปลาช่วยสิงและเหนือ ส่วนคนตัวเล็กได้แต่ทำหน้าหงอยก่อนจะเดินไปช่วยหยิบยกของชิ้นเบาลงมาช่วยพี่ ๆ ในการเตรียมวางแผงขายปลา

        “เฮ้ย! สิง ตอนมึงเบรกรถกูคือบ่เห็นหมาวะ” เหนือเอ่ยกระซิบถามเพื่อนเมื่อเห็นว่าเพื่อนอีกคนและคนตัวเล็กกำลังเตรียมของอยู่ห่างพอสมควร

        “หมาบ่ได้ตัดหน้า กูเบรกซือ ๆ” (หมาไม่ได้ตัดหน้า กูเบรกเฉย ๆ)

        “เป็นหยังวะ” (เป็นอะไร)

        “กะถ้ามันบ่ฮู้ใจจะของ กูกะสิเฮ็ดให้มันฮู้เอง” สิงหาตอบพลางหันหน้าไปมองเพื่อนอีกคนที่กำลังเตรียมของอยู่

        “เออ ๆ ไผสิไปช่ำชองคือมึงน้อ”

        “เขาเอิ้นมีประสบการณ์ด้านความรักเพื่อน”

        เหนือได้เพียงแต่ส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับความกะล่อนของเพื่อนคนนี้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปเตรียมของช่วยกันจนเสร็จ

        ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างแวะเวียนมาซื้อปลาบ้างเป็นครั้งคราว ธีร์รันที่นั่งทำหน้าหงอยพลางมองซ้ายมองขวาไปตามท้องตลาด ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะกลับมานั่งเอามือเท้าคางตามเดิม

        “ถ้าอยากไปเร็วกะต้องช่วยกันขายให้หมด”

        แดนดินที่เห็นคนตัวเล็กเอาแต่ถอนหายใจจึงได้เอ่ยขึ้น ใจจริงก็อยากพาคนน้องไปเสียตอนนี้ เพียงแต่อยากจะทดสอบความอดทนของคนเมืองกรุงนิดหน่อย

        “ก็เราขายไม่เป็นนี่”

        “ขายบ่เป็นกะเอิ้นลูกค้า” (ขายไม่เป็นก็เรียกลูกค้า)

        “ได้”

        “…”

        “ปลาครับปลา ปลาตัวใหญ่ ๆ เชิญทางนี้เลยนะครับ”

        ความต้องการที่จะไปเดินตลาดมันมีมากจนทำให้ธีร์รันลืมความอายไปชั่วขณะ ลุกขึ้นยืนพลางตะโกนเรียกลูกค้าที่เดินผ่านไปมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความแปลกใจให้เหล่าพี่ ๆ ที่นั่งมองอยู่ ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูที่คนน้องกล้าทำแบบนี้

        “ปลาสด ๆ จะเอาไปต้ม ยำ ทำแกง ได้หมดเลยครับ ขายราคาถูก ๆ แวะมาดูสอบถามได้ก่อนเลยนะครับ”

        “พ่อค้าคือหน้าตาดีแท้ ป้าเอาโลนึงจ้า”

        “ได้เลยครับ พี่สิงปลาหนึ่งกิโลพี่” ธีร์รันแสดงอาการดีใจที่เรียกลูกค้าได้ ก่อนจะหันไปบอกยอดสั่งกับคนพี่

        “หืม ปลาโตใหญ่ ราคากะเป็นกันเอง มาซื้อปลาร้านนี้เด้อพี่น้อง”

        ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ยินดังนั้นต่างก็พากันเข้ามามุงเลือกซื้อปลากันอย่างเนืองแน่น ทำให้ธีร์รันที่ยืนเรียกลูกค้าอยู่ถึงกับยิ้มแป้นออกมา ก่อนที่จะหันไปหาคนพี่ที่กำลังนั่งมองฝีมือการขายของคนน้องอย่างภูมิใจ

        “กะขายของเก่งอยู่เด้หนิ คือบ่มาเป็นพ่อค้าโลด” แดนดินเอ่ยแซวคนน้องที่เดินกลับมานั่งพัก พลางยื่นขวดน้ำให้ดื่ม

        คนตัวเล็กทำท่าทางยืดอกเชิดหน้าเล็กน้อยพลางยกยิ้มมุมปากนิด ๆ ก่อนจะรับน้ำมาดื่มเพื่อดับกระหายเพราะเมื่อกี้ตนดันใช้เสียงมากเกินไปจนรู้สึกคอแห้ง

        ไม่นานปลาที่นำมาก็ถูกขายจนหมด ทำให้ธีร์รันเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่เพราะจะได้ไปเดินตลาดสักทีก่อนที่จะมืดค่ำไปกว่านี้

        “ทีนี้ไปเดินตลาดได้รึยัง”

        “เก็บของขึ้นรถก่อน”

        “บ่เป็นหยัง มึงพาน้องไปตลาดเลย เดี๋ยวกูกับบักเหนือเก็บเอง”

        สิงหาที่เห็นดังนั้นจึงได้รีบเสนอขึ้น เพื่อที่จะให้เพื่อนได้ไปใช้เวลากับคนน้อง อีกอย่างวันนี้ก็ถือว่าช่วยได้เยอะมากแล้ว

        “ซั่นเดี๋ยวกูมาเด้อ” (งั้นเดี๋ยวกูมานะ)

        .

        .

        ภายในตลาดที่ทั้งคู่เดินผ่านมามีของขายมากมายหลายอย่าง ทั้งเสื้อผ้าของใช้ต่าง ๆ ผักผลไม้ อาหารการกินที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว รวมไปถึงของป่าที่มีวางขายบ้างตามจุดต่าง ๆ และมีผู้คนเดินพลุกพล่านกันอย่างหนาแน่น

        “โห มีของขายเยอะมากเลย”

        “อยากซื้อหยังบ่”

        “อันนั้นคืออะไรอะ” ธีร์รันชี้ไปที่แผงขายของร้านหนึ่ง ลักษณะเป็นของที่ถูกห่อโดยใบตอง แล้วนำไปย่างไฟจนหอมชวนให้รู้สึกหิว

        “ข้าวเหนียวปิ้ง กินบ่”

        คนตัวเล็กพยักหน้ารับคำ ก่อนที่คนพี่จะเดินนำเข้าไปซื้อข้าวเหนียวปิ้งกับแม่ค้ามาให้คนน้องลองชิม

        “โห อร่อยมากอะ หอมกะทิสุด ๆ”

        หลังจากที่กัดเข้าไปคำแรกก็ถึงกับทำตาลุกวาว เพราะกลิ่นหอมของข้าวเหนียวปิ้ง ทั้งความหวานที่กำลังพอดี ก่อนจะยัดเข้าไปอีกคำจนแก้มตุ่ย

        “ถ่าอ้ายอยู่นี่แป๊บนึงเด้อ” (รอพี่อยู่นี่สักครู่นะ)

        แดนดินหันมาบอกคนน้องที่ตอนนี้กำลังเคี้ยวข้าวเหนียวปิ้งจนแก้มป่อง ก่อนจะเดินไปยังแผงขายของร้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล โดยปล่อยให้คนน้องมองตามด้วยความสงสัย

        “กินบ่”

        ไม่นานคนพี่ก็กลับมาพร้อมกับถือถุงมาในมือ ซึ่งคนตัวเล็กก็มองไม่แน่ชัดว่ามันคือถุงอะไร ก่อนที่แดนดินจะหยิบสิ่งที่อยู่ในถุงขึ้นมายื่นให้กับคนน้องอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งมันก็คือแมลงทอดนั่นเอง

        “ไม่เอาอะ ไม่เคยกิน”

        “ชิมเบิ่งแซ่บเด้ เอ๋า...หลับตาอ้าปาก”

        หลังจากที่โดนคนพี่คะยั้นคะยอ ธีร์รันจึงตัดสินใจหลับตาปี๋พร้อมกับอ้าปาก ก่อนที่คนพี่จะยื่นแมลงทอดตัวหนึ่งป้อนเข้าไปในปาก

        พอเคี้ยวไปได้ทีสองทีเจ้าของร่างบางก็เบิกตากว้างอีกครั้ง พร้อมกับทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะหันกลับไปมองคนพี่ที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ ๆ

        “อ้ายบอกแล้ว เอาอีกบ่”

        แดนดินว่าพลางยื่นถุงแมลงทอดให้กับคนน้อง ก่อนที่ธีร์รันจะหยิบแมลงทอดไปกินเองโดยที่ไม่ต้องบังคับ

        หลังจากที่เดินซื้อของกินกันมาสักพักจนตอนนี้ข้าวของเต็มไม้เต็มมือทั้งคนพี่คนน้อง ธีร์รันก็ได้มาสะดุดตากับร้านขายเสื้อฮาวายร้านหนึ่ง

        พลางนึกว่าใกล้ถึงเทศกาลสงกรานต์แล้วตนจึงอยากที่จะซื้อเสื้อให้เหล่าพี่ ๆ เพื่อที่อย่างน้อยจะเป็นการตอบแทนที่คอยช่วยเหลือตนในหลาย ๆ เรื่องได้บ้าง

        “เสื้อร้านนี้สวยจัง ฝากถือของหน่อยนะ” ธีร์รันยื่นของให้คนพี่ถือ ก่อนที่จะเดินไปเลือกดูเสื้ออย่างตื่นเต้น พลางนึกขึ้นว่าถ้าใส่ด้วยกันทั้งสี่คนคงจะดีไม่น้อย

        “มีแบบนี้อีกซักสามตัวไหมครับ?” คนตัวเล็กว่าพลางชี้มือไปที่เสื้อเชิ้ตฮาวายสีฟ้าอ่อนที่แขวนเด่นอยู่บนราว พลางนึกถึงตอนที่ถูกสวมใส่โดยคนพี่ คงจะดูดีไม่น้อย

        “แบบนี้จะเป็นเซตคู่ครับ สนใจรับอีกคู่ไปแทนดีไหม? ลายคล้าย ๆ กันครับ”

        “งั้นเอาสองคู่ครับ” ถึงจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ธีร์รันก็คิดว่ายังดีกว่าไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลย จึงได้ตัดสินใจซื้อโดยไม่ลืมที่จะซื้อกลับไปฝากคนพี่ทั้งสองที่รออยู่ที่รถด้วย

        “ซื้อไปหยังหลายโตแท้”

        “ว่าจะเอาไปฝากพี่สิงกับพี่เหนือด้วย ไว้ใส่เป็นทีม” ธีร์รันตอบพลางหันมายิ้มให้คนพี่ ก่อนที่จะหันกลับไปตามเดิม ซึ่งแดนดินก็ได้เพียงแต่ส่ายหน้าเบา ๆ

        แดนดินยืนมองคนน้องที่กำลังเลือกซื้อของ วันนี้ทำให้นึกอะไรได้บางอย่าง ตนนึกไม่ถึงว่าคนเมืองกรุงจะรู้สึกตื่นเต้นเพียงแค่พามาเดินตลาด

        ไม่นึกว่าคนน้องจะไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือแสดงท่าทีไม่ชอบใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่ตนได้ยัดเยียดให้ทำในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังรู้สึกว่าคนน้องชื่นชอบและกำลังเปิดใจให้กับวิถีชีวิตแบบอีสานอีกด้วย

        ซึ่งมันแตกต่างมาก ต่างจากที่เขาคิด

        และ...ต่างจากรักครั้งก่อนมากด้วย

        หลังจากที่เดินเลือกซื้อของกันจบครบแล้ว ทั้งคู่ก็ได้เดินกลับมายังจุดนัดหมายซึ่งมีธีร์รันที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาพี่ทั้งสองและมีแดนดินเดินถือของมาตามหลัง ซึ่งตอนนี้สิงและเหนือก็ได้นั่งจิบเหล้ารอกันอยู่อย่างสบายอารมณ์

        “พี่สิงพี่เหนือ...รันมีเสื้อมาฝากด้วย”

         “…”

        “นี่...เลือกเลยครับคนละตัว ไว้ใส่กันเป็นทีม” คนตัวเล็กว่าพลางหยิบเสื้อออกมาจากถุง ก่อนจะยื่นให้พี่ทั้งสองดู

        “เสื้อทีมมันคือมีเป็นคู่?” เหนือถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะจากที่ดู ๆ ก็พบว่ามันมีเสื้อแบบเดียวกันแค่เพียงสองตัวเป็นคู่ ๆ

        “แหะ ที่ร้านมันมีแค่นี้อะ แต่ไม่เป็นไรสีมันก็คล้าย ๆ กัน”

        สิงและเหนือหันหน้ามามองกันโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่ทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าอีกคนกำลังคิดอะไรและจะทำอย่างไร

        “ซั่นอ้ายกับบักสิงเอาโตนี่ล่ะ...ขอบใจเด้อ” (งั้นพี่กับไอ้สิงเอาตัวนี้แหละ...ขอบใจนะ)

        สิงและเหนือต่างเลือกหยิบเสื้อที่มีลวดลายแบบเดียวกันขึ้นมา โดยทั้งสองตั้งใจที่จะใส่เสื้อลายคู่กัน และอีกคู่ก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนอีกคนกับคนตัวเล็กนั่นเอง

        “งั้นตัวนี้เราให้” ธีร์รันว่าพลางยื่นเสื้ออีกตัวไปให้แดนดินที่กำลังยืนรออยู่ใกล้ ๆ

        “ปะ...กลับ”

        หลังจากที่รับเสื้อมาจากคนน้องแดนดินก็ได้ยืนจ้องคนตัวเล็กอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะชวนให้กลับบ้านเพราะเห็นว่าตอนนี้ก็มืดมากแล้ว

        ขากลับครานี้แดนดินได้รับหน้าที่ให้เป็นคนขับรถและมีคนน้องนั่งข้าง ๆ เพราะจากสภาพเพื่อนทั้งสองคงขับกันไม่ไหว เลยปล่อยให้จิบเหล้ากันต่อที่กระบะหลัง

        ธีร์รันหันมองวิวข้างทางตอนกลางคืนพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะวันนี้ตนมีความสุขมากที่ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้ ทำให้คนพี่ที่เหลือบมองอยู่เป็นครั้งคราว เผลอยกยิ้มมุมปากตามไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวส่งท้าย

    “บ่แมนมันคิดสั้นแล้วเบาะสิง” “ปากมึงเบาะนั่น” สิงและเหนือที่เห็นว่าสายแล้วยังไม่เจอเพื่อนมาหาสักที ก็เกิดความร้อนใจกลัวว่าเพื่อนจะคิดอะไรที่ไม่ดี ปกติบอกว่าจะมาก็คือมาคำไหนคำนั้น จึงได้รีบบึ่งรถมาหาที่บ้านเผื่อเกิดเหตุอะไรตนจะได้ช่วยเหลือทัน เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่เพื่อนกลับไป ตนก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนอีก “กะมันวามันสิมาหาเฮา จนฮอดปานนี้กะยังบ่เห็น” “มื้อวานมันกะถืกสะกิดปมไปอีก” “บ่ดอก มันคงบ่คิดแบบนั้น” “มึงฟ่าวขับเร็ว ๆ แน กูใจบ่ดี” (มึงรีบขับเร็ว ๆ หน่อย กูใจไม่ดี) การโต้เถียงเกิดขึ

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๓๓ สุขสม (NC)

    “อ๊ะ!” แดนดินได้ช้อนร่างของคนตัวเล็กให้ขึ้นมานั่งบนตัก พลางจับชายเสื้อของตนถอดผ่านศีรษะด้วยท่าทางที่ทะมัดทะแมง เผยให้เห็นร่างกายที่กำยำซึ่งยังคงเต็มไปด้วยมัดกล้ามและกลุ่มก้อนขนมปัง ก่อนที่จะไล่ไปถอดกางเกงของร่างบางออกจนหมดสิ้น สองมือได้ไปกอบกำเอาส่วนเนื้ออ่อนที่บริเวณก้นกลมของคนตัวเล็ก ขยำ ๆ อยู่นานจนเนื้อขาวนวลปลิ้นออกมาตามซอกนิ้ว ในขณะที่ริมฝีปากก็ยังคงเล็มเลียอยู่กับยอดปทุมสีหวาน จนธีร์รันต้องแอ่นอกสู้ด้วยความสาดเสียว “อ๊า! พี่” ร่องรอยสีกุหลาบที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบที่จะไม่มีพื้นที่ว่าง ทั้งรอยขบกัดและรอยดูดดึง จากความปรารถนาที่มีอย่างมากล้น ซึ่งธีร์รันก็ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด ปล่อยให้คนพี่ทำอย่างที่ใจอยาก เพราะการที่คนพี่จะต้องอดกลั้นถึงเพียงนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตนทั้งนั้น

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๓๒ แก้วตาดวงใจ (NC)

    บรรยากาศยามค่ำที่มีสายลมพัดมาเป็นระยะ ๆ เมื่อมาปะทะกับผิวกาย ก็พลอยทำให้รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ถูกส่งมาเป็นอย่างดี ฤดูหนาวผ่านมาอีกครา ครั้งก่อนแดนดินยังจำได้ดี ตนเคยมีความสุขมาก ๆ ในช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็เจ็บปวดจนแทบเจียนตาย ความคิดถึงที่เขามีต่อคนรักอยู่ทุกวันก็แทบจะเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่วันนี้ ความรู้สึกกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น อาจจะเพราะแอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างกายหรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งมันทำให้เขาไม่ทันมองว่ามีสิ่งแปลกตาเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเดินลงจากรถมอเตอร์ไซค์มาแล้ว “รถไผวะ” (รถใครวะ) รถเก๋งคันหรูสีดำสวยที่จอดนิ่งสนิทอยู่ในบริเวณบ้านของเขา พอลองมองหาเจ้าของรถคันดังกล่าวก็เจอแต่ความเงียบสงบ ยิ่งพยายามนึกถึงที่มาที่ไปของรถคันนี้ก็ยิ่งทำให้สับสนขึ้นไปอีก ตนไม่รู้จักใครที่มีรถลักษณะแบบนี้ ยิ่งเป็นญาติยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อลองเดินสำรวจรอบ ๆ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๓๑ สะสางเรื่องค้างคา

    “ก๊อก...ก๊อก!” “คุณรัน คุณท่านให้มาตามไปทานข้าวค่ะ” “รันยังไม่หิวครับ” แม่บ้านต่างก็หันหน้ามามองกันด้วยความลำบากใจ หนึ่งสัปดาห์มาแล้วตั้งแต่ที่คุณหนูของบ้านเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ข้าวปลาก็กินแทบจะนับคำได้ ทำเอาทุกคนต่างพลอยเป็นห่วงกันไปหมด เมื่อการเรียกขานไม่เป็นผล แม่บ้านจึงได้ถอยหลังมาเพื่อเปิดทางให้กับหญิงสาวคนหนึ่งได้เดินไปที่หน้าประตูห้อง และทำการเรียกขานขึ้นอีกครั้ง “รัน...นี่ดาวเองนะ” “ดาวขอเข้าไปได้ไหม?” ความเงียบสงบมาเยือนอยู่สักพัก ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะค่อย ๆ ถูกเปิดออก เผยให้เห

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๓๐ บอบช้ำ

    “สูกลับไปซะ” แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง หลังจากที่พาเพื่อนกลับมาถึงบ้าน ในขณะที่จัดการทำแผลให้อยู่นั้น เหนือได้สังเกตสีหน้าท่าทางของเพื่อนที่ดูเลื่อนลอย แววตาดูหมดหวัง แม้ว่าจะเป็นเวลาที่สิงเช็ดแผลให้ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเจ็บมากแท้ ๆ แต่แดนดิน กลับไม่มีแม้แต่จะส่งเสียงออกมา “กูวาเฮาต้องมาอยู่เป็นหมู่มัน” “กูย่านมันคิดสั้น เบิ่งทรงสิหนักกว่าตอนเลิกกับน้องวา” “อือ หนักกว่าหลายเลยล่ะ” เมื่อเห็นอาการของเพื่อนที่ไม่สู้ดีนักก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าเจ็บป่วยทางกายยังพอหาทางรักษาให้ได้ แต่อาการทางใจตนคงต้องคอยดูอยู่ห่าง ๆ และรอเวลาที่จะคอยเยียวยาทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น&n

  • อ้อมกอดแดนดิน   เรื่องราวที่ ๒๙ ตั้งตัวไม่ทัน

    เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ท้องทุ่งนาถูกย้อมด้วยสีทองอร่ามของรวงข้าวที่โอนอ่อนลู่ลม เสียงรวงข้าวที่เสียดสีกันดังแผ่วเบายามเมื่อสายลมพัดผ่าน แสงแดดยามสายส่องกระทบไปทั่วผืนนาจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ “พี่จะเก็บเกี่ยวข้าวยังไงเหรอ” คำถามที่เอื้อนเอ่ยออกมา ในขณะที่กำลังเดินลัดเลาะอยู่บนคันนา ร่างสูงเดินนำและมีคนตัวเล็กเดินตาม การเดินสำรวจแปลงนาในทุก ๆ เช้า น่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันของคนทั้งคู่ไปแล้ว “อ้ายวาสิเอารถเกี่ยวเอา” “แต่กะสิจ้างชาวบ้านเกี่ยวบางส่วน พอให้เพินมีรายได้” “แฟนใครใจดีจัง” แดนดินหันมายิ้มให้กับคนตัวเล็ก พร้อมกับแก้มบางที่ถูกเรียวนิ้วยาวหยิกให้เบ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status