ตอนที่
[4] แม่นมฉิง ที่จริงแล้ว เซวียหลิงจ้านนั้นมิใช่ว่าเอาบุตรชายมาทิ้งไว้แล้วไม่ได้สนใจอันใด แต่เพราะว่าเขาถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจอย่างหมิงถาน ทหารนายกองที่เขารับมาฝึกเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีฝีมือไว้ใจได้ จึงได้ให้มีหน้าที่ดูแลจวนตระกูลเซวียและเซวียจินหลิงในยามที่เขาไม่อยู่ ในคราแรกหมิงถานก็ทำหน้าที่ได้ดี แต่ทว่าเมื่อถูกลี่ฉุนมาตีสนิท หัวใจชายหนุ่มที่ไม่เคยมีสตรีมาใส่ใจเฉกเช่นนี้ก็รู้สึกอ่อนไหวและหลงรักอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะรู้ว่าลี่ฉุนก็มีใจให้ท่านแม่ทัพของตน แต่เขาเชื่อในเพียงคำพูดของอีกฝ่ายที่ว่า ‘อนาคตไม่แน่นอน ไม่แน่เราอาจจะมีเส้นทางที่ดีร่วมกัน’ หลังจากนั้นเขาจึงไม่คิดอันใดอีก เซวียหลิงจ้านถูกบิดเบือนข้อมูลต่าง ๆ เพราะสิ่งที่หมิงถานรายงานมาตลอดหนึ่งปี แม้กระทั่งเรื่องแม่นมของเขาที่กลายเป็นคนพิการอาการสาหัส ฉิงเหลียนที่นอนอยู่บนฟูกเก่า ๆ เมื่อได้เห็นสตรีแปลกหน้าก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ในขณะที่ถิงถิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด เพราะว่าในวันที่อีกฝ่ายแต่งเข้ามา ตนได้ไปแอบดูกับเซวียจินหลิง “แม่นม ท่านแม่มาเยี่ยม” ไม่ปล่อยให้ฉิงเหลียนสงสัยนาน เซวียจินหลิงก็คลายข้อสงสัยให้อย่างรวดเร็ว “ฮูหยิน…...” นางกล่าวแล้วพยายามจึงขยับกายเพื่อที่จะแสดงความเคารพอีกฝ่าย “แม่นมไม่ต้องมากพิธี ข้าเพียงมาเยี่ยมและมาดูอาการท่าน เผื่อว่าข้าจะช่วยเหลืออันใดได้” แม่นมฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจ สตรีตรงหน้านี้ช่างแตกต่างกับที่ได้ยินมา สตรีขี้ขลาดและหวาดกลัว? ตรงหน้านางตอนนี้มีแต่สตรีที่มีแต่ประกายความแข็งแกร่งแผ่กระจายออกมา ดวงตาลึกล้ำมั่นคง ไม่มีความขลาดกลัวในนั้นเลยแม้แต่น้อย “แม่นม ท่านรู้หรือไม่ ว่าท่านแม่จัดการพวกคนใจร้ายหมดแล้ว เสี่ยวหลิงดีใจนัก คนพวกนั้นถูกจับไปอยู่กับอึ คงเหม็นไม่น้อย” เด็กน้อยกล่าวด้วยความสุขในขณะที่แม่นมฉิงและถิงถิงได้แต่มองหน้ากัน คนใจร้ายนั่นต้องหมายถึงสามพ่อแม่ลูกนั่นเป็นแน่ แต่เด็กน้อยบอกว่าทั้งหมด หมายถึงคนของพวกนั้นทั้งหมดถูกจัดการหมดแล้วหรือ ด้วยฮูหยินคนใหม่ผู้นี้นี่หรือ ลู่หรงซินที่เห็นใบหน้าทั้งสองเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัยจึงได้เอ่ยขึ้น “เป็นดังที่เสี่ยวหลิงว่า ข้าจัดการหมดแล้ว ต่อไปไม่มีอะไรต้องกังวลอีก” กล่าวแล้วก็เดินไปใกล้แม่นมฉิงอีกนิด “เสียมารยาทแล้ว” จากนั้นจึงยื่นมือไปจับที่ขาของอีกฝ่าย “มันสายไปแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน คงรักษาอันใดไม่ได้แล้ว” ฉิงเหลียนเอ่ยอย่างปลงตก ถิงถิงและเซวียจินหลิงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเศร้าลงทันที “ข้ารู้ว่าอาการมันหนักหนา ทั้งดูเหมือนจะได้รับการรักษาอย่างลวก ๆ แต่…. ในความรู้สึกของข้า ข้าคิดว่ามันยังมีความหวัง ข้าอาจจะหาทางช่วยได้” ฉิงเหลียนแม้จะรู้ว่าโอกาสมันแทบจะไม่มีเพราะกระดูกนั้นแหลกละเอียดไปหลายจุด แต่เมื่อได้ยินสตรีงดงามที่เป็นฮูหยินคนใหม่กล่าวเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกดีไม่น้อย “จริงหรือขอรับท่านแม่ เสี่ยวหลิงอยากให้แม่นมหาย” เซวียจินหลิงรีบเดินเข้าจับชายอาภรณ์ของมารดาไว้อย่างมีความหวัง “ข้าจะพยายาม” จากนั้นบรรยากาศในห้องนี้จึงดีขึ้นไม่น้อย “ตอนนี้ข้าอยากให้ทุกคนย้ายไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ นั่นคือเรือนหลัก ต่อไปหากแม่นมหายดี เรื่องการดูแลจวนคงต้องรบกวนแม่นมแล้ว ส่วนเจ้า…...” สายตาคมหันมองไปที่ถิงถิงเพราะไม่รู้จะเรียกอีกฝ่ายว่าเช่นไร “บ่าวชื่อถิงถิงเจ้าค่ะฮูหยิน เป็นผู้ดูแลแม่นมกับคุณชายน้อย” “อืม ถิงถิงต่อไปต้องรบกวนเจ้าด้วย” แม่นมฉิงและถิงถิงแม้จะรู้สึกแปลกใจที่ฮูหยินที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน ไม่ก็หายออกจากจวนไปทั้งวันไม่คบค้ากับผู้ใดในจวนเลย จะลุกขึ้นมาปฏิวัติตระกูลเซวียเช่นนี้ แต่ในยามนี้ทั้งคู่ยังมองไม่เห็นข้อเสียเลยแม้แต่น้อย มีแต่ข้อดีทั้งนั้น หากคนพวกนั้นถูกจัดการจริง ๆ คุณชายน้อยของพวกนางก็จะไม่ถูกรังแกและถูกหยามเกียรติอีก เมื่อได้ย้ายมาอยู่เรือนหลักเช่นเดิม ในยามนั้นแม่นมฉิงจึงได้รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เป็นฮูหยินที่มาเปลี่ยนแปลงที่นี่ แน่นอนว่าลู่หรงซินจัดการหมดไม่มีเหลือ แม้กระทั่งบ่าวที่นางหักนิ้วแล้วออกไปให้หมอนอกจวนรักษาผู้นั้น เมื่อจัดการให้คนมาย้ายแม่นมไปอยู่ที่ห้องเดิมของตนในเรือนหลักแล้ว รวมถึงถิงถิงและเซวียจินหลิงก็ได้กลับห้องที่แท้จริงของตน นางจึงเดินกลับไปที่เรือนของตนเช่นกัน เพื่อจะดูว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อ แต่ทว่าในระหว่างที่เดิน ๆ อยู่นั้นก็รู้สึกร้อนวูบวาบที่กลางอก แม้จะไม่มั่นใจแต่นางก็รีบเดินกลับไปที่เรือนปีกซ้ายทันทีตอนพิเศษ[2]ไปงานวันเกิดที่เผ่านอกด่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไปด้วยความดุดันของบุรุษวัยยี่สิบหนาวช่างทำให้คนเคลิบเคลิ้มและหวาดหวั่นได้ในคราเดียว เดินตามหลังกันมานั้นแม้จะอายุเพียงสิบสองหนาวแต่ก็เห็นเค้าของความหล่อเหลาล่มเมืองแล้วเพราะเป็นความผสมผสานระหว่างเซวียหลิงจ้านและลู่หรงซิน ใช่แล้วทั้งสองก็คือเซวียจินหลิงและเซวียจินหลง บุตรชายที่เซวียหลิงจ้านและลู่หรงซินภาคภูมิใจ เนื่องจากเมื่อหลายเดือนที่แล้ว เซวียจินหลิงได้รับจดหมายจากพ่อแม่ที่แท้จริงว่าจะมีการจัดงานวันเกิดให้กับมารดา หรือราชินีของเผ่านอกด่าน จึงอยากให้เขามาเข้าร่วมสักครั้ง เนื่องจากหลังจากที่เขาจำเรื่องราวได้ทั้งหมด เขาก็ยังไม่เคยเข้าร่วมงานนี้สักครั้ง แต่หากว่ามาเที่ยวเล่นเขาพาหลงเออร์มาหลายครั้งแล้ว แต่ปีนี้เข้าเห็นว่าคนทั้งคู่เฝ้ารอเขามาเนิ่นนาน เขาจึงคิดว่าตนเองก็ไม่ควรจะใจดำถึงเพียงนั้น ทั้งท่านแม่ท่านแม่ก็สนับสนุน ท่านแม่อยากจะตามมาด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าต้องดูแลน้องเล็ก เซวียจินหราน ในวัยเจ็ดหนาวที่อ้อนแต่จะไปสนามฝึกทุกวัน น้องเล็กเหมือนท่านแม่มาก กลับไปคงต้องหาของฝากดี ๆ ไปฝากนางเสียแล้ว “หลิงเออร์มาแล้วหรือ
ตอนพิเศษ[1]สำเร็จโทษ เติ้งหลงฮ่องเต้นั้นเอ็นดูหลานชายบุญธรรมทั้งสองอย่างเซวียจินหลิงและเซวียจินหลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนามจินหลง ก็เป็นพระองค์ที่ทรงตั้งให้ จากเดิมที่เซวียหลิงจ้านได้หยุดพักหนึ่งปีพระองค์ก็ให้เขามาประจำการอยู่เมืองหลวงชั่วคราวจนกว่าบุตรชายคนเล็กจะเติบใหญ่ แต่ทว่านางนั้นรอไม่ไหวแล้ว เมื่อบุตรชายอายุได้สามหนาวจึงได้ให้สามีไปขอพระราชทานฝ่าบาทขอกลับไปประจำการอยู่ที่เมืองสวี่เฉิง คราแรกฝ่าบาทไม่เห็นด้วย แต่เมื่อบอกว่าเป็นความต้องการของภรรยา พระองค์จึงต้องอนุญาตโดยไม่เต็มใจ หากลู่หรงซินต้องการเขาหรือจะไม่อนุญาต ภาพวันนั้นเมื่อสามปีที่แล้วเขาไม่ลืม คิดแล้วก็ลูบคอตนเองไปพลาง ๆ จากนั้นตระกูลเซวียจึงได้ย้ายกันไปอยู่ที่เมืองสวี่เฉิงนับจากนั้น ทุกคนตามไปหมดทั้งแม่นมฉิงและถิงถิง รวมถึงฉีอ้าย แต่จะฉีอันพี่ชายของนางแม้จะอยากตามไป แต่เขาต้องบุกเบิกหนทางให้ตนเอง จะต้องสอบเป็นขุนนางของวังหลวงได้ รวมถึงเขาได้ตกลงกับกลุ่มศัตรูพ่ายว่าจะพัฒนาตรอกจูชางให้เจริญยิ่งขึ้น ฉีอ้ายจึงได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ชายให้ทำให้สำเร็จ ด้านจวนตระกูลเซวียนั้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะได้หาคนที่ไว้ใจได้และฝีม
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง“ท่านแม่ ท่านแม่ฟังเสี่ยวหลิงอยู่หรือไม่ ท่านแม่ต้องมีน้องให้เสี่ยวหลิงนะขอรับ” เมื่อเห็นมารดาคล้ายเหม่อลอยจึงได้รีบสำทับอีกครั้ง เด็กน้อยเร่งเร้าอีกครั้งจึงทำให้สติของนางกลับมา “อ้อ อืม เสี่ยวหลิง แม่จะเก็บไปคิดอีกที แม่ขอกลับเรือนก่อนนะ เจ้าอย่าคิดมาก” ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวออกจากเรือนบุตรชายเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเอง คล้อยหลังลู่หรงซิน ร่างสูงที่แอบฟังเรื่องราวอยู่ไม่ไกลก็ได้เข้ามาในห้องของบุตรชาย “เสี่ยวหลิง พ่อจะเอาน้องมาให้เจ้า พ่อสัญญา” ในวันต่อมาทั้งคู่จึงได้จับเข่าคุยกัน แต่ไป ๆ มา ๆ เซวียหลิงจ้านก็ทนไม่ไหว เขาจึงเอ่ยความในใจออกไปตามตรง “ซินเออร์ เจ้าย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับพี่เถิด พี่ว่าเราควรเรียนรู้กันให้มากกว่านี้”และไม่น่าเชื่อว่าการเจรจาอันแสนแปลกจะสำเร็จผล! นางตัดสินใจย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับเขา และคืนนี้จะเป็นวันที่นางและเขาจะได้ร่วมนอนเตียงด้วยกันเป็นครั้งแรก…..และคงหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นไม่ได้สินะ ในห้องนอนที่ประดับประดาด้วยของตกแต่งสีแดง บนโต๊ะมีสุรามงคลและขนม คล้ายกับวันเข้าหอของคู่บ่าวสาวก็ไม่ปาน นี่ต้องเป็นฝีมือของแม่นมฉิงเป็นแน่ “ซ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้องชาติกำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหลิง ที่แท้เสี่ยวหลิงคือบุตรชายคนเล็กของราชาของเผ่านอกด่านทั้งสี่ที่ถูกบ่าวชายหญิงที่คิดคดทรยศลักพาตัวบุตรชายของเขาออกมาและสร้อยที่เสี่ยวหลิงแขวนอยู่กับตัวอยู่ตลอดนั่นคือคำตอบ น่าแปลกที่เสี่ยวหลิงในยามนั้นอายุห้าหนาวแล้ว แต่กลับจำอันใดไม่ได้ ซึ่งนางมองว่ามันผิดปกติ จึงได้ใช้ยาของนางในการรักษาเขา สุดท้ายจึงพบว่าเขาได้ถูกวางยาทำให้ความจำก่อนหน้านั้นหายไปและแน่นอนว่า R-01 ก็ช่วยเหลือได้อีกแล้ว เด็กน้อยจำพ่อแม่ที่แท้จริงได้ แต่เขากล่าวว่าจะอยู่กับนางและเซวียหลิงจ้าน แต่หากเติบใหญ่เขาเปลี่ยนไปหรืออย่างไร นางย่อมให้เขาได้ทำตามที่ใจปรารถนา เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นเติ้งและเผ่านอกด่านจึงลงนามสัญญาว่าจะไม่ระรานกัน ไม่โจมตีกัน ด้วยทางนั้นก็รู้สึกผิดและอยากขอบคุณที่แม่ทัพใหญ่แคว้นเติ้งที่รับเลี้ยงและดูแลบุตรชายของพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งเมื่อทำเจรจาสงบศึกแล้ว พวกเขาก็สามารถมาเยี่ยมเยียนบุตรชายได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีสัญญาการค้าที่จะเปิดโอกาสให้ได้ทำการค้าร่วมกันอีก นี่มีแต่ดีกับดีทั้งนั้น จะรบกันต่อเพื่อสิ่งใด เรื่องราวทั้งหมดจึงจบ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง ตั้งแต่วันที่นางบอกว่าจะให้โอกาสเขา นางก็รู้สึกว่าเขาชักจะทำตัวแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน เช่นวันนี้ เขาพานางมาถือตะกร้าเก็บดอกไม้ในสวนดอกไม้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อดูแล้ว มันไม่เหมาะสำหรับนางและเขาเอาเสียเลย สุดท้ายเมื่อไม่อาจฝืนความเป็นตนเอง จึงได้แต่มองหน้ากันและหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไปที่ที่เหมาะกับพวกเรากัน” เซวียหลิงจ้านเสนอขึ้นเหล่าทหารต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ฮูหยินที่มากฝีมือที่พวกเขาจำได้ไม่ลืมในวันที่เกือบจะเป็นวันสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นเติ้ง แต่เป็นเพราะฮูหยินของพวกเขาผู้นี้จึงทำให้ผ่านวิกฤตนั้นมาได้ เมื่อนางมาพวกเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ สองสามีภรรยามาที่ค่ายด้วยความอารมณ์ดีไม่น้อย แต่อารมณ์ดีอย่างไรถึงได้สู้กันเช่นนั้น“นี่…. เป็นวิธีแสดงความรักต่อกันฉบับท่านแม่ทัพและฮูหยินหรือ” ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทั้งคู่ต่อสู้กันจนเหงื่อโชก แน่นอนว่าที่ผู้เป็นภรรยาเป็นฝ่ายเอาชนะได้เกือบทั้งหมดทุกรอบ แต่มีรอบสุดท้ายที่เขากล่าวขึ้น “ฮูหยินหากพี่ชนะพี่จะขอให้เจ้าทำบางอย่างได้หรือไม่” เมื่อกล่าวจบสายตาแห่งความสงสัยก็เกิดขึ้น “อันใดหรือเจ้าคะ
ตอนที่[16]ขอโอกาสจู่ ๆ เขาก็ถือวิสาสะมาจับมือนางเอาไว้ “……”“ฮูหยิน ข้าอาจจะรู้เรื่องและเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสตรีน้อยนักเพราะตั้งแต่เด็กก็เอาแต่ตามท่านพ่อไปที่ค่าย เจ้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิม ไม่สิ ข้าต้องทำได้แน่” “……”“เจ้าเป็นภรรยาคนแรก และข้าสัญญาว่าจะเป็นภรรยาคนเดียวและคนสุดท้ายของข้า” “……”“ดังนั้น ฮูหยินข้าขอโอกาสเป็นสามีที่ดีของเจ้าได้หรือไม่” แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่นางก็เห็นใบหน้าที่กำลังเว้าวอนของเขาได้อย่างชัดเจนช่วงเวลาที่รอคอยคำตอบช่างเป็นเวลาที่หัวใจของเซวียหลิงจ้านรู้สึกบีบรัดเหลือเกิน จนกระทั่ง…“ก่อนที่ข้าจะตอบ ข้าอยากจะกล่าวอะไรเสียหน่อย” “ได้สิ ฮูหยินว่ามาเลย” เขายืดตัวขึ้นเพื่อรอฟังนางด้วยความตั้งใจ “ข้า…ก็ไม่ใช่สตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป หากท่านเคยรู้เรื่องราวของลู่หรงซินว่าเป็นมาเช่นไร ยามนี้ข้ามิใช่เช่นนั้น ข้ามิได้อ่อนหวาน อ่อนโยน มิได้เก่งเรื่องของสตรีอย่างที่ควรจะเป็น ข้าชอบต่อสู้และออกจะ…. ดุดัน ท่านอาจจะไม่ชอบเช่นกัน ท่านลองคิดดูอีกทีดีหรือไม่”เขารู้ว่านางแตกต่างจากที่เขาได้ยินมาโดยสิ้นเชิง แต่สตรีที่ทำ