หลังจากที่ส่งซุนต้าเหนียงกลับไปแล้วโม่ชิงเยว่จึงได้เดินกลับไปที่เรือน ยามนี้ในใจของนางกำลังคิดว่าเหยียนเซียวกำลังคิดจะบีบให้นางไปขอความช่วยเหลือจากเขาใช่หรือไม่ แล้วฮูหยินจวนไหวกั๋วกงมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากเพียงใด
“ชุ่ยเหมยส่งเทียบขอเข้าพบไปที่จวนไหวกั๋วกง แจ้งความประสงค์ว่าข้าขอเข้าพบไหวกั๋วกงฮูหยิน” โม่ชิงเยว่หันไปออกคำสั่งกับชุ่ยเหมย ซึ่งชุ่ยเหมยก็รับคำแล้วจึงได้จากไปเพื่อจัดการเรื่องเทียบเชิญ ทันทีที่เทียบเชิญถูกส่งออกไปทางจวนกั๋วกงก็ตอบรับเทียบเชิญของนางในทันทีโม่ชิงเยว่จึงยิ่งมั่นใจว่ายามนี้จวนสกุลเจียงกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อที่จะโจมตีนาง เพียงแต่ก่อนที่นางจะไปที่จวนสกุลเจียงนางจะต้องรู้ก่อนว่ายามนี้จวนไหวกั๋วกงมีจุดมุ่งหมายอันใดต่อจวนโหวที่นางกำลังดูแลอยู่ในยามนี้กันแน่
เพียงแต่ค่ำคืนนี้คนที่นางกำลังต้องการตัวกลับไม่มาเสียที โม่ชิงเยว่นั่งจ้องมองประตูที่เชื่อมติดกับระเบียงด้วยจิตใจจดจ่อ ในใจของนางก็ได้แต่คิดว่าหากคืนนี้เขาไม่มานางคงจะต้องไปสืบหาข้อมูลจากแหล่งอื่นแทนแล้วซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากกว่า
"เวลาที่ต้องการตัวไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นเลยสักครั้ง" โม่ชิงเยว่เอ่ยพึมพำออกมาเสียงเบาเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปจากยามปกติที่เขาเคยมาหานางแล้ว
“คนที่เจ้าเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้คงจะไม่ใช่ข้ากระมัง” คำถามนี้ทำให้โม่ชิงเยว่หันไปมองเตียงนอนของนางที่ถูกม่านมุ้งปกคลุมอยู่
“ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” เมื่อนางเอ่ยถามเขาเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ทอดถอนใจออกมาแล้วเอ่ยตอบนางด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย
“ข้าลักลอบเข้ามาตั้งแต่ยังไม่มืดดี แต่เห็นว่าเจ้ายังไม่กลับมาเสียทีอีกทั้งยังรู้สึกว่าง่วงมากก็เลยถือวิสาสะยึดครองที่นอนของเจ้า” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็กลอกตาขึ้นด้านบนด้วยไม่รู้ว่าจะเอ่ยต่อว่าเขาเช่นไรดี นางเดินไปที่เตียงนอนของตนเองเปิดม่านมุ้งออกแล้วจึงได้เห็นเขานอนอยู่บนเตียงนอนของนางด้วยท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความสบายอกสบายใจ
เขาสวมเสื้อตัวในสีขาวนอนคว่ำหน้าหนุนหมอนของนางอยู่ ยามที่ม่านมุ้งถูกนางเปิดออกเขาก็เงยใบหน้าอันคมสันขึ้นมาจ้องมองนางด้วยดวงตาอันแวววาว ผมดำขลับของเขาในยามนี้ยาวปกคลุมไปทั่วตัดกับเสื้อตัวในสีขาวที่เขาสวมใส่อยู่ทำให้ดูน่ามองมากยิ่งขึ้น แสงตะเกียงที่สาดส่องเข้ามาทำให้ใบหน้าคมสันที่มักจะมีแต่ความมืดครึ้มปกคลุมพลันมีความผ่อนคลายและดูอ่อนโยนน่ามองมากยิ่งขึ้นในทันที
“อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้าสิ ข้ายังป่วยอยู่นะทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ตวัดสายตาส่งค้อนให้เขา
“ท่านอยากจะให้ข้าทำแผลให้ท่านอีกหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นมานั่งในทันที
“ไม่ต้องๆ บาดแผลของข้าหายดีแล้ว” ซ่งเหวินจิ้งรีบเอ่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็วทำให้โม่ชิงเยว่อดยิ้มออกมาไม่ได้
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าต้องการข้า ต้องการให้ข้าทำเรื่องใดให้เจ้าหรือ” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“วันนี้ญาติผู้พี่จากสกุลเจียงของข้าถูกขังอยู่ที่กรมอาญา เป็นจวนไหวกั๋วกงแจ้งจับเขาด้วยข้อหาคตโกง”
“เจ้าอยากให้ข้าไปช่วยเขาออกมาจากคุกของกรมอาญาหรือ” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยถามเช่นนี้ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“ข้าแค่อยากจะรู้ว่ายามนี้จวนกั๋วกงมีความทะเยอทะยานถึงขั้นไหนกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นการสังหารท่าน การอยากจะส่งคนเข้ามาแฝงตัวในจวนโหว แถมยามนี้ยังตั้งใจหาเรื่องจวนสกุลเจียงซึ่งเป็นจวนสกุลเดิมของมารดาของข้าอีก”
“เจ้าไม่คิดว่าเป็นเพราะท่านราชเลขาธิการเหยียนเซียวพึงพอใจในตัวเจ้าจนทำทุกอย่างเพื่อจะได้ครอบครองเจ้าบ้างหรือ” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันหัวเราะออกมาในทันที
“ข้าไม่ใช่หญิงงามล่มเมืองจนถึงขั้นทำให้คนยินดีจะเสี่ยงชีวิตด้วยการส่งคนมาสังหารท่าน อีกทั้งเขาชอบพอข้าแบบใดจึงได้แสร้งดักจดหมายขอความช่วยเหลือข้าเพื่อที่ข้าจะได้ตายอย่างน่าสมเพชในจวนโหวแห่งนี้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้สายตาของซ่งเหวินจิ้งพลันทอประกายมากยิ่งขึ้น
“หากเป็นข้าเมื่อก่อนก็อาจจะโง่เขลาคิดว่าเขาชอบข้า ยามที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือข้าก็คงจะยินดีที่จะให้เขาเข้ามาช่วย ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยให้ข้าเฉลียวฉลาดขึ้นมาได้เช่นนี้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งเก็บรอยยิ้มของตนเองแทบจะไม่ทันเขารีบอ้าปากเตรียมจะแก้ตัวแต่นางไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เขาได้พูดออกมาเลยสักคำ
“อย่าได้พูดอะไรที่จะทำให้ข้าขัดเคืองใจอีกเลยทางที่ดีท่านควรจะบอกเล่าให้ข้าฟังว่าจวนไหวกั๋วกงมีความทะเยอทะยานจนถึงขั้นไหน เหยียนเซียวผู้นั้นใจจริงข้าก็อยากจะหนีห่างไปให้ไกลแต่เขากล้ายุ่งวุ่นวายกับจวนสกุลเดิมของมารดาของข้า ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยเขาเอาไว้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วเอ่ยกับนางตามตรง
“อันที่จริงเจ้าไม่ต้องออกแรงทำสิ่งใดหรอก ข้าในฐานะสามีย่อมจะเตรียมการเอาไว้เพื่อปกป้องเจ้าและลูกๆ อยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องจวนสกุลเจียงข้าคาดการณ์ไม่ถึงอยู่บ้างแต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะหาหนทางช่วยเหลือคุณชายใหญ่สกุลเจียงเอง” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“แต่ข้าไม่อยากนั่งรอรับความช่วยเหลือจากท่านเฉยๆ โดยที่ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นทางที่ดีท่านจงช่วยเหลือข้าด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับจวนไหวกั๋วกงให้ข้ารู้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ทอดถอนใจออกมา
"จวนไหวกั๋วกงสกุลเหยียนเป็นสกุลที่สร้างบัณฑิตออกมาไม่น้อย สำนักศึกษาอวี๋ซื่ออันเลื่องชื่อคือผลงานชิ้นเอกของไหวกั๋วกง เหยียนเซียวผู้เป็นซื่อจื่อของจวนคือผลผลิตที่ดีที่สุดของอวี๋ซื่อ เขาเป็นบัณฑิตที่มีความรู้แตกฉานมาตั้งแต่เด็ก ได้เป็นขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับการยกย่องจากฝ่าบาทจนสามารถก้าวข้ามขุนนางคนอื่นๆ มารับตำแหน่งราชเลขาธิการตั้งแต่อายุยังน้อย เหยียนกุ้ยเหรินผู้เป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลแม้ว่าไม่อาจจะได้รับความโปรดปรานเทียบเท่าหยางเต๋อเฟยที่ยามนี้ถูกลดขั้นและถูกส่งเข้าตำหนักเย็นไปแล้ว แต่ด้วยความที่นางเป็นสตรีที่งดงามและมีอายุน้อยเมื่อเทียบกับบรรดาสตรีของฝ่าบาท ดังนั้นยามนี้นางจึงกลายเป็นที่จับตามองยังไม่นับว่าเมื่อปีก่อนนางคลอดองค์ชายลำดับที่สิบแปดออกมา อีกทั้งองค์ชายน้อยยังสมบูรณ์และแข็งแรงจนเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ฐานะของนางจึงมีวี่แววว่าจะได้เลื่อนขั้นในเร็ววันนี้" เมื่อซ่งเหวินจิ้งอธิบายเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
"ที่แท้ก็มีองค์ชายน้อยที่มีเชื้อสายของสกุลเหยียนอยู่ในวังนั่นเอง"
“พระชนม์ของฝ่าบาทเริ่มมีมากขึ้นทุกวัน เหล่าองค์ชายก็ล้วนเติบใหญ่และล้วนเป็นภัยคุกคาม องค์ชายที่มีอายุน้อยแถมชาติตระกูลยังโดดเด่นและไม่มีวี่แววว่าจะคุกคามราชบัลลังก์ย่อมจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากกว่าองค์ชายพระองค์อื่นอยู่แล้ว ยิ่งยามนี้องค์ชายใหญ่ถูกขัง องค์ชายรองก็แสดงออกให้ผู้คนได้เห็นว่าไร้ความสามารถ ส่วนองค์ชายองค์อื่นๆ ก็สิ้นไร้สกุลคอยหนุนหลัง หากข้าเดาไม่ผิดเหยียนเซียวผู้นั้นจะต้องมีความคิดที่เกินเลยเป็นแน่" ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา
"ต่อให้มีใจทะเยอทะยานแต่กลับไร้ซึ่งกองกำลังอยู่ในมือ สิ่งเดียวที่เขามีในยามนี้ก็คือความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท" เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พลันส่ายหน้า
“เจ้าอย่าได้คิดดูถูกสกุลบัณฑิตเหล่านั้นเชียว ดูอย่างสกุลกู้ของท่านแม่ของข้าสิถึงอย่างไรก็เป็นสกุลใหญ่ที่เคยมีอำนาจและมีเงิน ย่อมจะสามารถชุบเลี้ยงนักฆ่ามากฝีมือเอาไว้ให้ใช้สอย หรือไม่ก็มีกองกำลังซุกซ่อนเอาไว้ได้อยู่แล้ว”
“นักฆ่ามากฝีมือข้าเชื่อว่าพวกเขาอาจจะมี แต่กองกำลังนั้นต่อให้มีก็คงจะไม่พอที่จะก่อการใหญ่ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่คิดหวังกองกำลังของท่านหรอก” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“วันพรุ่งนี้ข้าจะไปเป็นแขกที่จวนไหวกั๋วกงด้วยตนเอง อยากจะรู้เหมือนกันว่าพวกเขามีแผนการอะไรสำหรับข้า”
“อย่าไปเลย เรื่องญาติผู้พี่ของเจ้าข้าจะคิดหาหนทางให้เอง” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นสีหน้าดึงดันของโม่ชิงเยว่เขาก็ทอดถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ
“เช่นนั้นเจ้าพาจ้าวหรงกับจ้าวรุ่ยไปกับเจ้าด้วยนะ แม้ว่าพวกเขาจะดูขาดๆ เกินๆ ไปสักหน่อยแต่เรื่องฝีมือการต่อสู้ไม่ได้อ่อนด้อยเลย” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่นิ่วหน้า แต่เมื่อคิดว่าไม่ควรจะประมาทศัตรูนางจึงได้พยักหน้า
“เช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านจะต้องกำชับพวกเขาให้เชื่อฟังคำสั่งของข้า ห้ามทำอะไรนอกเหนือจากคำสั่งของข้าอย่างเด็ดขาด” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี่ซ่งเหวินจิ้งก็รีบรับปากในทันที
"เจ้าวางใจได้ พวกเขาจะต้องไม่ทำสิ่งใดนอกเหนือจากคำสั่งของเจ้าอย่างแน่นอน" ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มที่
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ