เช้าวันรุ่งขึ้นโม่ชิงเยว่ก็แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างประณีต สวมใส่เครื่องประดับอย่างพอเหมาะ เดินทางไปจวนไหวกั๋วกงโดยมีสาวใช้และผู้คุ้มกันอีกจำนวนหนึ่งติดตามไปด้วย เมื่อคืนนี้กว่านางจะไล่ให้ซ่งเหวินจิ้งออกไปจากห้องนอนของนางได้ ต้องใช้ความพยายามพอสมควร จนผลสุดท้ายนางต้องบอกเขาว่าหากเขายังไม่ไปนางจะลงมือทำแผลให้เขาด้วยตนเอง เขาจึงได้ยินยอมออกจากห้องของนางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมจะกำชับนางให้ระมัดระวังตัว ความใส่ใจของเขานางมองออกว่าไม่ใช่การเสแสร้ง ในใจย่อมจะรู้สึกดีกับเขามากยิ่งขึ้น แม้ว่าความลำบากแต่เก่าก่อนจะยังคงหลอกหลอน แต่เมื่อคิดว่าตัวนางเองก็มีส่วนที่ทำให้ตนเองต้องลำบาก นางจึงไม่ได้พยายามผลักไสเขาอย่างที่เคยตั้งใจเอาไว้
จวนไหวกั๋วกงอยู่ไม่ไกลจากจวนนิ่งอันโหวเท่าใดนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึงแล้ว เมื่อนางลงจากรถม้าก็มีมามาสูงวัยผู้หนึ่งมารอต้อนรับ เครื่องแต่งกายที่นางสวมใส่รวมไปถึงท่าทีเคารพนบนอบของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่คาดเดาเอาว่าฐานะของนางย่อมจะไม่ธรรมดา เมื่อไปถึงโถงรับรองแขกของจวนไหวกั๋วกงนางจึงได้รู้ว่ามามาสูงวัยผู้นี้คือมามาอาวุโสที่อยู่ข้างกายไหวกั๋วกงฮูหยิน
“โม่ชิงเยว่ คารวะไหวกั๋วกงฮูหยิน” เมื่อมาเป็นแขกก็ย่อมจะต้องมีความนอบน้อมมากกว่าปกติ ยิ่งกับสตรีที่แค่มองภายนอกก็รู้แล้วว่าเป็นคนประเภทเดียวกันกับแม่สามีของนาง โม่ชิงเยว่จึงไม่กล้าละเลยมารยาทที่พึงมี ส่วนไหวกั๋วกงฮูหยินเมื่อได้รับการคารวะจากโม่ชิงเยว่นางก็พยักหน้าและเอ่ยทักทายตามธรรมเนียมแล้วจึงเชื้อเชิญให้แขกอย่างโม่ชิงเยว่นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล
“ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ไม่เคยได้มีโอกาสได้พบกันสักที เรื่องท่านโหวข้าขอแสดงความเสียใจด้วยนะ” ไหวกั๋วกงฮูหยินเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อนทันทีที่เห็นโม่ชิงเยว่นั่งลงบนเก้าอี้แล้ว
“เรื่องท่านโหวข้าทำใจได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ ขอบคุณไหวกั๋วกงฮูหยินมากนะเจ้าคะที่ยินยอมตอบรับเทียบขอเข้าพบของข้า” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยิ้มออกมาแล้วจึงได้หันไปส่งสัญญาณให้หรงมามานำของขวัญที่นางเตรียมเอาไว้ไปมอบให้
“ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้าเจ้าค่ะ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางมองมามาข้างกายของไหวกั๋วกงฮูหยินเดินมารับผ้าปักที่โม่ชิงเยว่จัดเตรียมมาเพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่ไหวกั๋วกงฮูหยิน เมื่อไหวกั๋วกงฮูหยินเห็นของขวัญที่โม่ชิงเยว่มอบให้นางก็พยักหน้า
“ล้วนเป็นของดี นิ่งอันโหวฮูหยินไม่เห็นจำเป็นจะต้องลำบากนำมามอบให้ข้าเลย” แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้นแต่สายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชอบและชื่นชมผ้าปักผืนนั้นกลับไม่อาจจะปิดบังเอาไว้ได้มิด
“ผ้าปักผืนนี้คือผ้าปักลวดลายเดียวกับผ้าปักที่ทางจวนไหวกั๋วกงสั่งซื้อจากสกุลเจียง เพียงแต่เนื้อผ้าที่ใช้คือผ้าหยกเมฆา เป็นผ้าที่คัดเลือกเส้นไหมเนื้อดีหากตัดชุดเพื่อสวมใส่ในหน้าร้อนก็จะทำให้ผิวเนื้อเย็นสบาย ในทางกลับกันหากสวมใส่ในหน้าหนาวก็จะมอบความอบอุ่นให้แก่ผิวเนื้อ หวังว่าไหวกั๋วกงฮูหยินจะชื่นชอบผ้าปักผืนนี้นะเจ้าคะ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ไหวกั๋วกงฮูหยินจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
“ข้าย่อมจะต้องชอบอยู่แล้วเพียงแต่สาเหตุที่นิ่งอันโหวฮูหยินมอบผ้าปักลวดลายเดียวกันกับผ้าปักที่มีปัญหามาให้ข้าคงเป็นเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่กระมัง” คำถามประโยคนี้ทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“เรื่องจุดประสงค์แอบแฝงย่อมมีอยู่แล้ว ข้าคิดว่าไหวกั๋วกงฮูหยินย่อมจะสามารถคาดเดาได้ตั้งแต่ข้าส่งเทียบเชิญขอเข้าพบมาให้ท่านแล้วกระมัง” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ไหวกั๋วกงฮูหยินก็ส่งสายตาให้สาวใช้ของนางออกไปเหลือแค่เพียงมามาอาวุโสไว้ แล้วจึงได้เอ่ยกับโม่ชิงเยว่ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าอยากจะพูดคุยเรื่องนี้กับเจ้าตามลำพัง” เมื่อไหวกั๋วกงฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ของนางออกไปรอด้านนอกเหลือไว้แค่เพียงชุ่ยเหมยเพียงเท่านั้น
“นางคือสาวใช้ข้างกายข้า ไม่มีความลับระหว่างข้ากับสาวใช้ผู้นี้หวังว่าไหวกั๋วกงฮูหยินจะเข้าใจ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยิ้มออกมา
“แค่สาวใช้คนเดียวข้าย่อมไม่ติดใจอยู่แล้ว ขอแค่นางไม่ปากสว่างก็พอ” คำพูดของไหวกั๋วกงฮูหยินทำให้รอยยิ้มของโม่ชิงเยว่เผยความเย็นชาออกมา คนทั้งสองจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วไหวกั๋วกงฮูหยินก็เป็นฝ่ายเอ่ยก่อน
“ได้ยินว่าความสัมพันธ์ระหว่างนิ่งอันโหวฮูหยินและสกุลเจียงมีความแน่นแฟ้นพอสมควร ยามนี้คุณชายใหญ่สกุลเจียงต้องอยู่ในคุกของกรมอาญาก็เพราะข้าส่งคนไปแจ้งความจับเขา เจ้าคงจะรู้เรื่องนี้แล้ว”
“ใช่เจ้าค่ะเป็นเพราะเรื่องนี้ข้าก็เลยมาขอเข้าพบท่านที่นี่” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางจ้องมองไหวกั๋วกงฮูหยินได้สายตาที่แสดงออกให้เห็นว่านางรู้ทันความคิดของคนที่อยู่ตรงหน้า
“สกุลเจียงทำการค้ามาหลายปี ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อตรง ผ้าปักที่นำมาส่งที่จวนไหวกั๋วกงย่อมไม่มีทางที่จะเกิดปัญหา ดังนั้นปัญหาที่เกิดย่อมจะเกิดจากที่นี่ ข้าจึงตั้งใจจะมาสอบถามว่าปัญหาที่ว่ามันเกิดจากอะไร” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ไหวกั๋วกงฮูหยินหัวเราะออกมาเบาๆ
“ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเกลียดชังเจ้ามาก ยามนี้ข้าเข้าใจในความรู้สึกของนางแล้ว มีสะใภ้เช่นเจ้าทำใจให้ชอบได้ยากมากจริงๆ” เมื่อไหวกั๋วกงฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ได้ยินว่าไหวกั๋วกงฮูหยินชอบพอสุ่ยอี้หรงผู้เป็นลูกสะใภ้ของท่านมาก ยามนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าลูกสะใภ้ที่ท่านสามารถทำใจให้ชอบได้เป็นคนแบบไหน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ไหวกั๋วกงฮูหยินก็ตบพนักเก้าอี้ด้วยความโมโห เรื่องการตายอย่างมีราคีติดกายของสุ่ยอี้หรงคือความอับอายที่จวนไหวกั๋วกงยากจะยอมรับ ไหวกั๋วกงฮูหยินที่เป็นแม่สามีย่อมรู้สึกว่าเป็นลูกสะใภ้เช่นนี้คือตราบาปที่ยากจะปกปิดของจวนไหวกั๋วกง
“อย่าได้พูดยอกย้อนกันอีกเลย เช่นนั้นข้าก็จะขอพูดกับเจ้าตามตรงก็แล้วกัน สตรีที่เคยผ่านการแต่งงานและมีลูกมาแล้วเช่นเจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นฮูหยินของลูกชายข้า แต่ข้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหากเจ้าแต่งเข้ามาอย่างเงียบๆ ข้าก็จะให้เกียรติเจ้า แม้ว่าข้าจะมอบตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของลูกชายของข้าให้เจ้าไม่ได้ แต่ยังสามารถเก็บตำแหน่งภรรยารองให้เจ้าได้ข้ารับรองได้ว่าตราบใดที่ข้ายังอยู่จะไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจอย่างแน่นอน” คำพูดของไหวกั๋วกงฮูหยิน ทำให้โม่ชิงเยว่หรี่ตาลงแล้วจ้องมองสตรีวัยกลางคนที่เจ้ายศเจ้าอย่างตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง
“เหตุใดจึงได้คิดว่าข้าอยากจะมาเป็นฮูหยินของลูกชายของท่านเล่าเจ้าคะ โลงศพของสามีของข้ายังไม่ทันจะเย็นเลย อีกทั้งตำแหน่งโหวฮูหยินของข้าก็ไม่ได้ต่ำต้อยแล้วทำไมข้าจึงจะต้องลดตัวลงมาเป็นแค่เพียงภรรยารองของผู้อื่นด้วย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาอย่างไม่เข้าใจแต่ไหวกั๋วกงฮูหยินกลับยิ้มออกมาด้วยสายตาเย้ยหยัน
“เมื่อหลายวันก่อนลูกชายของข้ามาบอกกับข้าว่าอยากจะแต่งงานใหม่ และสตรีที่เขาอยากจะแต่งงานด้วยก็คือเจ้า” เมื่อไหวกั๋วกงฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ท่านก็เลยลงมือกับญาติผู้พี่ของข้าเช่นนั้นหรือ” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้ไหวกั๋วกงฮูหยินหัวเราะออกมาเบาๆ
“ข้าก็แค่อยากจะรู้ว่าเจ้าจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเช่นไรเพียงเท่านั้น” เมื่อไหวกั๋วกงฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘ไม่ใช่แค่ต้องการรอดูปฏิกิริยาตอบกลับของข้าหรอก ตั้งใจจะข่มขู่ข้าเสียมากกว่า’
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ