"ข้ายังนึกว่าเจ้าจะหลับเลยวันเสียอีก หากเจ้าตื่นแล้วข้าจะได้ไปเสียที"
หญิงชราเองยังนึกว่าเด็กน้อยคงต้องนอนพักอีกหลายวันกว่าจะฟื้น แต่เด็กคนนี้กลับตื่นขึ้นมาไวมาก ยามนี้หญิงชราก็สามารถกลับบ้านได้อย่างสบายใจแล้ว
จูมี่เอินเมื่อเห็นว่าคนที่ให้อาหารกำลังจะจากไปก็รีบคลานลงเตียงไปด้วยความไว เดินตามหญิงชราไป ยามนี้ถึงเพิ่งจะสังเกตชุดใหม่ที่ตนใส่ ผ้าพันแผลที่มีตามตัว เป็นหญิงชราหรือที่ทำแผลให้นาง?
หญิงชราหันมองจูมี่เอินที่ตามมาจนถึงหน้าห้อง
"เจ้าหลงทางหรือ?"
หญิงชราถามออกไปแต่กลับไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมา
"..." เด็กน้อยมองนางตาใสแป๋ว ปากเคี้ยวแผ่นแป้งไม่พูดไม่จา ดวงตาของเด็กหญิงกระจ่างใสคล้ายไม่ถูกโลกอันโหดร้ายกัดเซาะได้ ทั้งที่น่าจะผ่านความโหดร้ายมากมายกลับไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นรบกวนจิตใจแม้แต่น้อย
"จำทางกลับบ้านได้รึไม่?"
เมื่อลองถามประโยคอื่นดูก็เหมือนเดิม ไร้ซึ่งคำตอบใดๆกลับมา
"..."
"ถ้างั้นเจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้าต้องกลับแล้ว ไว้จะมาหาเจ้าใหม่" หญิงชราลูบไปที่หัวเด็กน้อยเบาๆ นางมาไหว้ขอพรที่อาราม ยามนี้ใกล้ค่ำแล้ว นางเองก็ต้องกลับจวนเหมือนกัน
เหตุเพราะที่อารามไม่มีสตรี เด็กน้อยตัวมอมมานางเลยอาสาเปลี่ยนชุด เช็ดตัวและทำแผลให้ เมื่อเด็กน้อยฟื้นแล้วนางเลยจะจากไป เมื่อหันหลังเดินออกไปตามทางเดินกลับพบว่าเด็กน้อยยังคงตามมาตลอดทาง
จูมี่เอินเดินตามหญิงชราออกมาจากห้องได้ครึ่งทางแล้วก็พบนักบวชท่านหนึ่ง ห่มกายด้วยชุดสีเทาอ่อน ใบหน้ามีความเมตตา น่าเข้าหาไม่เหมือนชาวบ้านพวกนั้นที่พากันมาขับไล่นาง จูมี่เอินหันมองหญิงชราที่ช่วยเหลือนาง หันมองนักบวชที่ดูน่าเข้าหา ในใจจูมี่เอินรู้แล้วว่าตนน่าจะมีที่พึ่งแล้ว
"ท่านนักบวช" หญิงชราเอ่ยทักพร้อมยกมือขึ้นทำความเคารพ
นักบวชที่อายุเกินเลขหกไปแล้วก็ค้อมหัวลงเพียงนิด ก่อนจะหันไปถามเด็กน้อยข้างหญิงชราว่า
"เจ้าฟื้นแล้วหรือ"
"..." เด็กน้อยก็ไม่ตอบอีกเช่นเคย
"หรือนางจะพูดไม่ได้?" หญิงชราคาดการณ์ไปแล้วก็อดมีสีหน้าสงสารไม่ได้ หลงทางก็แล้ว เจ็บตัวก็แล้ว อดข้าวก็แล้ว ยามนี้ยังพูดไม่ได้อีก ช่างเป็นเด็กที่มีชะตากรรมที่ลำบากเสียจริง
จูมี่เอินเพิ่งเคยเห็นสีหน้ากังวลของผู้อื่นนอกจากบิดาและมารดานางก็แปลกใจ แต่ก็รู้สึกอุ่นใจเมื่อได้เห็นหญิงชราท่านนี้อย่างบอกไม่ถูก ที่หมู่บ้านนางไหนเลยจะมีคนมองนางด้วยสายตาเช่นนี้อีก พวกเขาต่างกลัวนาง รังเกียจนาง นางเองก็หาได้ชมชอบพวกเขาไม่ มีแต่ความกลัวพวกเขาจับใจ
"เจ้าพูดไม่ได้หรือ?" นักบวชเฒ่าเป็นผู้ดูแลสูงสุดของอารามแห่งนี้เมื่อเห็นเด็กน้อยไม่พูดก็ลองถามอีกรอบ
จูมี่เอินไม่พูดทำเพียงแค่ส่ายหน้าเล็กน้อย นางพูดได้ นางอยากบอกเช่นนั้น ต่อจากที่พยักหน้าออกไปแล้วนางก็พยายามกลืนแผ่นแป้งคำสุดท้ายลงคอไปอย่างยากลำบาก
"นางพูดได้ก็ดีไป คงยังตกใจอยู่" หญิงชรายิ้มโล่งใจและกล่าวต่อว่า "ท่านนักบวช ใกล้ค่ำแล้ว ไว้ข้าจะมาใหม่" เมื่อพูดจบก็ยกมือลานักบวชอีกรอบ
"ขอบคุณแม่เฒ่าเมิ่ง" นักบวชเองก็ยกมือลาหญิงชราเช่นกัน
เมื่อเห็นคนที่ให้อาหารจากไปแล้ว ในใจของจูมี่เอินกลับรู้สึกเศร้าขึ้นมา มองตามนางตาละห้อย จดจำชื่อของหญิงชราไว้ขึ้นใจ 'แม่เฒ่าเมิ่ง'
หลายวันต่อมานางก็ใช่ชีวิตอยู่ที่นั่น โดนเค้นถามหาที่อยู่ก็ไม่พูด ถามถึงพ่อแม่ก็ไม่บอก ท่านนักบวชเองก็ไม่อยากบีบบังคับนางจึงปล่อยนางให้อาศัยที่อารามไปก่อน
ตอนเด็กจูมี่เอินเคยได้ยินอยู่บ้างว่าที่แคว้นของนางมีลัทธิหนึ่งที่ขยายไปทั่วแคว้น พวกเขาเรียกตัวเองว่านักบวช ศึกษาทางธรรมละทิ้งทางโลก ส่วนมากจะทำพิธีปัดเป่าต่างๆ คนเหล่านี้แม้จะถูกเนื้อต้องตัวกันได้แต่จะไม่สามารถแต่งงานได้ และไม่ต้องโกนหัวเหมือนนิกายอื่น จูมี่เอินเลยคิดว่าที่แห่งนี้น่าจะเหมาะกับนางยิ่งนัก
ตัวจูมี่เอินในตอนนี้ไม่มีที่ให้กลับไป และนางยังเด็กนัก นางไม่รู้จะพูดเรื่องของตนออกไปดีหรือไม่ นักบวชท่านนั้นก็ดูเป็นคนดี แต่นางยังกลัว กลัวว่าหากบอกเรื่องของตนออกไปแล้วจะถูกไล่ไปอีก
นางไม่รู้ว่าที่อารามแห่งนี้อยู่ไกลจากหมู่บ้านของตนเท่าใด บางทีข่าวเรื่องที่ตัวของนางคือตัวหายนะ ตัวอัปมงคลอาจจะมาถึงที่นี่ก็เป็นได้ หากนักบวชท่านนั้นรู้เข้า แล้วไล่นางไปนางจะทำเช่นไร จูมี่เอินเลยเลือกที่จะเงียบตลอดมา
หลายวันเฝ้าสังเกต มักจะมีคนมาที่อารามแห่งนี้ไม่ขาดสาย นางได้กินของอร่อยก็เพราะคนเหล่านั้นนำติดมือมาด้วย
แหล่งอาหารที่ใหม่นี้นางตัดสินใจจะยึดหลักปักฐานอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน!
ราวเดือนกว่านางตัดสินใจพูดกับนักบวชว่า
"ท่านอาจารย์ ข้าชื่อจูมี่เอินเจ้าค่ะ"
ท่านอาจารย์ที่นางเรียกก็แนะนำตัวเองว่าตนนั้นชื่อ หลี่ลู่ซือ
จูมี่เอินไม่ขอความเห็นเขาเรื่องที่ว่าเขาจะเป็นอาจารย์ให้นางรึไม่ นางมัดมือชกตัดสินใจแทนเขาไปเสียแล้ว แถมยังเรียกเขาว่าอาจารย์ลู่อีกด้วย
วันๆ นั้นนางแทบไม่พูดอะไร นอกจาก 'อาจารย์ลู่' เจอหน้าเขาทีก็จะเรียกอาจารย์ลู่ที บางทีไม่เจอหน้าก็เรียกหาทั้งวัน วิ่งวุ่นตามเขาไปทุกที่
ที่อารามแห่งนั้นมีนักบวชอยู่ประมาณสี่ห้าคน เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่ค่อยเจริญ อีกทั้งยังอยู่บนเนิน และที่อารามก็เน้นปฎิบัติตามคำสอนจึงไม่ได้ขึ้นชื่อเท่าไหร่ ทำให้อารามที่นี่ไม่ค่อยมีคนมามากเท่าที่อารามแห่งอื่น แต่ก็ยังมีคนในหมู่บ้านเดินทางมากันทุกวันไม่ขาดสาย
จูมี่เอินอยู่ไปอยู่มาก็เกือบสามปีแล้ว นางไม่ได้บวช เพียงทำงานรับใช้ ปัดกวาดเช็ดถูอยู่ที่นั่น แต่เวลาเรียนก็ไปเรียนรวมกับนักบวชท่านอื่น
นางเรียกพวกเขาว่าศิษย์พี่ เพราะพวกเขาช่วยสอนนางอ่านเขียน แต่เรื่องส่วนใหญ่ที่พวกเขาเรียนก็จะเป็นคัมภีร์เต๋า คาถา การทำพิธีต่างๆ ศิษย์พี่ของนางมีทั้งหมดสี่คน ซึ่งนางเรียกพวกเขาตามลำดับการเข้ามาบวชในอารามแห่งนี้
เริ่มจากศิษย์พี่คนแรกมีนามว่าศิษย์พี่อี คนที่สองมีนามว่าศิษย์พี่เอ้อร์ คนที่สามคือศิษย์พี่ซาน คนที่สี่คือศิษย์พี่ซื่อ ส่วนตัวนางถูกศิษย์พี่ทั้งสี่คนเรียกว่าน้องเล็ก หรือเรียกอีกชื่อว่าศิษย์น้องอู่
หากจะพูดนางก็คล้ายนักบวชหญิงขึ้นทุกวัน ความแก่นแก้วแสนสนในวัยเด็กถูกอารามขัดออกไปหลายส่วน แต่นางไม่สามารถบวชได้ พยายามขออาจารย์อยู่หลายครา พูดจนขี้เกียจพูดจนเลิกพูดไปเสียแล้ว
นางนึกถึงความตั้งใจเดิมของตนนั้นก็คือการยึดอารามแห่งนี้เป็นบ้านใหม่ มีของกิน มีที่อยู่ เป็นพอ ไม่ได้บวชก็ไม่ได้บวช ยังไงเสียตอนนี้นางก็ไม่ต้องถูกไล่ไปไหนอีก แค่นั้นก็ดีมากแล้ว
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา