공유

ตอนที่ 5 ตัดขาดจากโลก

last update 최신 업데이트: 2025-01-26 16:32:29

     สี่ปีแล้วตั้งแต่จูมี่เอินเข้ามายึดอารามในวันแรก

     หลี่ลู่ซือโค้งหัวลงเล็กน้อยรับไหว้จากชาวบ้านที่มาอารามและกำลังจะลากลับ

     ยามนั้นเมื่อมองผู้มาเยือนจากไปก็ทอดสายตากลับไปมองเด็กสาวที่ลานกว้าง กำลังขมักเขม้นกวาดพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ นางสวมใส่ชุดเก่าๆ สีน้ำเงินเข้ม ชายเสื้อขาดหลุดรุ่ยหลายส่วน ผมถูกมัดไว้ลวกๆ คล้ายไม่ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตน

     นึกถึงตอนที่นางเริ่มพูดกับเขาใหม่ๆ เมื่อสามปีก่อน ยามนั้นนางเองก็เริ่มเปิดใจคุยกับชาวบ้านที่มายังอารามบ้าง แต่หลังจากที่นางทักท้วงบางอย่างไปคนที่หมู่บ้านก็เริ่มมาที่อารามน้อยลง เขาสังเกตก็ได้รู้ว่านางนั้นมีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่น

     นึกถึงครั้งที่นางพยายามขอให้เขารับนางเข้ามาในฐานะนักบวชหญิง เขาก็ลังเลเพราะรู้ว่านางไม่อาจเป็นแค่นักบวชหญิงธรรมดา จึงยังชั่งใจอยู่นานจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้เสียที ตอนหลังเมื่อนางไม่รบเร้าเรื่องนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกเช่นกัน

     จูมี่เอินที่กวาดพื้นเอาเป็นเอาตายเองก็นึกถึงเรื่องที่ตนทำพลาดอีกแล้วเมื่อสามปีก่อน หลังจากเริ่มพูดคุยกับคนอื่นได้อีกครั้งก็เกิดเรื่องขึ้นอีกจนได้

     นางย้อนนึกถึงช่วงเวลานั้น

     ในตอนนั้นแม่เฒ่าเมิ่งมาลูบหัวนาง จูมี่เอินก็เกิดภาพนิมิตร ดวงตาเปล่งแสงสีทองอ่อนแว็บหนึ่งแล้วนางก็ร้องไห้ออกมา

     ยายเฒ่าตกใจกอดนางไว้ในอก เฝ้าถามว่านางเป็นอะไรอยู่นานสองนาน จนจูมี่เอินตัดสินใจพูดออกไป

     "ท่านยายท่านจะไม่ได้มาหาข้าอีกแล้ว ฮึก ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น" จูมี่เอินสวมกอดท่านยายแน่น แม่เฒ่าเมิ่งเป็นเหมือนมารดาของตนอีกคนไปแล้ว นางไม่อยากให้แม่เฒ่าเมิ่งจากไป แต่จูมี่เอินไม่ได้พูดทั้งหมด ว่าหญิงชราจะจากไปยังไง

     เพราะที่ผ่านมานางพยายามบอกคนในหมู่บ้านให้พวกเขาระวังเรื่องใดบ้าง แต่กลับถูกตีความหมายไปเป็นอย่างอื่น นางเลยคิดว่าเรื่องที่นางเห็นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ครานี้ได้เห็นแม่เฒ่าเมิ่งจากไปนางเลยไม่ได้บอกว่าแม่เฒ่าเมิ่งจะจากไปยังไง

     เป็นครั้งแรกที่มีคนเห็นดวงตาของนางแล้วไม่วิ่งหนี ไม่หวาดกลัว แม่เฒ่าเมิ่งกลับสวมกอดนางด้วยความรักและเป็นห่วง ถึงจะไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กน้อยพูดแม้แต่น้อย ได้แต่กอดปลอบนาง นานสองนานอยู่อย่างนั้น

     ในหลายวันต่อมาจูมี่เอินก็ได้รับข่าวร้ายถึงการจากไปของแม่เฒ่าเมิ่ง นางร้องไห้อยู่หลายวัน ร่างกายที่ผอมอยู่แล้วยิ่งซูบลงไปหลายส่วน

     ทำใจอยู่นานหลายเดือน จนภายหลังนางลองชั่งใจบอกคนที่มาที่อาราม ว่าพวกเขาจะเจอเรื่องร้ายอะไรบ้าง เช่นบางคนที่นางเดินชนเขาก็เกิดภาพนิมิตรขึ้นมา เห็นเขาจะแขนขาดเพราะอุบัติเหตุจากการทำงานของเขา

     บางคนนางลองจับไปที่ไหล่ของเขา นางก็ได้เห็นเขาเดินตกภูเขา นางก็เตือนไป

     บางคนนางไม่ได้โดนตัวเพียงแค่เดินผ่านก็เห็นว่าเขาจะโดนกับดักสัตว์งับขาจนขาด แต่เมื่อนางพูดไปแล้วพวกเขาก็ไม่เชื่อ หาว่านางบ้า

     ทว่าเมื่อคนเหล่านั้นพบเจอเรื่องพวกนั้นเข้า ทั้งที่ตนเองไม่ระวังเอง แต่ด้วยความกลัวกลับโทษนางเป็นต้นเหตุ กลายเป็นว่าทุกคนเริ่มหวาดกลัวนาง กล่าวหานาง คล้ายเหตุการณ์เดิมซ้อนทับขึ้นมาอีกครั้ง นางกลายเป็นปีศาจสำหรับคนอื่นไปโดยปริยาย

     ต่อจากนั้นก็ไม่ค่อยมีคนมาที่อารามอีกเลย เพราะข่าวของนางถูกแพร่ออกไปในหมู่บ้าน เป็นท่านอาจารย์และศิษย์พี่ต้องออกไปหาพวกเขา ปลอบประโลมคนเหล่านั้นเพื่อให้พวกเขากล้ามาที่อารามต่อ ไม่เช่นนั้นนาง ศิษย์พี่ และอาจารย์ก็คงต้องย้ายอารามใหม่ แต่มันใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่ายเสียทีไหน กว่าจะกลับมาเป็นดั่งเดิมได้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน

     เป็นนางผิดเอง นางเข้าใจโลกอย่างท่องแท้ขึ้นอีกหลายส่วน

     ต่อจากนั้นด้วยความยังเด็ก อยู่ในวัยเพียงสิบเอ็ดขวบ นางเลยเข้าใจไปว่านางไม่สามารถห้ามไม่ให้เกิดได้ และสิ่งที่นางเป็นนางไม่สามารถควบคุมการมองเห็นได้ มีสิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจก็คือสิ่งที่นางเห็นนั้นจะเกิดขึ้นจริงทั้งหมด นิมิตรของนางไม่เคยพลาด

     พอหลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายในตอนนั้นมานางก็ไม่ค่อยพูดคุยกับใครอีก มีเพียงอาจารย์และศิษย์พี่เท่านั้นที่นางจะพูดด้วยเท่านั้น

     ครั้นพอคนมาที่อารามนางก็จะหลบไป หลีกหนีจากพวกเขาให้ไกล เมื่อพวกเขาออกไปแล้วนางก็จะออกมาทำงานของตน ปัดกวาดเช็ดถู หาบน้ำ ทำอาหาร เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งสามปีหลังเรื่องเกี่ยวกับตัวของนางก็เริ่มเงียบไป

     ในตอนนี้จูมี่เอินอายุสิบสี่ปีแล้วถึงออกมาเจอผู้คนได้ปกติ ด้วยเพราะอาจารย์สั่งให้ออกมาเผชิญโลกภายนอกบ้าง นางจึงจำใจออกมา

     เมื่อออกมาก็รู้ว่าพวกเขาจำนางไม่ได้แล้วจึงสบายใจขึ้นมาบ้าง ที่นางไม่ออกมาเลยเพราะไม่อยากทำให้อาจารย์และศิษย์พี่ลำบาก แต่พอเห็นว่าเป็นเช่นนี้แล้วก็โล่งใจขึ้นมาได้บ้าง จากเด็กสาวที่เคยร่าเริ่งมากเริ่มเก็บงำความรู้สึกอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

     และนางเองก็ไม่ทักไม่ท้วงเรื่องความตายของใครอีกเลย นางได้บทเรียนถึงสองครั้งสองครา ตัดสินใจแน่แล้วว่าจะไม่มีครั้งที่สาม

     ตอนนี้คนในหมู่บ้านลืมเรื่องจูมี่เอินไปจนหมดและคิดไปว่าหญิงสาวที่หน้าตาดีที่อารามหลวงนั้นเป็นใบ้พูดไม่ได้ ทุกคนจำไม่ได้แล้วว่านางคือเด็กที่เคยทำให้พวกเขาหวาดกลัวเมื่อหลายปีก่อน ด้านจูมี่เอินไม่รู้หรอกว่าตนหน้าตาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน คิดไปเพียงว่าคนที่หมู่บ้านลืมเรื่องของตนไปแล้ว

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 8

    วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 7

    "เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 6

    ...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 5

    "เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 4

    ....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 3

    ....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status