จูมี่เอินนั้นนอกจากจะเย็บผ้าไม่เป็นแล้วทักษะด้านอื่นในการเป็นหญิงสาวนางก็พอมีบ้าง ทำอาหารก็ใช้ได้ งานบ้านก็เรียบร้อย อารามแห่งนี้แม่จะเก่าแต่ก็ถูกนางทำความสะอาดจนไม่มีแม้แต่ฝุ่น
แต่เพราะอารามตั้งอยู่ในเขตป่าทำให้มีใบไม้มากทีเดียว สิ่งที่ทำให้นางหนักใจที่สุดก็คือใบไม้พวกนี้นี่แหละที่กินเวลางานของนางมากกว่าสิ่งอื่น
วันนี้พอทำความสะอาดเสร็จนางก็ไปยกกองหนังสือมากองหนึ่ง ปักหลักลงใต้ต้นไม้ใหญ่กลางอาราม ที่ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของจูมี่เอิน นางนั่งอยู่ตรงนั้นล้อมรอบด้วยกองหนังสือที่อยู่ข้างกาย
หนังสือพวกนี้เป็นของคุณหนูท่านหนึ่งฝากให้บ่าวรับใช้นำมาบริจาคไว้ที่อารามเผื่อมีคนมาเอาไปอ่าน ซึ่งก็มี่แค่จูมี่เอินเท่านั้นที่สนใจ
ในกองหนังสือมีเล่มหนึ่งที่จูมี่เอินสนใจเป็นพิเศษ นั้นคือเรื่องราวของคนที่มีพรสวรรค์ คล้ายกับว่าได้รับพลังมากจากเทพเซียน
บางคนฝึกยุทธมีพลังลมปราณเหนือผู้อื่น
บางคนมีความสามารถในการดูดวงดาว แม่นยำ อ่านชีวิตของผู้อื่นได้
บางคนสามารถได้ยินไกลหลายลี้
ที่จูมี่เอินชอบที่สุดคงจะเป็นเรื่องเล่าของ หัตถ์เซียน นาม กู่เฟยเซียน ยาที่ผ่านมือ 'เขา' มีฤทธิ์มากกว่ายาธรรมดาสามเท่า แผลที่เขารักษาหายเร็วกว่าคนปกติถึงสี่เท่า
นี่มัน...เกินไปหรือไม่
จูมี่เอินรีบวิ่งไปหาอาจารย์ เรียกเขาด้วยความเคยชิน ในมือถือหนังสือเล่มนั้นมาด้วย แววตาทอประกายระยิบระยับราวกับคนที่ได้เจอความหวังครั้งใหม่ในชีวิต
"อาจารย์ลู่! อาจารย์ลู่!"
คนที่นั่งสมาธิอยู่ก็สะดุ้งตกใจลืมตาขึ้นมามอง ไม่เปลี่ยนจริงๆ นางโตขึ้นมาก นิสัยเด็กๆ หายไปเยอะแล้ว แม้มีความสุขุมคล้ายนักบวช แต่เรื่องเรียกอาจารย์ทั้งวันนั้นไม่เคยลดละเลยเสียจริง
"หัตถ์เซียนมีอยู่จริงรึไม่เจ้าคะ?" นางรีบนั่งลงตรงหน้าเขา พลิกหนังสือในมือให้เขาดูแว็บหนึ่งก่อนจะหันมาคืนแล้วก้มหน้าก้มตามองเรื่องราวในหนังสือไม่วางตา
"มีจริง ข้าเคยได้ยินมาอยู่บ้าง" หลี่ลู่ซือหลับตาลงท่าทางคล้ายนั่งสมาธิแต่ปากก็ขยับเอ่ยตอบจูมี่เอินออกไป
"เช่นนั้นเรียกว่าพรวิเศษรึไม่?" จูมี่เอินเดี๋ยวเงยหน้าเดี๋ยวก้มอ่านสลับไปมาด้วยความตื่นเต้น
"สมควรต้องเรียกเช่นนั้น"
"เรื่องที่หูได้ยินไกลเล่า?" นางยังคงถามไม่หยุดอย่างอยากรู้อยากเห็น
"เรื่องนั้นอาจเป็นความบกพร่องทางร่างกาย ไม่ก็ฝึกจากการใช้ลมปราณ" ด้านอาจารย์ลู่เองก็ตอบด้วยความใจเย็น ในน้ำเสียงนั้นน่าฟัง ไม่หงุดหงิดที่มีคนมารบกวนเวลานั่งสมาธิแม้แต่น้อย
"งั้นคนที่ฝึกลมปราณจนมีพลังมากกว่าคนอื่นเล่า เรียกว่าพรวิเศษหรือไม่"
"ลมปราณมีอยู่ในทุกคน อยู่ที่ว่าใครจะสามารถนำมาใช้ได้ ขึ้นอยู่กับความฝึกฝน ความหมั่นเพียร ความพยายาม ไม่อาจเรียกว่าพรวิเศษ"
หลี่ลู่ซือรู้ว่านางต้องการรู้สิ่งใด สิ่งที่นางมีไม่ใช่ความพยายามหมั่นเพียรเหมือนการใช้ลมปราณ แต่สิ่งที่เด็กสาวคนนี้มีคือพรวิเศษ เพียงแค่เพราะไม่มีใครมี นางเลยกลายเป็นที่แปลกประหลาด ถูกต่อต้านไร้คนยอมรับ ความจริงหลี่ลู่ซือก็รู้มานานแล้วเพียงแต่ไม่พูดอันใดออกไป
จูมี่เอินเริ่มแยกแยะได้ ในโลกของนางนั้นมีคนที่มีวิชากระบี่วิชาดาบที่สูง บางคนบอกพวกเขาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่นางคิดว่าน่าจะเกินไปหน่อย อาจเกิดจากการฝึกฝนทำให้กระโดดได้สูงกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง แข็งแรงกว่าอยู่บ้าง ฉะนั้นสิ่งที่นางได้รู้ตอนนี้คือ
หัตถ์เซียนคือพรวิเศษ ไม่อาจฝึกได้ มีเพียงนอกจากเขาต้องหัดเรียนรู้เรื่องยาเรื่องโรคแล้ว ความสามารถด้านการรักษาที่ผ่านมือเขาก็คือสิ่งที่ติดตัวเขามา!
งั้นสิ่งที่นางเป็นเล่า ผู้อื่นที่มีความโดดเด่นต่างเป็นที่ยอมรับ แล้วความสามารถของนางไยถึงเป็นจุดด้อย
ผ่านมาหลายปีนางเริ่มเข้าใจ นางไม่ได้ผิด มันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่อยู่แล้ว นางพยายามเตือนให้พวกเขาระวัง หากแต่ไม่มีใครเคยเชื่อนาง
พอนางได้มาอ่านเรื่องพรวิเศษของกู่เฟยเซียนแล้วก็เริ่มเข้าใจ ความสามารถของนาง คือดวงตาวิเศษ!
จูมี่เอินเบิกตาโต หัวใจเต้นรัว นางไม่ใช่ผู้ที่เป็นตัวกาลกิณี ไม่ใช่ลางร้าย บางทีนางอาจเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่น จูมี่เอินอยู่กับความรู้สึกผิดมานาน เมื่อได้เจอหนังสือเล่มนี้ก็มีความคิดมากกว่าครึ่งที่เปลี่ยนไปในทางที่ดี
"ขอบคุณท่านอาจารย์ลู่!" จูมี่เอินทำความเคารพอาจารย์ก่อนจะวิ่งกลับไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกรอบ
หลี่ลู่ซือมองตามร่างบางออกไป ยามนี้แม้นางจะสิบสี่ปีแล้ว แต่กลับตัวเล็กเหมือนเด็กที่โตไม่ทันเพื่อน นางอยู่กับเขามาสี่ปีแล้วไม่เคยขี้เกียจสักวัน มีเพียงเรื่องการจากไปของแม่เฒ่าเมิ่งเท่านั้นที่ทำให้นางนอนร้องไห้ซมไปหลายวัน เวลาที่นางใช้ชีวิตที่นี่ก็ทำงานเอาเป็นเอาตาย ราวกลับกลัวว่าจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อในวันข้างหน้า เป็นคนที่ใช้ชีวิตได้คุ้มเสียยิ่งกว่าผู้ใด
ตัวเขาเองก็เป็นเพียงนักบวชธรรมดาที่ไม่ได้รู้เรื่องราวในโลกดีเท่าไหร่ ไม่อาจปลอบนางได้ สิ่งที่นางเป็นไม่เคยมีใครพบเจอมาก่อน หากพูดออกไปเกรงว่าจะทำให้นางเข้าใจผิด ความหมายแปลเป็นอื่น เขาเลยเลือกที่จะเงียบไว้ ให้นางเรียนรู้โลกใบนี้ด้วยตัวของนางเอง
หลี่ลู่ซือเข้าสู่สมาธิต่อ ตัดทางโลกออกจากใจ ปล่อยวางเรื่องราวรอบตัว
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา