แชร์

ตอนที่ 7 นิมิตรที่ชัดเจน

ผู้เขียน: เสี่ยวเทีย
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-26 16:36:48

     จูมี่เอินวันนี้ออกมาตักน้ำในป่าแถวลำธาร เมื่อก่อนนางยังกลัวอยู่บ้างที่จะเข้ามาในป่าเพราะความฝังใจในวันเด็ก แต่ศิษย์พี่ของนางเวลามาตักน้ำที่ลำธารแห่งนี้มักจะพานางมาด้วย สลับพากันมาตักน้ำในทุกวันเพื่อช่วยให้นางสามารถก้าวต่อไปได้ ทำให้นางเปิดใจในความกลัวของตนเองอีกครั้ง

     และเพราะนางทำให้พวกเขาเดือดร้อนมาครั้งหนึ่งจนแทบเกือบจะรักษาอารามไว้ไม่ได้ เรื่องตักน้ำในภายหลังนางจึงเป็นคนอาสามาเองตลอด เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาศึกษาเรียนรู้อย่างเต็มที่ เรื่องดูแลอารามนางจะช่วยเอง

     แม้นางจะพูดเช่นนั้นแต่พวกศิษย์พี่ก็ไม่มีใครเอาเปรียบนางเลย มักจะช่วยกันทำทุกอย่างอยู่ตลอด นางอยู่ที่อารามแห่งนี้นั้นสบายใจเป็นอย่างมาก ขอแค่มีกินในแต่ละวันนางก็พอใจมากแล้ว นางไม่มีความฝัน ไม่วาดหวังอนาคต คล้ายคนไร้จุดหมายที่มีความสุขมากคนหนึ่ง

     ฮึบ

     ที่ลำธารนางออกแรงแบกคานซึ่งมีน้ำสองถังห้อยอยู่ขึ้นบ่าของตน ก้าวเดินกลับเข้าไปในป่าที่ตนออกมา ถัดจากป่าเล็กๆ เดินไม่พอหนึ่งก้านธูปก็จะไปถึงที่ใต้เนินของอาราม

     พรึบๆ

     คล้ายเสียงสลัดผ้าดังขึ้นในหู ร่างเล็กชะงักค้างอยู่กลางทาง ดวงตามีประกายสีทองวาบผ่าน

     นางเห็นนิมิตร!

     ในภาพนั้นชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เสียงของน้ำไหลผ่านโขดหิน เสียงของลม แสงของพระอาทิตย์ที่สาดส่องกิ่งไม้ลงมา สีของใบไม้ที่เด่นชัด คล้ายเป็นภาพที่มองเห็นด้วยดวงตาปกติ ไม่ใช่อยู่ในภาพนิมิตรของนาง

     จูมี่เอินเห็นบุรุษผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากป่าอีกฝั่งของลำธาร หน้าตาเขาแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป หล่อเหลามีสง่า ใบหน้าที่มองมาสบตามาตรงๆ นั้น ทำเอานางใจเต้นไม่หยุด

     แล้วภาพตัดไปอีกฉากหนึ่งถึงความตายของคนผู้นั้น

     พรึบ

     จูมี่เอินกระพริบตาอีกหลายครั้ง ถูกดึงกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ดวงตาของนางกลายเป็นสีดำดังเดิม เมื่อครู่นางค้างไปเพียงเสี้ยววิแต่ภาพที่เห็นกลับยาวนานเกือบหนึ่งก้านธูป

     จูมี่เอินรับรู้ถึงน้ำหนักบนบ่า นางเลยได้สติวางคานที่หาบน้ำอยู่ลงไปบนพื้น หันกลับไปมองลำธารด้านหลัง ยามนี้นางอยู่ในป่า เดินไปอีกเจ็ดก้าวก็คือลำธาร นางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เห็นมันคือลำธารที่นางเพิ่งตักน้ำมา ภาพน่ากลัวหลังจากฉากแรกยังคงชัดเจนและทำให้นางหวาดกลัวไม่น้อย

     เป็นครั้งแรกที่นางเห็นว่าตนเองมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นั้น และเป็นครั้งแรกที่ภาพมันชัดเจนขนาดนี้

     นางเคยบอกตนเองว่าจะไม่บอกคนอื่นเรื่องชะตาของพวกเขา แต่คราวนี้กลับคิดต่างจากเดิมเพราะหลังจากที่อ่านเรื่องพรวิเศษของกู่เฟยเซียนมานางก็คล้ายจะมีความกล้าขึ้นหลายส่วน จูมี่เอินไม่ต้องชั่งใจแม้แต่น้อย นางตัดสินใจเดินกลับไปที่ลำธารอีกครั้ง

     ไม่นานบุรุษผู้นั้นก็ออกมาจากป่าอีกฝั่ง หยุดยืนจ้องมองนางชั่วครู่ก่อนจะวิ่งตัดผ่านแม่น้ำที่ลึกเพียงแค่ครึ่งขามาหานาง

     เขามองนางด้วยสายตาแปลกๆ ในใจคิดว่าเหตุใดเด็กสาวถึงมาอยู่แถวป่าได้ แถมนางยังมองเขานิ่งราวกลับไม่ตกใจที่มีคนโผล่ออกมาจากในป่าแม้แต่น้อย

     จูมี่เอินไม่รู้ว่านางพูดคุยอะไรกับเขาในนิมิตรนั้น รู้เพียงแค่ว่าตนและเขาได้เจอกัน เพราะต่อมามันก็ตัดไปอีกฉากแล้ว

     พรึบๆ

     แต่แล้วภาพนิมิตรก็ปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง เพียงชั่วครู่ที่ได้สติกลับมานางก็วิ่งเข้าไปหาเขาตามที่ตนเห็นในนิมิตร คว้าแขนเขาไว้แล้วพูดบางอย่างด้วยท่าทางตกใจร้อนรน

     "อย่าไปตามลำธาร ให้ขึ้นเนินเขาไป จะเจอหน้าผาจากนั้นให้เลี้ยวขวา วิ่งต่อไปจนเจอต้นไม้ที่หักโค่นลงมาให้เลี้ยวซ้าย ท่านจะออกไปได้ จะเจอคนของท่านที่นั่น"

     จูมี่เอินยังคงตกใจกลัวกับสิ่งที่เห็นในนิมิตร ภาพในนิมิตรฉากที่สองของรอบแรกนั้นนางเห็นเขาโดนตามล่าและโดนฆ่าในที่สุด เลือดสีแดงสดสาดนองเต็มลำธาร ไหลย้อมลำธารสีใสให้กลายเป็นสีเลือด หากเขาไปทางลำธารเขาจะตาย!

     ทว่าในนิมิตรเมื่อครู่นางกลับเห็นตนเองพูดกับเขาประโยคนี้ นางเลยคิดว่ามันอาจเป็นคำพูดที่ช่วยให้เขารอดจากอันตรายได้ นางรีบพูดเพราะกลัวจะลืม พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นเขามองนางด้วยสายตาแปลกใจและตกใจรวมกัน

     ยามนั้นถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป

     บุรุษผู้นั้นมองนาง 'เด็กตัวกระจ้อยแค่นี้ เหตุใดถึงพูดอะไรแปลกๆ'

     "เจ้าเปี๊ยกเจ้า..."

     ทว่ายังไม่ได้พูดจบประโยคเด็กหญิงตัวเล็กก็เดินถอยห่างกระพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ก่อนจะตะโกน   

     "ไป!!" จูมี่เอินยกมือชี้ขึ้นไปเฉียงกับทางที่นางออกมา ไปทางนั้นจะขึ้นไปถึงเขาด้านหลังของป่าจึงจะทะลุออกอีกหมู่บ้านหนึ่งได้ ไปทางนั้นเขาอาจรอด เวลากระชั้นชิดแล้วหากไม่ไปตอนนี้เกรงว่าคงไม่ทัน

     บุรุษผู้นั้นตกใจ รีบวิ่งไปทางป่าตามที่นางบอก ก่อนไปยังเผลอหันกลับมามองเด็กสาวที่แปลกประหลาดอีกหนึ่งที ตอนนั้นก็เห็นนางออกวิ่งเข้าไปในป่าเช่นกัน

     จูมี่เอินรู้ว่าในไม่ช้าคนที่ตามบุรุษเมื่อครู่มาจะโผล่ออกมาจากป่า นางเองก็ต้องหนี วิ่งเขาไปทางเดิม เทน้ำในถังออกจนหมดแล้วแบกคานใส่บ่าวิ่งกลับไปที่อารามด้วยความไว

     แปลกมาก ไยรอบนี้ถึงเห็นหนทางรอดของผู้อื่นได้

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 8

    วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 7

    "เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 6

    ...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 5

    "เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 4

    ....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 3

    ....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status