บทที่ 5
พลิกเกมนางร้าย
กลิ่นน้ำหอมผสมกลิ่นผ้าไหมใหม่เอี่ยมและเครื่องสำอางค์ราคาแพงหรูหราส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งห้อง แสงไฟเจิดจรัสสะท้อนเงาหญิงสาวที่ยืนมองภาพสามีตัวเองกำลังโอบกอดร่างบางในอ้อมแขน ดานเต้เงยหน้ามองอลิเซียอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ไม่ต่างจากสายตาของทีมงานอีก 4-5 คน และลอเรนที่มองดูเธอนิ่ง อลิเซียพยายามเก็บอารมณ์ไว้ในสีหน้า แม้ว่าภายในใจตอนนี้ร้อนระอุจนอยากจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้
“ฉันถามว่า นี่มันอะไรกัน?” เสียงเรียบแต่แฝงความเย็นเฉียบของดานเต้ทำให้ทุกคนในห้องสะดุ้ง อลิเซียเมินหน้าแทนคำตอบ ดวงตากลมสวยคู่นั้นอาบเคลือบด้วยความรู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่มอยู่มาก
“คุณก็ถามแม่นางเอกคนสวยของคุณสิ...ฉันขี้เกียจจะตอบอะไร” อลิเซียพูดปัดรำคาญเพราะรู้ว่าพูดอะไรไปก็ไร้น้ำหนัก
“ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง...ถ้าเธอบอกว่าเธอไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันจะเชื่อ” คำพูดนั้นอ่อนลงจนทำให้หัวใจของอลิเซียสั่น ดานเต้มองจ้องเธอราวกับคาดคั้นคำตอบอีกครั้งแต่อลิเซียเลือกที่จะยืนนิ่งไม่พูดอะไร
“ดานเต้...เห็นมั้ยคะ เมียคุณทำร้ายฉัน ดูแก้มฉันสิแดงไปหมด” โมนิก้าทำเสียงออดอ้อนชายหนุ่ม อลิเซียหันมองเพียงน้อยแต่ก็เลือกที่จะมองไปทางอื่นแทน ในขณะที่ทุกคนพยายามจะคาดคั้นความมผิดจากอลิเซีย เบนาดิกก็เดินออกมาจากหลังผ้าม่านเปลี่ยนชุดของห้องพร้อมมือถือในมือ
“เบนาดิก...ทำไมคุณออกมาจากหลังม่านเปลี่ยนชุด” เสียงลิลิน ทีมงานอีกคนดังขึ้นทันทีที่เห็น เบนาดิกยิ้มน้อยๆ เธอรีบเดินเข้าไปดูชุดฟินนาเร่ที่ไหล่ขาดวิ้นอยู่
“ไม่คิดว่าจะต้องทำรุนแรงกันขนาดนี้เลย” เบนาดิกพูดเสียงเรียบ
“นั่นสิคะ ไม่ควรจะใช้กำลังทำร้ายร่างกายกัน” ทีมงานอีกคนสมทบทันที
“พวกคุณพาโมเน้ออกไปจากห้องนี้เถอะ ก่อนฉันจะทนไม่ไหว” เบนาดิกกล่าวเสียงแข็ง จ้องมองร่างเล็กในอ้อมกอดดานเต้ราวกับจะกินเนื้อกินเนื้อ
“ทำไม? ...คุณถึงไล่คุณโมเน้ล่ะคะ อลิเซียตบเธอนะ”
“ที่พวกคุณเห็นกับที่ฉันเห็น มันต่างกันมากนะ...ฉันยังไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย”
“พูดอะไรน่ะเบนาดิก คุณกำลังหมายถึงอะไร” ลอเรนถามซ้ำพลางเดินเข้าไปแตะบ่าของเบนาดิก มือถือในมือของหญิงสาวถูกยกขึ้นและเล่นภาพช้าๆ ต่อหน้าต่อตาลอเรน สีหน้าของลอเรนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดมองโมนิก้าสลับกับอลิเซียไม่วางตา
“พวกคุณดอะไรกันน่ะ” โมนิก้าเริ่มทำสีหน้าร้อนรน เมื่อเห็นเบนาดิกและลอเรนกับดูคลิปบางอย่าง ดานเต้ที่พอจะเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น หันไปส่งสายตาหาทีมงานที่ยืนมุงดูอยู่ทันที
“ทุกคน! ออกไปให้หมด!” เสียงทุ้มตะโกนลั่นจนทีมงานและช่างแต่งหน้ารีบทยอยเดินออกจากห้องกันหมด เหลือเพียงอลิเซีย ลอเรน เบนาดิก โมนิกาและดานเต้ในห้องเท่านั้น
ทันทีที่ในห้องเงียบลง ดานเต้ลุกขึ้นพลางเดินไปปิดประตูห้องแต่งตัวอย่างแรงและก้าวเท้าไปยังเบนาดิกและลอเรน คลิปวิดีโอเริ่มต้นที่โมนิก้ากำลังพูดจาดูถูกและหาเรื่องอลิเซียแม้เสียงจะเบาและถ่ายจากมุมมืดแต่ก็พอดูออกได้ว่า อลิเซียกำลังถูกหาเรื่องอยู่ คลิปดำเนินไปจนโมนิก้ากวาดข้าวของบนโต๊ะลงบนพื้นและกรีดร้องออกมาพร้อมตบหน้าตัวเองซึ่งนั้นชัดเจนแทนคำตอบทุกอย่าง
“ทำไมคุณทำอะไรแบบนี้โมนิก้า?” เสียงของดานเต้โวยลั่นทันทีที่คลิปจบลง
“ฉันเปล่านะ...ดานเต้ ฉันไม่ได้ทำ เมียคุณต่างหากที่ทำร้ายฉัน”
“ถ้าฉันไม่ทันแผนเธอสักนิด เธอคงใช้แผนปัญญาอ่อนนี้เรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่นสินะ” อลิเซียยกยิ้ม ใบหน้าที่จ้องมองโมนิก้าแสดงออกถึงความสมเพศอย่างเห็นได้ชัด
“เธอหมายความว่ายังไง...เธอทำอะไร”
“ทำสิ่งที่คนโง่ๆ อย่างเธอไม่มีทางตามทันไง” อลิเซ๊ยเดินเข้าไปกระชากมือถือของเบนาดิกมาถือไว้ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าของโมนิก้า หญิงสาวเปิดวิดีโอที่โมนิก้าหลอกทุกๆ คนให้เธอดูพลางหัวเราะออกมา โมนิก้าที่ดูคลิปพวกนั้นถึงกับหน้าซีดผาดด้วยความตกใจ
“ฉัน...ฉันไม่ได้...” โมนิก้าพูดเสียงสั่น
“โชคดีของฉันที่เบนาดิกเข้ามาช่วยแต่งตัวและเธอกำลังเข้าไปเอาของที่หลังฉากเปลี่ยนชุด และนางเอกโง่ๆ แบบเธอก็ดันทะเล่อทะล่าเข้ามาหาเรื่องฉันเสียก่อน” อลิเซียกระชากมือถืออออกพลางเดินไปนั่งที่หน้ากระจก
“เธอไม่ควรทำแบบนี้เลยโมเน้” ลอเรนส่ายหัวอย่างระอาในขณะที่โมนิก้าเริ่มร้องไห้
“ฉันถูกใส่ร้ายลอเรน ดานเต้ ฮื่อๆ”
“ดานเต้...คุณช่วยพาคนของคุณออกไปพ้นๆ สายตาฉัน ก่อนที่ฉันจะร้ายขึ้นมาจริงๆ” ดานเต้จ้องมองเงาของอลิเซียในกระจก ใบหน้าคมสวยนั้นเชิดใส่ทุกเหตุการณ์ที่เกิด หญิงสายชายตามองเขาเพียงน้อยเมื่อรู้ว่าถูกมองอยู่ก็รีบหลบสายตา
ดานเต้พยุงโมนิก้าออกจากห้องไปในขณธที่ลอเรนและเบนาดิกกำลังช่วยกันแก้ชุดที่เกิดรอยขาดนั้นอยู่ อลิเซียหันไปสอบตาลอเรนพลางเอื้อมมือกุมมือหญิงสาวไว้แน่น
“อย่าทำให้ฉันรู้สึกผิดกว่าเดิมสิอลิเซีย...” ลอเรนยิ้มอย่างละอายใจ
“มันก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะเข้าใจฉันผิด บางทีฉันควรจะชินกับอะไรแบบนี้ได้แล้ว” อลิเซียแค่นหัวเราะพลางสูดลมหายใจลึก
“คนเราเชื่อในสิ่งที่เห็นมากกว่าความเป็นจริงที่เกิด ถ้าฉันต้องเข้าใจผิดเธอแบบเหตุการณ์วันนั้นอีก ฉันคงรู้สึกผิดไปทั้งชีวิต"” เบนาดิกทำสีหน้าเศร้าขณะที่กำลังเย็บชุดจากรอยขาดที่เกิดขึ้น ลอเรนมองหน้าอลิเซียสลับกับเบนาดิกราวกับสงสัยในคำพูดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เบนาดิกจึงเริ่มเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น
เบนาดิกเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อวันที่อลิเซียต้องขึ้นเดินแบบครั้งแรก ในวันนั้นก็เฉกเช่นวันนี้อลิเซียถูกทาบทามให้เดินชุดฟินนาเร่ของงาน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ใครบางคนในงานวันนั้นรู้สึกว่าตนเองถูกแย่งตำแหน่งไป อลิเซียแต่งตัวอยู่ในห้องแต่งตัวเพื่อเตรียมพร้อมขึ้นเดินฟินนาเร่ เบนาดิกในวันนั้นก็ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการแต่งหน้าและแต่งตัวของเธอเช่นกัน อลิเซียนั่งรอเรียกขึ้นเวลาทีอยู่คนเดียวในห้องแต่งตัว และใครบางคนก็เดินเข้ามาในห้องและพูดจาไม่ดีใส่อลิเซีย
ด้วยความเป็นเด็กของอลิเซียในวันนั้น เธอเลือกจะหนีและเดินออกจากห้องแต่งตัวไปแต่เธอกลับไม่รู้ตัวสักนิด ใครคนนั้นบอกทีมงานและทุกๆ คนว่าอลิเซียทำชุดของเธอขาดและขอให้ทีมงานตัดสิทธิ์เธอจากการเดินแบบในวันนั้น อลิเซียร้องขอความยุติธรรมในกองเดินแบบแต่ก็ไร้ผลทุกคนเชื่อผู้หญิงคนนั้นมากกว่าคำพูดจากเด็กที่เพิ่งเข้าวงการอย่างเธอ แต่ด้วยงานดำเนินมาจนถึงรอบที่ชุดฟินนาเร่ต้องขึ้นเดินแล้วจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนเดินได้ทัน อลิเซียได้ขึ้นเดินชุดฟินนาเร่และเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น รองเท้าของเธอมีหมุดที่ถูกใส่ไว้ หมุดนั้นแทงเท้าของเธอจนเลือดซกรองเท้าส้นสูงพลิกในจังหวะที่เธอเดินได้ถึงกลางเวที เป็นข่าวใหญ่ที่ดังมากในช่วงนั้นที่อลิเซีย เดินแบบตกเวที
“ฉันนอนโรงพยาบาลอยู่หลายคืนมากจากเหตุการณ์วันนั้น” อลิเซียพูดขำๆ
“กองเดินแบบเจอคลิปวิดีโอว่า ผู้หญิงคนนั้นใช้คัตเตอร์กรีดชุดตัวเองและหยอดหมุดลงในรองเท้าอลิเซีย ทุกคนในกองมาขอโทษแต่อลิเซียปฏิเสธการเจอคนในกองทุกคน” เบนาดิกเล่าเสียงสั่น
“ฉันไม่ได้ถือสาอะไรคนพวกนั้น...และไม่ต้องการรับคำขอโทษของใครเพราะพวกเขาแค่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น”
“แต่เรื่องพวกเขามันทำร้ายเธอ ทั้งร่างกายและชื่อเสียง” ลอเรนเสริม
“ความจริงจะยืนยันตัวของมันเอง...ฉันแค่เชื่อแบบนั้น”
อลิเซียนั่งอยู่หน้ากระจก ขนตายาวงอนสั่นไหวขณะที่เมคอัพอาร์ทิสต์กำลังเก็บรายละเอียดชุดและหน้าของเธออยู่ ชุดฟินนาเร่สีขาวประดับด้วยขนนกและประกายเพชรแพรวพราว เครื่องเพชรเต็มชุดถูกประโคมไว้บนร่างบาง เธอสวยมากราวกับนางฟ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์
เสียงดนตรีเปลี่ยนเป็นจังหวะทรงพลังราวกับประกาศศึก เมื่อการเดินโชว์ชุดสุดท้ายสิ้นสุดและชุดฟินนาเร่ที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ฉากบนรันเวย์ถูกเปลี่ยนเป็นเมฆสีขาว มีควันสีขาวจากไดฟ์ไอซ์ฟุ้งงขึ้นมาเต็มพื้นเวที จากพรมแดงแปรเปลี่ยนเป็นพื้นเมฆสีขาวละเอียด ไฟสปอร์ตไลท์ทั้งงานสาดลงมายังฉากสีขาวและเพดานของฮอลบัดนี้ได้ส่งแสงประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า เสียงกรี๊ดดังสนั่นฮอลเมื่อร่างบางในชุดฟินนาเร่สีขาวประดับคริสตัลระยิบระยับก้าวขึ้นมาบนเวที ชุดที่ทำให้เธอดูราวกับเทพีผู้เสด็จลงจากสวรรค์
“นั่นอลิเซีย!” ทุกสายตาแทบหยุดหาใจเมื่อเธอเริ่มก้าวเดิน แผ่นหลังตรง ดวงตาคมสวยเย็นเฉียบ ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มเย้ยหยันบางๆ ทุกย่างก้าวของเธอเต็มไปด้วยอำนาจจนกล้องแทบแตกจากเสียงชัตเตอร์
โมนิก้าและนางแบบคนอื่นๆ ทยอยเดินขึ้นมาบนรันเวย์ ขณะที่อลิเซียกำลังเดินกลับมายังกลุ่มนางแบบที่ยืนโพสท่ากันอยู่ โมนิก้าก็เบี่ยงเท้าออกมาจงใจจะให้อีกฝ่ายสะดุดเสียหลักตกเวทีแต่อลิเซียเบี่ยงตัวหลบได้ทัน
เสียงผู้ชมบางส่วนร้อง ว้าย! ด้วยความตกใจ
อลิเซียปรายตามองเพียงน้อ เธอยกคางสูง ก้าวเดินต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้อน เธอใช้ส้นสูงเหยียบกระโปรงของโมนิก้าไว้อย่างแนบเนียน ใบหน้าของเธอยกยิ้มสบตาโมนิก้าอย่างนางมารร้าย
“เตรียมตัวล้มให้สวยๆ ล่ะ เพราะเธอไม่มีวันชนะ!” ทันทีที่เสียงกระซิบจนลง อลิเซียก็ใช้ส้นสูงรั้งชายกระโปรงโมนิก้าจนร่างบางแทบล้มเองต่อหน้าสื่อ
เสียงแฟลชกล้องรัว แชะ แชะ แชะ
อลิเซียยิ้มหวานเดินหมุนอยู่หน้าเวทีและเริ่มเดินกลับไปที่ปลายเวทีอีกครั้ง เสียงดนตรีดังก้องขึ้นเรื่อยๆ จังหวะหนักแน่นราวกับหัวใจของใครหลายคนที่เต้นแรงตาม แสงไฟนับร้อยสาดประกายไปตามร่างระหงของอลิเซีย ที่กำลังก้าวเดินไปบนรันเวย์ ชุดฟินนาเร่สีขาวระยิบระยับสะท้อนแสงไฟราวกับเธอกำลังโอบอุ้มดวงดาวนับพันล้านดวงทั่วทั้งจักรวาล เส้นผมพริ้วสลวยปลิวไหวไปตามจังหวะก้าวเดินที่มั่นคง ครั้งนี้ทุกย่างก้าวคือการประกาศว่า ราชินีได้กลับมาครองบัลลังก์แล้ว
ผู้ชมทั้งฮอลเงียบกริบราวกับถูกสะกด เสียงแฟลชกล้องดัง แชะ แชะ ไม่หยุด แต่ในแถวนักข่าวกลับมีเสียงกระซิบแทรกขึ้น
“สวยมากๆ ทำไมเธอดูสง่างามกว่าทุกคนที่เคยเห็นมา”
“อลิเซียสวยมากๆ อย่างกับราชินี”
เมื่อถึงปลายเวทีที่ทอดยาวไปจนถึงจุดสูงสุดของโชว์ อลิเซียหยุดยืน แผ่นหลังตรง ดวงตาคมกวาดสายตาไปทั่วทั้งฮอล เธอยกยิ้มเย้ยหยันบางๆ ดวงตาคมคู่นั้นหยุดสายตาที่ชายหนุ่มรูปงามในชุดสูทดำที่จ้องมองเธออยู่ไม่ละสายตาเช่นกัน อลิเซียอมยิ้มอย่างยั่วยวน เธอเดินมุ่งหน้าลงจากเวทีก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของดานเต้
แววตาของหญิงสาวอ่อนโยนลงจนเห็นได้ชัด เธอโพสท่าอยู่ตรงหน้าเขาท่ามกลางแสงแฟลชที่รัวไม่หยุด มือเล็กค่อยๆ แตะสัมผัสใบหน้าของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ดานเต้จ้องมองเธอนิ่งราวกับพยายามอ่านใจ
“ฉันทำได้ดีขนาดนี้เพราะปลายทางของราชินีคนนี้ มีคู่ครองที่แสนดีรออยู่...” อลิเซียเอ่ยเสียงกังวาน
ไม่ทันทีใครจะได้เอ่ยอะไร หญิงสาวรั้งเนคไทสีดำสนิทเข้ามาใกล้ ใบหน้าสวยคมนั้นจุมพิตริมฝีปากของดานเต้อย่างดูดดื่มต่อหน้าทุกคน เสียงฮือฮาดังก้อง แขกทั้งงานแทบลุกยืน เพราะภาพนี้!
จุมพิตที่ประกาศแก่โลกเพื่อลบคำสบประมาททั้งหมด
“เธอคือภรรยาตัวจริงและคือราชินีที่ครอบครองหัวใจของมาเฟีย!”
บทที่ 9คู่สัญญาแสนดี แสงประกายสีทองอร่ามฉาบเคลือบบนผืนทะเลสาบเลื่องชื่อ ลมพัดผ่านผิวทะเลาสาบราวกับหยอเย้ากันเล่น เรือส่วนตัวลำสีดำสนิทกำลังแล่นอยู่กลางทะเลสาบ เสียงของเกลียวคลื่นเล็กๆ กระทบกับลำเรือเป็นระลอกๆ อลิเซียยืนเกาะราวตรงหัวเรือแน่น รู้สึกถึงแรงลมปะทะผิวในทุกช่วงที่เรือแล่นผ่าน เสียงดนตรีแจ๊สดังแว่วมาจากกลางลำเรือ ปาร์ตี้เล็กๆ กับแอลกอฮอร์หลายรูปแบบวางเรียงรายอยู่ในห้องรับรองกลางลำเรือ ราฟาเอลและเพื่อนนักธุรกิจของเขาอีก 3 คนกำลังนั่งดื่มแชมเปญกันอยู่ด้วยความสนุกสนาน อลิเซียนั่งลงตรงที่นั่งหน้าลำเรือ สายตาเหม่อลอยไปยังท้องน้ำกว้างที่สวยและดูสะอาดตาราวกับภาพวาดในจินตนาการ เงาของร่างสูงสะท้อนลงบนพื้นของลำเรือจนอลิเซียต้องรีบหันไปมอง ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตดำเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ สายตาของเขาจับจ้องใบหน้าของอลิเซีย พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่น&nbs
บทที่ 8ทฤษฏีของเกมลวงรักพระอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขากระทบกับผิวน้ำที่พริ้วไหวราวกับเต้นระบำอวดผู้มาเยือน คฤหาสถ์หลังใหญ่ริมทะเลสาปโคโมถูกเปิดไว้ต้อนรับดานเต้และอลิเซียอย่างหรูหรา ทันทีที่หญิงสาวเท้าแตะที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ หญิงสาวใส่ชุดเมทราวๆ สิบกว่าคนก็ต่อแถวยืนรอเธอขนาบสองข้างทางเดินที่มุ่งหน้าตรงไปยังคฤหาสถ์หลังใหญ่ เสียงเปียโนแว่วดังมาจากด้านในทำให้อลิเซียเผลอมองโดยไม่รู้ตัวร่างสูงเดินนำเข้าไปยังด้านในคฤหาสถ์ โถงทางเดินประดับด้วยหินก้อนใหญ่ที่เรียงต่อกันดูเก่าแก่แต่ก็หรูหรา กลิ่นอายของดอกกุหลาบลอยกรุ่นอยู่ทั่วบริเวณ อลิเซียเดินตามดานเต้เข้าไปก็พบกับร่างเล็กกำลังบรรเลงเปียโนอย่างไพเราะโดยไม่รู้สึกถึงสัมผัสของผู้มาเยือน หญิงสาวผิวขาวเนียนละเอียดในชุดเดรสสีขาวกระโปรงฟูฟ่องคล้ายเจ้าหญิงในนิทานกำลังขับกล่อมเปียโนด้วยเสียงที่แว่วหวานและไพเราะ“ไม่คิดจะทักทายพี่หน่อยเหรอ เทียน่า...” เสียงเรียบนิ่งของดานเต้ทำให้จังหวะเปียโนหยุดชะงักไป หญิงสาวนั่งตัวตรงด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยวางมือบนเปียโ
บทที่ 7เจ้าหญิงน้อยแสงสีขาวสาดส่งมายังลานสนามเด็กเล่น เด็กหญิงกำลังนั่งกินไอติมอยู่บนม้าหมุน ในขณะที่เด็กชายอีกคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ ร่างเล็กของเด็กหญฺงใส่ชุดกระโปรงบานสีขาวฟูฟ่อง บนผมของเธอสวมมงกุฏราวกับเจ้าหญิงน้อยๆ ในเทพนิยาย เธอหยิบไม่คฑาขึ้นมาแกว่งไปมา สักพักเด็กชายอีกคนที่สวมผ้าคลุมสีดำราวกับอัศวินก็รีบวิ่งเข้ามาหาเธอทันที“เจ้าหญิงน้อยมีอะไรจะให้ข้ารับใช้หรือขอรับ” เด็กชายคุกเข่าลงข้างหนึ่งและก้มหน้ารับคำสั่ง เจ้าหญิงน้อยรีบเดินลงมาจากม้าหมุนพลางทำทีคล้ายจะสั่งการ“เจ้าลองไปดูที่ตรงนั้นสิ ข้าเห็นพวกโจรกำลังเดินมากัน” เด็กหญิงชี้ไม้คฑาไปยังทางเข้าของสนามเด็กเล่น เพียงครู่ก็มีเด็กผู้หญิงอีก 2-3 คนเดินเข้ามาในลานสนามแห่งนี้ อัศวินรับคำสั่งรีบวิ่งเข้าไปจัดการเด็กหญิงพวกนั้นทันทีจนเด็กหญิงทั้งสาม ล้มลงไปกองกับพื้นเพราะแรงผลัก“หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกฉันเจ็บ...”“เข้ามาในเขตแดนของข้าทำไม” เด็กหญิงตวาดเสียงดังลั่น จนคนที่เดินผ่
บทที่ 6ข่าวดังสะท้านวงการเช้าวันถัดมา หลังค่ำคืนอันสะเทือนสังคมแฟชั่นและวงการมาเฟีย แผงหนังสือเต็มไปด้วยนิตยสารและหนังสือพิมพ์พาดหัวตัวโตๆ ถึงเหตุการณ์สุดร้อนแรงในงานเดินแฟชั่นคอลเลคชั่นใหม่ของลอเรน คราสโต“อลิเซีย – ภรรยาสุดร้อนแรงของมาฟียหนุ่ม ดานเต้! เปิดตัวในฐานะราชินีในชุดฟินนาเร่”“จากนางร้ายพลิบทสู่นางพญาแห่งวงการ : จุมพิตที่ทำให้โลกตะลึง”“นางเอกสุดใส อักษรย่อ ม. ถูกแย่งซีนกลางงานแฟชั่นโชว์จนล้มไม่เป็นท่า”เว็บไซต์ข่าวบันเทิงกดขึ้น Breaking news ตลอดทั้งวัน วิดีโอการจุมพิตถูกแชร์ซ้ำแล้วซ้ำอีกในโซเชียล เสียงวิจารณ์แตกออกเป็นสองฝั่งอย่างร้อนแรง- ฝั่งหนึ่งคลั่งไคล้และชื่นชมในหญิงสาว- อีกฝั่งตราหน้าว่า “นางร้ายสวมบัลลังก์ แย่งผู้ชาย”อลิเซียนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหรูในห้องรับแขก มือถือบนโต๊ะยังสั่นไม่หยุดตั้งแต่เช้า เธอยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเบาๆ แววตาเย็นสงบจ้องมองวิวสวยของบ้า
บทที่ 14ทำตามเสียงหัวใจ อลิเซียเดินลงจากรถเข้าสู่ปราสาทลาเซลเวอร่าอย่างรีบร้อน เมื่อเดินทางห้องจัดเลี้ยงก็กุลีกุจอเดินหยิบโน่นจัดนี่ตามแบบใน แพลนงานเลี้ยงที่ดานเต้ให้ข้อมูลไว้ ทุกโต๊ะถูกจัดวางด้วยกุหลาบสีแดงสดส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง ดอกไม้ทองคำที่ถูกสั่งทำพิเศษเฉพาะงานนี้ด้วยช่างฝีมือที่ประณีตที่สุดของอิตาลี ผ้าปูโต๊ะมันวาวสีงาช้างปักดิ้นทองจับแสงไฟในห้องจนดูหรูหราที่สุด ไวน์แดงระดับแรร์วินเทจถูกจัดเตรียมประดับประดาไว้ที่บาร์วีไอพีอย่างสวยงาม “อลิเซีย วาเลนไทน์!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางหน้าห้อง หญิงสาวหันกลับไปมองตามเสียงก็พบร่างบางในชุดเดรสสีทองสง่าเดินกรุยกรายเข้ามาจากทางหน้าห้อง “ลิลลี่...ดีใจที่เธอยอมรับงาน” 
บทที่ 5พลิกเกมนางร้ายกลิ่นน้ำหอมผสมกลิ่นผ้าไหมใหม่เอี่ยมและเครื่องสำอางค์ราคาแพงหรูหราส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งห้อง แสงไฟเจิดจรัสสะท้อนเงาหญิงสาวที่ยืนมองภาพสามีตัวเองกำลังโอบกอดร่างบางในอ้อมแขน ดานเต้เงยหน้ามองอลิเซียอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ไม่ต่างจากสายตาของทีมงานอีก 4-5 คน และลอเรนที่มองดูเธอนิ่ง อลิเซียพยายามเก็บอารมณ์ไว้ในสีหน้า แม้ว่าภายในใจตอนนี้ร้อนระอุจนอยากจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้“ฉันถามว่า นี่มันอะไรกัน?” เสียงเรียบแต่แฝงความเย็นเฉียบของดานเต้ทำให้ทุกคนในห้องสะดุ้ง อลิเซียเมินหน้าแทนคำตอบ ดวงตากลมสวยคู่นั้นอาบเคลือบด้วยความรู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่มอยู่มาก“คุณก็ถามแม่นางเอกคนสวยของคุณสิ...ฉันขี้เกียจจะตอบอะไร” อลิเซียพูดปัดรำคาญเพราะรู้ว่าพูดอะไรไปก็ไร้น้ำหนัก“ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง...ถ้าเธอบอกว่าเธอไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันจะเชื่อ” คำพูดนั้นอ่อนลงจนทำให้หัวใจของอลิเซียสั่น ดานเต้มองจ้องเธอราวกับคาดคั้นคำตอบอีกครั้งแต่อลิเซียเลือกที่จะยืนนิ่งไม่พูดอะไร