" ต้องจองด้วยหรือคะ นึกว่ามีเงินก็ซื้อได้เลย" หลี่เล่อเยียนถามออกไปด้วยความใสซื่อ
" นี่แม่หนู....จะบอกอะไรให้นะ ใช่ว่ามีเงินแล้วเธอจะซื้อได้ทุกอย่าง
เธอต้องมีคูปอง แล้วเธอจะต้องสั่งจอง เพราะเนื้อนั้นมีปริมาณจำกัดในการขายของแต่ละวันน่ะ" แม่ค้าพูดพร้อมกับส่ายหัวในความใสซื่อของแม่สาวสวยคนนี้ อย่างว่าละนะ คนชนบทไม่ค่อยได้เข้าเมืองบ่อย ๆ จึงไม่รู้กฎข้อนี้เท่าไหร่
" ตายจริง ทำอย่างไรดีล่ะคะคุณป้า พอดีพี่สาวของฉันกำลังจะคลอดลูก ฉันก็เลยอยากจะซื้อขาหมูเอาไว้สำหรับไปบำรุงเธอสักขาน่ะค่ะ " หลี่เล่อเยียนตีสีหน้าเศร้าได้สมบทบาทโดยแท้ ถ้าจำไม่ผิดหล่อนไม่มีพี่สาวที่นี่ไม่ใช่หรือ
หม่ายวี่ไท่ขมวดคิ้วเป็นปมสงสัยในคำพูดของหลี่เล่อเยียน หล่อนไปมีพี่สาวที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เคยเห็น แล้วก็ไหนจะท้องแก่คลอดด้วย นางจิ้งจอกหน้าขาวคนนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
ส่วนฝั่งของเหอหมี่เมี่ยนนั้นเล่นไปตามน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก เพราะเธอพอจะเข้าใจความหมายของเล่อเยียนบ้างแล้วว่าหล่อนต้องการอะไร
" เป็นอย่างนี้นี่เอง เอาล่ะเห็นแก่คนท้องใกล้คลอด และนางหนูกตัญญูต่อพี่สาวของเธอ ฉันบอกสถานที่พิเศษที่หนึ่งให้
สถานที่นี้ มีของที่เธอต้องการจริง แต่เธอต้องแลกมันมาด้วยราคาที่สูงถึงเท่าตัวเลยล่ะ เอาหูมาใกล้ๆ สิฉันจะบอกทางให้ "
เป็นไปตามแผนที่หลี่เล่อเยียนคิดเอาไว้ คนยุคนี้ยึดถือคำว่ากตัญญูเป็นหลัก สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับคำว่ากตัญญูมักจะชนะเสมอ อีกอย่างคือไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมอะไร คบหากันด้วยความจริงใจ
หากเป็นยุคที่เธอจากมาคงต้องคัดกรองคนสักสิบชั้นเห็นจะได้ ด้วยเล่ห์กลนั้นมีมากมายนัก จะต้องตามให้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ตกเป็นเหยื่อของกลโกงต่าง ๆ แน่นอน
" ขอบคุณคุณป้ามากค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ "
หลังจากที่เดินมาได้เล็กน้อย หลี่เล่อเยียนจึงยื่นซาลาเปาให้กับทั้งสองสาวคนละ 2 ลูก แต่ทั้งสองคนกลับยืนนิ่งไม่รับ ได้แต่พากันจ้องหน้าเธอไม่ขยับไปไหน
" รับไปสิฉันกินคนเดียว 6 ลูกไม่หมดหรอก ถ้ากินหมดนี่มีหวังท้องแตกก่อนแน่ " หลี่เล่อเยียนยัดซาลาเปาใส่มือของทั้งสองคน แล้วเธอก็เดินกินซาลาเปาของตัวเอง อืม.. รสชาติไม่ได้เรื่องเลย นี่มันวิญญาณหมูชัดๆ
จุดหมายของเธอคือตลาดมืด ที่หญิงวัยกลางคนบอกทางพร้อมรหัสผ่านเข้าไป
ในที่สุดเมื่อไปถึงทางเข้า ก็เจอกับคนเฝ้าปากทางตัวโตสามคน หลี่เล่อเยียนไม่พูดอะไรมากไม่ทักทายเพียงแค่พูดรหัสลับออกไปทั้งสามก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย
เหอหมี่เมี่ยนที่กำลังเคี้ยวซาลาเปาอยู่นั้น แทบจะสำลักซาลาเปาที่กินเข้าไปออกมา เมื่อเห็นคนตัวโตร่างยักษ์ทั้งสามที่เฝ้าทางเข้า แต่เล่อเยียนกลับพูดด้วยท่าทางสบายๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าบอกว่าเธอเคยมายังสถานที่แห่งนี้มาก่อน ก็คงจะมีคนเชื่ออย่างแน่นอน
เมื่อเข้ามาข้างในได้แล้วทั้งสามคนก็ตื่นตาตื่นใจกับสถานที่แห่งนี้มาก เพราะมีบางคนที่ใจกล้านำสิ่งของออกมาวางขายอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ เลย
หลี่เล่อเยียนลอบสังเกตคนที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกแม่บ้านมากกว่า ที่มาหาซื้อของไว้รอคนที่บ้าน เพราะบางคนมีเงิน แต่ไม่มีคูปองก็ไร้ค่า
เดินสังเกตอยู่นานเธอจึงเดินตามหญิงที่แต่งตัวทะมัดทะแมงคนหนึ่ง เธอมักจะเดินเข้าไปหาแม่บ้านเหล่านั้นอยู่บ่อย ๆ หลี่เล่อเยียนเลียนแบบพฤติกรรมแล้วถามซื้อสิ่งที่เธอต้องการ จากนั้นก็แทบกระอักเลือด เพราะเนื้อที่เธอต้องการสอบถามราคานั้นสูงลิ่วจริง ๆ เนื้อชั้นแย่อยู่ที่ชั่งละ 9 หยวนอย่าพูดถึงเนื้อชั้นดีเลยราคาสูงถึงชั่งละ 11 หยวนเชียวล่ะ
หลี่เล่อเยียนซื้อเนื้อมาครึ่งชั่ง 4.5 หยวน ไข่ไก่ครึ่งชั่ง 5 เหมา วันนี้เธอเสียเงินไป 6 หยวนแล้วนะ แต่จะทำอย่างไรได้ถ้าเธอไม่ซื้ออะไรติดมือกลับไปบ้าง เธอก็คงจะเอาอาหารในมิติออกมาทำไม่ได้
มันน่าเจ็บใจตรงที่เธอมีเนื้อในมิติเป็นร้อยๆ ชั่งแต่ต้องมาเสียเงินซื้อเนื้อชั้นแย่โดยใช่เหตุนี่สิ
ทางด้านเหอหมี่เมี่ยนกับหม่ายวี่ไท่เดินตามเธออย่างสงบเสงี่ยมแต่ไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะใช้จ่ายอะไรสักอย่าง ไหนบอกว่าเข้าเมืองมาซื้อของ
พอเดินจนทั่วแล้วก็คงจะได้เวลากลับบ้านพักสักทีละนะเพราะตอนนี้ดวงอาทิตย์ตกลงกลางหัวคงเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี คนที่ทำงานในเมืองเริ่มออกมาหาอะไรกินกันบ้างแล้วทำให้ดูคึกคักเป็นพิเศษ
" พวกเธอเจอของที่อยากได้บ้างหรือยัง หาอะไรอยู่หรือเปล่าทำไมฉันไม่เห็นพวกเธอซื้ออะไรกันเลยล่ะ " หลี่ล่อเยียนอดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถามขึ้น
" ไม่มีหรอก...พวกเราเพียงแค่มาเดินดูของเท่านั้นน่ะ เราไม่มีเงินซื้อของพวกนี้หรอก " เป็นหม่ายวี่ไท่ที่เป็นคนตอบเหอหมี่เมี่ยนที่นั่งข้างๆ ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้
ตอนนี้ทั้งสองคน โดนหลี่เล่อเยียนลากมานั่งในร้านบะหมี่ร้านหนึ่ง เธอบอกกับทั้งสองคนว่าอยากกินอะไรสั่งได้เลย วันนี้เธอเลี้ยงก่อน หากมาคราวหน้าค่อยให้พวกหล่อนทั้งสองคนเลี้ยงคืน
ถ้าหากไม่ใช้วิธีนี้ มีหรือที่สองคนนั้นจะกล้าสั่งของมากิน คงได้แต่นั่งกลืนน้ำลายมองเธอและคนอื่นในร้านกินเป็นแน่ บางคนก็ไม่ได้มีเงินติดตัวมายังค่ายแห่งนี้ ไม่แปลกอะไรเพราะใช่ว่าทุกคนจะมีเงินเสมอไปมีข้าวกับแป้งติดตัวมานับว่าดีมากแล้ว
หลี่เล่อเยียนยังอดสงสัยไม่ได้ว่าร่างเดิมเอาเงินมาจากไหนมากมายเพียงนี้ บางครอบครัวใช้เงินเพียงแค่ 10 หยวนในการใช้จ่ายทั้งปี เพราะของกินไม่ต้องใช้เงินซื้อ ที่ต้องใช้เงินคือจำพวกผ้า เอาไว้สำหรับตัดชุดเท่านั้น ซึ่งเสื้อผ้าบางคนดีหน่อย ได้ซื้อใส่ปีละชุด บางคนชุดเดียวใส่ทั้งปีก็มีถมเถไป
ยังคงเป็นหลี่เล่อเยียนที่สั่งบะหมี่มาให้พวกเธอคนละชาม บะหมี่ที่นี่ราคา 3 เหมา เหอหมี่เมี่ยน บอกว่าจริงๆ แล้ว เธอกินกับหม่ายวี่ไท่ได้ให้สั่งมาแค่ 2 ชาม เธอยังอิ่มซาลาเปาสองลูกนั้นอยู่เลย
แต่ไหนเลยหลี่เล่อเยียนจะฟัง บะหมี่แค่ชามเดียวกินสองคนจะไปอิ่มอะไร หนทางเดินกลับที่พักยังอีกยาวไกล เงินแค่นี้เธอไม่เสียดายหรอก เพราะยังไงเธอก็มองหาช่องทางรวยเอาไว้แล้ว เธอมีของหายากในมิติอีกตั้งมากมาย รอวันหยุดรอบหน้าก่อนเถอะ สงสัยจะต้องมาคนเดียวเพื่อระบายของหน่อยแล้วล่ะ
หลี่เล่อเยียนมั่นใจว่าพวกเครื่องปรุงที่เธอมีนั้น จะต้องสร้างมูลค่าให้เธอได้อย่างแน่นอน ไหนจะน้ำมันคุณภาพต่ำ ราคาแสนแพงนั่นอีก มันกันเทียบไม่ได้เลยกับน้ำมันถั่วลิสงคุณภาพเยี่ยมที่เธอมี เพียงแค่คิดเงินก็ลอยมาในหัวของเธอแล้ว หลี่เล่อเยียนนั่งเหม่อแอบยิ้มคนเดียว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในอีกมุมของร้านมีใครคนหนึ่งกำลังมองเธออยู่
"เรื่องนี้แล้วแต่น้องสามจะจัดการเถอะครับ ผมกับภรรยาได้บอกไปแล้ว ความตั้งใจแรกคือเพียงแค่อยากจะให้คนทำผิดยอมรับเท่านั้น และอยากจะถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงทำกับเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาอย่างนั้นได้ลงคอ แต่หล่อนก็ไม่ยอมรับผิด ซ้ำยังโบ้ยความผิดให้เลี่ยงจินว่าพูดปดมดเท็จขู่ให้เด็กกลัวจนตัวสั่นตัวน้องสามเองก็ควรจะมีภาวะความเป็นผู้นำ แต่งภรรยาเข้ามาแล้ว ก็ควรจะสั่งสอนภรรยาให้รัก และเคารพครอบครัวของสามีให้เหมือนครอบครัวของตนเอง ไม่ใช่คอยเฝ้าอิจฉาริษยาคนที่เขาได้ดีกว่า" คำพูดสุดท้ายหยางหมิงเฉิงปลายตามองสะใภ้ใหญ่ ซึ่งความอิจฉานั้นเขาไม่สามารถบอกได้ว่า ใครมีมากกว่าระหว่างสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สาม“อืม…แต่ไหนแต่ไรมาน้องสามจิตใจอ่อนโยนขี้ใจอ่อน เป็นคนปากหนักไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ครั้งนี้เขาคงได้บทเรียนไปบ้างแล้วล่ะ” พี่ชายใหญ่พยักหน้าเข้าใจในคำพูดของน้องชายทันทีพี่ชายใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าหยางหมิงเฉิงและภรรยา ต้องการให้ส่งสะใภ้สามและลูกกลับไปยังบ้านเดิม แต่แท้จริงแล้วเป็นความคิดของน้องชายสามเองที่ ไม่รู้ว่าจะลงโทษลูกเมียอย่างไรดีให้พี่รองของเขาพอใจ แต่เขากลับไม่ได้คิดว่าจะหาวิธีอบรมส
เสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่ง ดังไกลมาถึงบ้านของสองสามีภรรยา หลี่เล่อเยียนสะดุ้งตื่นในอ้อมกอดของสามี หยางหมิงเฉิงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น“นอนต่อเถอะครับ น้องสามน่าจะไปส่งลูกกับภรรยาของเขาแล้วล่ะ” หยางหมิงเฉิงไม่คิดที่จะเดินไปดูเพราะคนเป็นพ่อแม่สมควรที่จะให้บทเรียนแก่ลูกบ้าง“…..” หลี่เล่อเยียนทำเพียงถอนหายใจเท่านั้น ในฐานะที่ตนเองก็เป็นแม่คนรู้สึกสงสารหลานน้อยจับใจ เพราะได้ข่าวมาว่าบ้านเก่าสะใภ้สามไม่ค่อยจะเหมือนบ้านเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะรับคนอย่างหยางจินเยว่เข้ามาอยู่ภายในบ้านได้จริง ๆนอนไปสักพักก็ข่มตาหลับไม่ลง หลี่เล่อเยียนจึงลุกออกมาเตรียมอาหารเช้า หยางหมิงเฉิงก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน วันนี้อาหารเช้าเธอตั้งใจจะทำโจ๊กปู เช้าๆยังไม่อยากกินอาหารรสจัดเท่าไหร่ ช่วงสายๆเธอตั้งใจจะห่อเกี๊ยวกุ้ง และจะเพิ่มซุปสาหร่ายให้ลูกชายด้วยพี่ชายใหญ่เดินมาหาน้องชาย พบว่าหยางหมิงเฉิงนั้นกำลังออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้าน โดยมีสะใภ้ใหญ่ตามมาด้วย เนื่องจากเธอตั้งใจว่าจะมาขออาหารทะเลจากน้องรอง เธอไม่เชื่อเลยว่าสองคนนั้นจะไ
“แม่ต้องขอโทษลูกชายของแม่ด้วย ที่ปล่อยให้ลูกโดนคนใจร้ายรังแก” หลี่เล่อเยียนพูดคุยกับลูกชายสองคนในห้องน้ำ ยิ่งเห็นสภาพของลูกชายเต็มๆเธอยิ่งปวดใจ ส่วนลูกชายนั้นอือ ออ ไปกับแม่ของเขา ราวกับจะฟ้องว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้างหลังจากที่อาบน้ำและทายาให้กับลูกชายแล้ว หลี่เล่อเยียนก็ให้เจ้าถั่วเขียวอยู่กับพ่อของเขา ส่วนเธอตอนนี้นั้นไปทำข้าวต้มกุ้งทรงเครื่องให้กับลูกชาย พร้อมทั้งใส่สาหร่ายบดละเอียดลงไปด้วยหลี่เล่อเยียนนำกุ้งออกมาจากในมิติ จากนั้นก็ทำการแกะเปลือกกุ้ง แล้วนำมาผัดในน้ำมัน ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งคุ้งบ้านบริเวณนั้น ไม่เว้นแม้แต่บ้านใหญ่ ที่ตอนนี้พวกเขากินข้าวกันภายใต้ความกดดัน ทุกคนสูดดมกลิ่นหอมแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ซึ่งไม่ต้องเดาทิศทางของกลิ่นหอมนี้เสียให้ยากว่ามาจากบ้านหลังไหน“หอมมากเลยครับ” หยางหมิงเฉิงเอ่ยชมเนื่องจากว่าตัวเองก็ไม่เคยกินข้าวต้มกุ้งมาก่อนในชีวิต“รีบกินเถอะค่ะ กินตอนร้อนๆจะได้อร่อย” พรุ่งนี้หลี่เล่อเยียนคิดเมนูอาหารทะเลไว้เต็มหัวพร้อมทั้งพริกหม่าล่าในมิติ เธอจะทำซอสผัดกุ้งแดงหม่าล่า พร้อมทั้งปูนิ่งจ
“ผมขอโทษนะครับ ที่พาคุณกับลูกมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้” หยางหมิงเฉิงรู้สึกเสียใจมากกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาไม่น่าพาลูกและภรรยามาเจอเรื่องแบบนี้เลย“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่ได้รู้ล่วงหน้านิคะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” หลี่เล่อเยียนไม่คิดที่จะโทษสามีเลยสักนิด หากคนที่จะผิดในเรื่องนี้จริง ๆ แล้วก็ควรที่จะเป็นเธอเอง ที่ไม่ควรจะไปตั้งตัวพร้อมเป็นศัตรูกับเหล่าบรรดาสะใภ้ หรือไม่ควรที่อยากจะไปทะเลเลยด้วยซ้ำ“ลูกเป็นไงบ้างครับ” หยางหมิงเฉิงจับที่แขนและขาของลูกชายแผ่วเบาเพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บ“น่าจะโดนกัดได้ 2-3 วันแล้วล่ะค่ะ แผลเริ่มยุบลงบ้างแล้ว แต่ลูกผิวขาวก็เลยเห็นได้ชัด สะใภ้สี่ก็น่าจะหายามาทาให้เขาบ้างมันถึงได้แห้งเร็วขนาดนี้” หลี่เล่อเยียนสังเกตอาการลูกชาย ตอนนี้แผลที่โดนกัดของเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นปกติดีแล้ว เพียงแค่นึกถึงภาพที่ลูกชายโดนมดรุมกัดเธอก็น้ำตาคลอขึ้นมาให้ได้เห็น ก๊อก ก๊อก ก๊อก“ลูกรอง ขอแม่เข้าไปได้หรือไม่” หยางหมิงเฉิงม
“ตารองใจเย็นๆก่อน ไม่มีใครทำอาหลงทั้งนั้นแหละ แค่มดกัดเท่านั้น อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” แม่เฒ่าหยางมาจับแขนลูกชายให้เขาใจเย็นลงก่อน เพราะตอนนี้สะใภ้สามหน้าซีดกับคำขู่ของพี่ชายสามี"ไปตามสามีของเธอมา เดี๋ยวจะหาว่าฉันรังแกเธอตอนที่เขาไม่อยู่ เลี่ยงจินอารองรับปากด้วยเกียรติของอารองเอง ว่าจะไม่มีใครกล้าแตะต้องหนูแม้แต่ปลายเล็บ หากว่าหนูยืนยันคำพูด ว่าที่หนูพูดทั้งหมดคือเรื่องจริง เรื่องนี้อารองจะเป็นคนตัดสินเองว่าใครพูดจริงใครพูดโกหกถ้าไม่มีใครยอมรับผิด อารองจับได้ทีหลังจะจับคนนั้นไปตัดมือ ตัดลิ้น ให้มันไม่กล้ามาทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นอีก" สองแม่ลูกที่ได้ยินคำขู่ของหยางหมิงเฉิงก็กลัวจนตัวสั่น“เลี่ยงจินพูดความจริงทุกอย่างค่ะอารอง” หยางเลี่ยงจินเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองได้รับความปลอดภัยและมีคนปกป้อง จึงกล้าพูดความจริงทั้งหมด“หมายความว่าอย่างไรหรือ ที่หลานบอกว่าพูดความจริง” แม่เฒ่าหยางไม่ได้คิดว่าจะมีใครมากลั่นแกล้งหลานชายของเธอ เพราะทุกคนล้วนแต่เอ็นดูถั่วเขียวน้อยกันทั้
5 มกราคม 1958หลี่เล่อเยียนและสามีเดินทางมาถึงไห่หนาน เล่อเยียนให้สามีพาไปยังตลาดมืดเพื่อทำการระบายของ เพราะเธอไม่ค่อยอยากจะเดินทางเข้ามาในเมืองบ่อยนักเนื่องจากไม่อยากห่างลูกบ่อย ๆ ช่วงบ่ายของวันสองสามีภรรยาช่วยกันระบายของที่ตลาดมืด ผู้คนต่างทึ่งในความสดของกุ้งและปูที่ได้เห็น บางคนไม่เคยเห็นหน้าตามันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงมันมาบ้างว่ามีรสชาติที่อร่อยจึงอยากจะเอาไปลอง เธอใช้เวลาจนถึงประมาณ 15.00 น.ในการระบายสินค้า โดยขายกุ้งลายเสือไปทั้งหมด 100 ชั่ง ขายในราคาชั่งละ 5 หยวนเป็นเงินทั้งหมด 500 หยวนกุ้งแชบ๊วย 100 ชั่ง ขายไปในราคาชั่งละ4 หยวนเนื่องจากมีขนาดเล็กกว่ากุ้งลายเสือ ได้เงินมา 400 หยวนปูทะเล 100 ชั่ง ขายไปในราคาชั่งละ 5 หยวน เป็นเงินทั้งหมด 500 หยวนหลังจากที่เหยียบแผ่นดินของไห่หนาน สองสามีภรรยาทำเงินได้ไปทั้งหมดในวันนี้ 1400 หยวน รวมกับที่แวะขายในเมืองก่อนหน้านั้นได้เงินมาทั้งหมด 6500 หยวน เดิมทีเงินในมิติก่อนที่จะมาไห่หนานมีทั้งหมด 15500 หยวน แต่หลังจากที่มาที่ไห่หนานแล้วนั