" ต้องจองด้วยหรือคะ นึกว่ามีเงินก็ซื้อได้เลย" หลี่เล่อเยียนถามออกไปด้วยความใสซื่อ
" นี่แม่หนู....จะบอกอะไรให้นะ ใช่ว่ามีเงินแล้วเธอจะซื้อได้ทุกอย่าง
เธอต้องมีคูปอง แล้วเธอจะต้องสั่งจอง เพราะเนื้อนั้นมีปริมาณจำกัดในการขายของแต่ละวันน่ะ" แม่ค้าพูดพร้อมกับส่ายหัวในความใสซื่อของแม่สาวสวยคนนี้ อย่างว่าละนะ คนชนบทไม่ค่อยได้เข้าเมืองบ่อย ๆ จึงไม่รู้กฎข้อนี้เท่าไหร่
" ตายจริง ทำอย่างไรดีล่ะคะคุณป้า พอดีพี่สาวของฉันกำลังจะคลอดลูก ฉันก็เลยอยากจะซื้อขาหมูเอาไว้สำหรับไปบำรุงเธอสักขาน่ะค่ะ " หลี่เล่อเยียนตีสีหน้าเศร้าได้สมบทบาทโดยแท้ ถ้าจำไม่ผิดหล่อนไม่มีพี่สาวที่นี่ไม่ใช่หรือ
หม่ายวี่ไท่ขมวดคิ้วเป็นปมสงสัยในคำพูดของหลี่เล่อเยียน หล่อนไปมีพี่สาวที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เคยเห็น แล้วก็ไหนจะท้องแก่คลอดด้วย นางจิ้งจอกหน้าขาวคนนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
ส่วนฝั่งของเหอหมี่เมี่ยนนั้นเล่นไปตามน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก เพราะเธอพอจะเข้าใจความหมายของเล่อเยียนบ้างแล้วว่าหล่อนต้องการอะไร
" เป็นอย่างนี้นี่เอง เอาล่ะเห็นแก่คนท้องใกล้คลอด และนางหนูกตัญญูต่อพี่สาวของเธอ ฉันบอกสถานที่พิเศษที่หนึ่งให้
สถานที่นี้ มีของที่เธอต้องการจริง แต่เธอต้องแลกมันมาด้วยราคาที่สูงถึงเท่าตัวเลยล่ะ เอาหูมาใกล้ๆ สิฉันจะบอกทางให้ "
เป็นไปตามแผนที่หลี่เล่อเยียนคิดเอาไว้ คนยุคนี้ยึดถือคำว่ากตัญญูเป็นหลัก สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับคำว่ากตัญญูมักจะชนะเสมอ อีกอย่างคือไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมอะไร คบหากันด้วยความจริงใจ
หากเป็นยุคที่เธอจากมาคงต้องคัดกรองคนสักสิบชั้นเห็นจะได้ ด้วยเล่ห์กลนั้นมีมากมายนัก จะต้องตามให้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ตกเป็นเหยื่อของกลโกงต่าง ๆ แน่นอน
" ขอบคุณคุณป้ามากค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ "
หลังจากที่เดินมาได้เล็กน้อย หลี่เล่อเยียนจึงยื่นซาลาเปาให้กับทั้งสองสาวคนละ 2 ลูก แต่ทั้งสองคนกลับยืนนิ่งไม่รับ ได้แต่พากันจ้องหน้าเธอไม่ขยับไปไหน
" รับไปสิฉันกินคนเดียว 6 ลูกไม่หมดหรอก ถ้ากินหมดนี่มีหวังท้องแตกก่อนแน่ " หลี่เล่อเยียนยัดซาลาเปาใส่มือของทั้งสองคน แล้วเธอก็เดินกินซาลาเปาของตัวเอง อืม.. รสชาติไม่ได้เรื่องเลย นี่มันวิญญาณหมูชัดๆ
จุดหมายของเธอคือตลาดมืด ที่หญิงวัยกลางคนบอกทางพร้อมรหัสผ่านเข้าไป
ในที่สุดเมื่อไปถึงทางเข้า ก็เจอกับคนเฝ้าปากทางตัวโตสามคน หลี่เล่อเยียนไม่พูดอะไรมากไม่ทักทายเพียงแค่พูดรหัสลับออกไปทั้งสามก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย
เหอหมี่เมี่ยนที่กำลังเคี้ยวซาลาเปาอยู่นั้น แทบจะสำลักซาลาเปาที่กินเข้าไปออกมา เมื่อเห็นคนตัวโตร่างยักษ์ทั้งสามที่เฝ้าทางเข้า แต่เล่อเยียนกลับพูดด้วยท่าทางสบายๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าบอกว่าเธอเคยมายังสถานที่แห่งนี้มาก่อน ก็คงจะมีคนเชื่ออย่างแน่นอน
เมื่อเข้ามาข้างในได้แล้วทั้งสามคนก็ตื่นตาตื่นใจกับสถานที่แห่งนี้มาก เพราะมีบางคนที่ใจกล้านำสิ่งของออกมาวางขายอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ เลย
หลี่เล่อเยียนลอบสังเกตคนที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกแม่บ้านมากกว่า ที่มาหาซื้อของไว้รอคนที่บ้าน เพราะบางคนมีเงิน แต่ไม่มีคูปองก็ไร้ค่า
เดินสังเกตอยู่นานเธอจึงเดินตามหญิงที่แต่งตัวทะมัดทะแมงคนหนึ่ง เธอมักจะเดินเข้าไปหาแม่บ้านเหล่านั้นอยู่บ่อย ๆ หลี่เล่อเยียนเลียนแบบพฤติกรรมแล้วถามซื้อสิ่งที่เธอต้องการ จากนั้นก็แทบกระอักเลือด เพราะเนื้อที่เธอต้องการสอบถามราคานั้นสูงลิ่วจริง ๆ เนื้อชั้นแย่อยู่ที่ชั่งละ 9 หยวนอย่าพูดถึงเนื้อชั้นดีเลยราคาสูงถึงชั่งละ 11 หยวนเชียวล่ะ
หลี่เล่อเยียนซื้อเนื้อมาครึ่งชั่ง 4.5 หยวน ไข่ไก่ครึ่งชั่ง 5 เหมา วันนี้เธอเสียเงินไป 6 หยวนแล้วนะ แต่จะทำอย่างไรได้ถ้าเธอไม่ซื้ออะไรติดมือกลับไปบ้าง เธอก็คงจะเอาอาหารในมิติออกมาทำไม่ได้
มันน่าเจ็บใจตรงที่เธอมีเนื้อในมิติเป็นร้อยๆ ชั่งแต่ต้องมาเสียเงินซื้อเนื้อชั้นแย่โดยใช่เหตุนี่สิ
ทางด้านเหอหมี่เมี่ยนกับหม่ายวี่ไท่เดินตามเธออย่างสงบเสงี่ยมแต่ไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะใช้จ่ายอะไรสักอย่าง ไหนบอกว่าเข้าเมืองมาซื้อของ
พอเดินจนทั่วแล้วก็คงจะได้เวลากลับบ้านพักสักทีละนะเพราะตอนนี้ดวงอาทิตย์ตกลงกลางหัวคงเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี คนที่ทำงานในเมืองเริ่มออกมาหาอะไรกินกันบ้างแล้วทำให้ดูคึกคักเป็นพิเศษ
" พวกเธอเจอของที่อยากได้บ้างหรือยัง หาอะไรอยู่หรือเปล่าทำไมฉันไม่เห็นพวกเธอซื้ออะไรกันเลยล่ะ " หลี่ล่อเยียนอดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถามขึ้น
" ไม่มีหรอก...พวกเราเพียงแค่มาเดินดูของเท่านั้นน่ะ เราไม่มีเงินซื้อของพวกนี้หรอก " เป็นหม่ายวี่ไท่ที่เป็นคนตอบเหอหมี่เมี่ยนที่นั่งข้างๆ ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้
ตอนนี้ทั้งสองคน โดนหลี่เล่อเยียนลากมานั่งในร้านบะหมี่ร้านหนึ่ง เธอบอกกับทั้งสองคนว่าอยากกินอะไรสั่งได้เลย วันนี้เธอเลี้ยงก่อน หากมาคราวหน้าค่อยให้พวกหล่อนทั้งสองคนเลี้ยงคืน
ถ้าหากไม่ใช้วิธีนี้ มีหรือที่สองคนนั้นจะกล้าสั่งของมากิน คงได้แต่นั่งกลืนน้ำลายมองเธอและคนอื่นในร้านกินเป็นแน่ บางคนก็ไม่ได้มีเงินติดตัวมายังค่ายแห่งนี้ ไม่แปลกอะไรเพราะใช่ว่าทุกคนจะมีเงินเสมอไปมีข้าวกับแป้งติดตัวมานับว่าดีมากแล้ว
หลี่เล่อเยียนยังอดสงสัยไม่ได้ว่าร่างเดิมเอาเงินมาจากไหนมากมายเพียงนี้ บางครอบครัวใช้เงินเพียงแค่ 10 หยวนในการใช้จ่ายทั้งปี เพราะของกินไม่ต้องใช้เงินซื้อ ที่ต้องใช้เงินคือจำพวกผ้า เอาไว้สำหรับตัดชุดเท่านั้น ซึ่งเสื้อผ้าบางคนดีหน่อย ได้ซื้อใส่ปีละชุด บางคนชุดเดียวใส่ทั้งปีก็มีถมเถไป
ยังคงเป็นหลี่เล่อเยียนที่สั่งบะหมี่มาให้พวกเธอคนละชาม บะหมี่ที่นี่ราคา 3 เหมา เหอหมี่เมี่ยน บอกว่าจริงๆ แล้ว เธอกินกับหม่ายวี่ไท่ได้ให้สั่งมาแค่ 2 ชาม เธอยังอิ่มซาลาเปาสองลูกนั้นอยู่เลย
แต่ไหนเลยหลี่เล่อเยียนจะฟัง บะหมี่แค่ชามเดียวกินสองคนจะไปอิ่มอะไร หนทางเดินกลับที่พักยังอีกยาวไกล เงินแค่นี้เธอไม่เสียดายหรอก เพราะยังไงเธอก็มองหาช่องทางรวยเอาไว้แล้ว เธอมีของหายากในมิติอีกตั้งมากมาย รอวันหยุดรอบหน้าก่อนเถอะ สงสัยจะต้องมาคนเดียวเพื่อระบายของหน่อยแล้วล่ะ
หลี่เล่อเยียนมั่นใจว่าพวกเครื่องปรุงที่เธอมีนั้น จะต้องสร้างมูลค่าให้เธอได้อย่างแน่นอน ไหนจะน้ำมันคุณภาพต่ำ ราคาแสนแพงนั่นอีก มันกันเทียบไม่ได้เลยกับน้ำมันถั่วลิสงคุณภาพเยี่ยมที่เธอมี เพียงแค่คิดเงินก็ลอยมาในหัวของเธอแล้ว หลี่เล่อเยียนนั่งเหม่อแอบยิ้มคนเดียว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในอีกมุมของร้านมีใครคนหนึ่งกำลังมองเธออยู่
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก