"หลี่เล่อเยียน...นี่...หลี่เล่อเยียน หล่อนจะนอนตื่นสายแบบนี้ไม่ได้นะ ..." เสียงแหลมแสบแก้วหูตะโกนเรียกหญิงสาวผมดำยาว ขัดกับผิวสีขาวราวหิมะ ร่างผอมบางที่นอนไม่ได้สติ เนื่องจากเธอไม่เคยทำงานหนักจนส่งผลให้เธอล้มป่วยจับไข้ไม่ได้สติทั้งคืน ใครเลยจะคิดว่าการที่เธอถูกเกณฑ์ให้มาใช้แรงงานของค่ายปัญญาชน จนทำให้เธอเสียชีวิต เพราะไม่เคยทำงานหนักมาก่อน
" อือ... นะ น้ำ คอแห้งจัง " หลี่เล่อเยียนที่เหน็ดเหนื่อยจากการตระเวนซื้อของเข้ามิติถูกรบกวนการนอน โดยเสียงของหญิงสาวแหลมปี๊ดก็เกิดอาการมึนงงเล็กน้อย หรือเมื่อคืนเธอเปิดทีวีทิ้งไว้ทั้งคืนกันนะ
" หล่อน...... ได้เวลาทำอาหารเช้าแล้ว หล่อนจะกินแรงคนอื่นไม่ได้นะ ฮึ่ย ตัวซวยจริง ๆ เลย" ฟ่านเหมยเหมย หญิงสาวอายุราว ๆ 18 ปีเอ่ยเสียงเขียว เนื่องจากเธอก็ถูกส่งมายังพื้นที่ห่างไกลบ้านเพื่อมาเป็นปัญญาชนชั้นแรงงาน ทำงานแลกแต้มค่าแรงเหมือนกันกับหลี่เล่อเยียน ผ่านมาได้ 10 วันแล้ว เธอรู้ซึ้งถึงสันดานของหลี่เล่อเยียนดี ทำตัวสูงส่ง งานหนักไม่เข้าใกล้ กินข้าวก็ต้องค่อยๆ เคี้ยว เห็นแล้วขัดหูขัดตานัก เป็นลูกหลานตระกูลสูงส่งมาจากไหนกันเชียว อีกทั้งสายตาดูแคลนที่มองมายังเพื่อนปัญญาชนด้วยกันอีก เรียกได้ว่าไม่มีใครถูกชะตากับหลี่เล่อเยียนเลยสักคน
เนื่องจากว่าหลี่เล่อเยียนนั้นเรียนจบถึงชั้นมัธยมปลาย ตอนมาถึงจึงถูกเสนอชื่อให้ไปเป็นครูสอนหนังสือ แต่ด้วยความที่หน้าตาผิวพรรณของเธอนั้น มันช่างโดนเด่นเกินใครในหมู่ปัญญาชน รวมไปถึงเธอไม่มีมนุษยสัมพันธ์กับใครเลย จึงไม่มีใครสนับสนุนเธอสักคน ตำแหน่งครูจึงตกไปเป็นของ หมิงเสี่ยวฮวา สาวงามอีกผู้หนึ่ง กิริยาอ่อนหวาน นอบน้อมถ่อมตน เป็นที่รักของเพื่อนปัญญาชนที่เดินทางมาร่วมกันเป็นเวลา 4 วันเต็มๆ เธอได้หัวใจของเพื่อนปัญญาชนเกินครึ่ง จึงไม่ต้องทำงานหนักเพียงแค่ออกไปสอนหนังสือแถมยังได้ค่าแรงเดือนละ 10 หยวนอีกด้วย
" อือ.. เธอเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันได้อย่างไร " หลี่เล่อเยียนที่พอได้สติมาบ้าง หลังจากมึนงงกับอาการไข้ นี่เธอซื้อของแค่นี้ถึงกับไข้จับเชียวหรือ หลี่เล่อเยียนได้แต่สงสัยกับตัวเองว่าเธอกลายเป็นคนอ่อนแอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกทั้งผู้หญิงฟันดำคนนี้อีกที่มาตะโดนเรียกจนแก้วหูแทบแตก
" เหอะ หลี่เล่อเยียน เธอนี่มัน.... หึ ..ฉันก็คือปัญญาชน ฟ่านเหมยเหมย เพื่อนร่วมบ้านพักเดียวกันกับหล่อนอย่างไรเล่า " ฟ่านเหมยเหมย คาดไม่ถึงว่าอาศัยอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลาสิบวัน ไม่ช่วยให้สมองของหล่อนจำชื่อเธอได้เลยหรืออย่างไรกันนะ เจอหน้าทีไรหล่อนเป็นต้องถามทุกทีว่าเธอเป็นใคร น่าเจ็บใจยิ่งนักนางจิ้งจอก
" แล้วเธอมาห้องฉันทำไม เข้ามาได้อย่างไร " หลี่เล่อเยียน ที่มึนงงกับพิษไข้ ก็ยิ่งมึนหนักเข้าไปอีก แต่พอมองสำรวจสภาพแวดล้อมที่เธออยู่แล้วนั้น ก็คงพอจะเดาได้ว่าเธอคงมายังอีกโลกหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วแน่นอน ดูจากการแต่งตัวรวมไปถึงเตียงที่เธอนอน เฮ้อ...
"ฉันก็มาปลุกเธอไปทำอาหารหนะสิ อย่าคิดว่าได้จะกินแรงคนอื่นนะ ทุกคนทำงานเหนื่อยเหมือนกัน วันนี้เป็นวันที่เธอที่จะต้องทำอาหาร รีบๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว " ฟ่านเหมยเหมย กอดอกมองหลี่เล่อเยียนด้วยความอิจฉา พร้อมกับคิดในใจว่า ขนาดเพิ่งตื่นนอนหล่อนยังสวยเลย ฮึ่ย..ขัดใจนักเชียว ปีศาจจิ้งจอกชัดๆ
" วันนี้คงไม่ได้ ฉันไม่ค่อยสบาย แต่ฉันมีซาลาเปาอยู่พวกเธอเอาไปกินแทนอาหารเช้านี้แล้วกัน ฝากบอกหัวหน้าด้วยว่าฉันขอลาพัก " หลี่เล่อเยียนลุกขึ้นพร้อมกับมองซ้ายขวาทำทีเป็นเปิดตู้เสื้อผ้าพร้อมกับรีบหยิบซาลาเปาจำนวน 6 ลูกออกมาจากมิติ
" ซาลาเปาแค่ 6 ลูกนี่หนะหรือ มันจะไปพอกินอะไร " ฟ่ายเหมยเหมยเอ่ยออกมาเสียงเหยียดๆ แต่ดวงตากลับเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น นี่มันซาลาเปาอะไรกันทำไมถึงลูกใหญ่ สีขาวน่ากินอะไรเช่นนี้
" ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องกิน ฉันมั่นใจว่าซาลาเปาของฉันเป็นอาหารที่ดีที่สุดแล้วตั้งแต่ที่มาถึงที่นี่ " หลี่เล่อเยียนไม่พูดพร่ำอะไรมาก รีบชักซาลาเปากลับ แต่เนื้อเข้าปากเสือไปแล้วมีหรือที่มันจะคายออกมา
" อา อา... ได้ยังไงกัน นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราต้องรีบไปทำงาน ไม่มีเวลามาขี้เกียจสำออยแบบหล่อนหรอก ไปกันเถอะพวกเราดีกว่าไม่มีอะไรลงท้อง
อ้อ...ฉันหวังว่าเย็นนี้จะมีอาหารเตรียมไว้ให้พวกฉันกินนะ" หลังจากคว้าซาลาเปาได้แล้ว ฟ่านเหมยเหมยก็รีบสาวเท้าออกจากห้องทันที ไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ยไล่ให้เสียเวลา
ช่วยไม่ได้เมื่อถูกส่งมาก็ใช่ว่าจะได้กินอยู่อย่างสบาย ทุกคนยังคงต้องทำงานแลกแต้มค่าแรง เพื่อรับส่วนแบ่งปันผลหลังการเก็บเกี่ยว ก่อนผลผลิตทั้งหมดจะถูกส่งไปยังทางการ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ใช่ว่าจะมีคนที่ยินดีมา แต่ไม่มีใครสามารถขัดคำสั่งได้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปัญญาชนที่เป็นผู้หญิงมากกว่า ผู้ชายส่วนใหญ่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร
" ฉันจะบอกหัวหน้าให้ เธอพักผ่อนเถอะจ้ะ " เหอหมี่เมี่ยน หญิงสาวร่างผอมบางหน้าตาถือว่าสวยใช้ได้เลยทีเดียวแต่ไม่มีอะไรโดดเด่นรีบเอ่ยบอกหลี่เล่อเยียนก่อนที่เธอจะเดินตามหลังพวกของฟ่านเหมยเหมยไป
ทางด้านของหลี่เล่อเยียนนั้นไม่รับรู้อะไรภายนอกอีกแล้ว เนื่องจากตอนนี้สมองของเธอกำลังจดจำเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นมาในหัวของเธอ
ซึ่งเจ้าของร่างเดิมนี้มีชื่อว่า หลี่เล่อเยียน เหมือนกับเธอเลย แต่ต่างกันตรงที่ร่างนี้อายุเพียง 17 ปีเท่านั้น อีกอย่างคือ เธอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เธอมีพี่น้อง 3 คนรวมเธอด้วย มีพี่ชายพี่กำลังจะจบระดับมหาวิทยาลัย มีน้องชายที่กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปลาย เธอจึงต้องเสียสละตัวเอง เพราะทางการจัดให้ปัญญาชนแต่ละครอบครัวต้องมีตัวแทนไปใช้แรงงานแลกแต้มค่าแรงยังดินแดนห่างไกล เพื่ออนาคตของครอบครัว เธอจึงเป็นผู้ถูกเลือก ด้วยเหตุผลว่าเธอเป็นหญิง อีกหน่อยก็แต่งงานออกเรือน เหมือนน้ำเน่าที่สาดออกจากบ้าน พี่ใหญ่เธอจะต้องมีอนาคตที่ดี ส่วนน้องเล็กจะต้องก้าวตามพี่ใหญ่แน่นอน
เอาล่ะในเมื่อไม่มีใครต้องการ ฉันก็จะทำให้ร่างนี้มีชีวิตที่ดี และใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด แต่ก่อนอื่นจะต้องสำรวจของใช้ส่วนตัวของร่างนี้ก่อนว่ามีอะไรติดตัวมาบ้าง
เมื่อพอรู้ที่มาที่ไป ก็ได้เวลาสำรวจ มีเสื้อผ้าอยู่ทั้งหมด 3 ชุด แป้ง 2 ชั่ง ข้าว 2 ชั่ง เกลือ น้ำตาลอย่างละก้นกระปุก ไข่ไก่ 1 ชั่ง เงินอีก 40 หยวน อืม...ยังถือว่าไม่ลำบากอะไรมากนัก ทางครอบครัวคงไม่คิดจะทอดทิ้งเธอจริง ๆ หรอก เพราะหากจะทิ้งจริง ๆ เธอคงไม่มีเงินติดตัวมากเพียงนี้
ถ้าจำไม่ผิดนี่คงจะอยู่ในช่วงปี 1956 -57 สินะ ในยุคที่ปัญญาชนจะต้องมาใช้แรงงานในค่ายชนบท อยู่ในยุคมืดดำของยุคเลยก็ว่าได้ แล้วเธอจะรอดใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นไรเล่า
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก