ทางด้านเหมยเหมยถึงแม้จะไม่เต็มใจนักที่จะให้เล่อเยียนกับอี้หยางพบกัน แต่เพื่อเธอจะได้ใกล้ชิดกับเขา เธอจึงจำต้องมาตามหลี่เล่อเยียน
" หลี่เล่อเยียน มีคนมาหาหล่อน เขารออยู่หน้าบ้าน " เหมยเหมยไม่เต็มใจนักที่จะบอก
" ใคร " เล่อเยียนที่กำลังจะเข้านอนก็ต้องขมวดคิ้วเพราะเวลาค่ำมืดขนาดนี้เธอเดาไม่ถูกจริง ๆ ว่าเป็นใคร
" ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรกัน หล่อนไปนัดผู้ชายที่ไหนไว้ล่ะ เห็นหน้าตาใสซื่อไม่คิดว่าจะแอบนัดผู้ชายมาหาถึงบ้าน ชิ... " เหมยเหมยพูดจาประชดประชัน ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงไม่มาหาเธอกันนะ คิดแล้วเจ็บใจ ใจคอสวรรค์จะมอบผู้ชายหน้าตาดีให้นางจิ้งจอกหน้าขาวนี่หมดเลยหรืออย่างไรกัน
" ฉันไปแอบนัดตอนไหน ฉันก็ถามเธออยู่นี่ไงว่าเขาเป็นใคร ถ้าเช่นนั้นฉันไปนอนแล้วนะ ทำงานทั้งวันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว " ยัยหมูกินจุนี่ยังไงกันเชียว ไม่รู้จักเขาซ้ำยังมาตามเธอไปพบ ไปให้โง่หรือ หากโดนทำมิดีมิร้ายขึ้นมาจะทำอย่างไร หรืออาจจะเป็นเขาคนนั้น แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เจออีกเลยนี่นา
" นี่ ดะเดี๋ยว พี่อี้หยาง เขาบอกว่ามาหาเธอ " ฟ่านเหมยเหมยรีบบอก เกือบจะเป็นตะโกนด้วยซ้ำ ได้อย่างไรกันเธอเพิ่งจะเห็นหน้าเขาเองนะ
" ไหนบอกไม่รู้จักชื่อเรียกซะสนิทสนมเชียว " หลี่เล่อเยียนกรอกตาไปมาใส่ฟ่านเหมยเหมย เมื่อสำรวจความเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไปหน้าบ้าน แต่ยังไม่พ้นประตูบ้านก็ต้องหันไปถามคนข้างหลังที่เดินตามมา
" แล้วเธอจะตามฉันมาทำไม หมดเรื่องแล้วก็เข้านอนเถอะ เดี๋ยวฉันจะล็อกกลอนเอง " มีหรือที่เหมยเหมยจะฟัง
" ได้อย่างไรกันละจ๊ะ หล่อนเป็นผู้หญิงจะอยู่สองต่อสองกับผู้ชายได้เช่นไร ฉันก็ต้องไปพบพี่อี้หยาง ไม่สิ..ฉันหมายถึงไปเป็นเพื่อนเธอน่ะ " จบบทสนทนา หลี่เล่อเยียนเข้าใจได้ในทันทีว่าหล่อนต้องการอะไร จะมาก็มาเถอะเธอไม่มีความลับอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างคนในยุคนี้ค่อนข้างที่จะระมัดระวังตัวพอสมควร ชื่อเสียงของเล่อเยียนจะแย่กว่านี้ไม่ได้
" ตามใจ " ฟ่านเหมยเหมยยิ้มกว้าง ซ้ำยังรีบวิ่งตามให้ทันเล่อเยียนอีกต่างหาก
" พี่อี้หยาง เหมยเหมยไปตามเล่อเยียนมาให้แล้วค่ะ " เหมยเหมยพยายามทำเสียงเล็ก ๆ ให้ดูน่าทะนุถนอมมากที่สุดแต่คนฟังนั้นฟังยังไงก็ดูแสร้งทำ
" เล่อเยียน พี่ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนตอนดึก พอดี.." ระหว่างที่พูด อี้หยางใช้สายตาถามเหมยเหมยว่า ทำไมหล่อนยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่ฟ่านเหมยเหมยผู้ไม่รู้จักอายฟ้าดิน มีหรือที่จะสนใจ เธอแกล้งทำเป็นมองดูดาว ชมจันทร์ไม่สบตาอี้หยางเลยสักนิด
" ช่างหล่อนเถอะค่ะ " เป็นเล่อเยียนที่เข้าใจความหมายของชายหนุ่ม
" อืม ขนมที่เธอทำให้พี่ไป เพื่อนพี่ชอบมากเลยนะ มีคนอยากจะให้เธอทำขาย แต่พี่ยังไม่ได้รับปากนะแล้วก็ยังไม่ได้บอกราคาด้วย พี่บอกพวกเขาไปแล้วว่ารอถามเธอก่อน " อี้หยางรีบบอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าบอกจำนวนที่สั่งซื้อ เขารอดูปฏิกิริยาของเธอก่อน
" จริงหรือคะ " เมื่อได้ยินอี้หยางพูดเรื่องนี้ เล่อเยียนจากที่ยืนเว้นระยะห่างก็จำเป็นต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อลดระดับเสียง เรื่องนี้เธอต้องการให้คนรู้น้อยที่สุด โดยเฉพาะฟ่านเหมยเหมยปากไม่มีหูรูดคนนี้
" พี่คะถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันยังไม่สะดวกคุยตอนนี้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ฉันจะไปหาพี่ที่บ้านแล้วกันนะคะ " เล่อเยียนพูดเสียงกระซิบราวกับว่าอยากให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น ฟ่านเหมยเหมยที่ทำทีเป็นชมจันทร์ ถึงกับต้องเงี่ยหูฟังว่าทั้งสองคุยอะไรกัน หรือนัดแนะเจอกันลับหลังเธอหรือไม่
' ไม่ได้การแล้ว นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะมาหว่านเสน่ห์ใส่พี่อี้หยางของฉันไม่ได้นะ ต่อไปต้องคอยประกบหล่อนไว้ไม่ให้คาดสายตา' เพราะไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นคุยอะไรกัน อาจจะนัดเจอกันตอนเธอเผลอ ฟ่านเหมยเหมยบอกตัวเองให้เฝ้าระวังขั้นสูงสุด
" อืม.... ได้" ส่วนอี้หยางนั้นเมื่อเล่อเยียนเข้ามาใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธอ คิดว่าเธอน่าจะอาบน้ำสระผมเพิ่งเสร็จ เพราะผมเธอยังชื้นๆ อยู่น่าหลงใหลยิ่งนัก
เขารู้ดีว่าไม่เหมาะสม แต่ก็อดใจที่จะสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยมาตามลมไม่ได้ ยามที่เธอเข้ามาใกล้ใจเขานั้นเต้นแรงจนประหม่า เวลาพูดยังจับได้ว่าน้ำเสียงนั้นดูสั่นๆ นี่เขาเสียอาการมากขนาดนั้นเชียวรึ
" พี่กลับมาเหนื่อยๆ เข้าบ้านไปพักเถอะค่ะ " หลี่เล่อเยียนส่งยิ้มน้อย ๆ ไปให้ เธอดีใจจนปิดไม่มิด เพราะในที่สุดขนมตัวอย่างของเธอก็มีคนเริ่มสนใจบ้างขึ้นมาแล้ว
อีกคนที่เห็นรอยยิ้มนั้นก็เดินกลับบ้านอย่างใจลอย จากที่เดินทางมาเหนื่อยๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด อีกทั้งยังรู้สึกว่าตัวเขานั้นเบาราวกับจะลอยได้
" เธอคุยอะไรกับพี่อี้หยาง แล้วเขามาหาเธอทำไมกัน " ฟ่านเหมยเหมยเห็นอาการดีใจของเล่อเยียนก็ขัดหูขัดตา เลยอดใจไม่ไหวต้องถามออกไป
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก