กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวล
หยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่
เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้
ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด มีความวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ไหนจะมีการประท้วงกันอีก หาความสงบสุขไม่ได้เลย สู้บ้านเกิดเขาไม่ได้เลยสักนิด
เมื่อถึงเมืองหลวงแล้วนั้น หยางหมิงเฉิงตัดสินใจหาที่พักก่อน พักผ่อนให้อารมณ์คงที่ ค่อยไปเผชิญหน้ากับความจริง ตัวเขานั้นมั่นใจว่าตัวเองดูแลหญิงสาวได้อย่างแน่นอน และเขาก็มีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ
หยางหมิงเฉิงนั้นพบหญิงสาวครั้งแรก เพราะติดตามเพื่อนเขา นั่นก็คือ หลี่ฮ่าวตู พี่ชายของหลี่เล่อเยียน มากินข้าวที่บ้านบ่อย ๆ เพราะครอบครัวของตระกูลหลี่เป็นคนปักกิ่ง ส่วนเขานั้นอยู่อีกมณฑล แต่มีโอกาสได้มาศึกษาเล่าเรียน และพักอาศัยอยู่กับน้าชาย ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง ทุกคนอดอยาก จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกมองว่าเป็นภาระ แม้ว่าน้าชายจะเต็มใจเลี้ยงดู แต่ไม่ใช่สำหรับน้าสะใภ้
เขาตัดสินใจสมัครเข้ากองทัพ ตอนจบมัธยมปลายตอนอายุ 17 ปี แต่ยังคงติดต่อกับพี่ชายของเล่อเยียนบ้าง และรับรู้ความเป็นอยู่ของครอบครัวเล่อเยียนมาตลอด
ตัวเขานั้นครั้งแรกที่พบกับหลี่เล่อเยียน เธออายุประมาณ 11 -12 ปี จำได้ว่าเธอนั้นค่อนข้างจะหยิ่งพอสมควร พูดน้อย เก็บตัว ต่างจากพี่สาวที่เป็นลูกของแม่เลี้ยง หรูฟางเซียนนั้นชอบเขามาก ชอบมาให้เขานั้นสอนการบ้านบ่อยครั้ง เธออายุห่างจากเขา 3 ปี แต่วันเวลาผ่านไป การฝึกฝนทำให้ตัวเขาเองกลายเป็นคนเย็นชา น้อยครั้งมากที่จะยิ้มหรือพูดคุย ยามที่มาเยี่ยมหลี่ฮ่าวตู ความสัมพันธ์อีกทั้งความสนิทสนมก็จางหายไปด้วย เขาพยายามรักษาระยะห่างเพราะยังไงที่บ้านนั้นก็มีหญิงสาว
" มาหาใครครับ " เด็กชายอายุราว ๆ14-15 ปี เปิดประตูรั้วบ้านออกมา พบกับชายแต่งชุดทหารเต็มยศก็ตกใจไม่น้อย ไม่ใช่เขาจะมาตามตัวผู้ประท้วงที่จัตุรัสหรืออย่างไรกันนะ
" เธอคงจะเป็นหลี่หานสินะ ฉันมาหาฮ่าวตูน่ะ" หยางหมิงเฉิงทักทายน้องชายคนเล็กของเล่อเยียน ไม่แปลกที่เขาจะจำหมิงเฉิงไม่ได้ เพราะตอนนี้ผิวเขานั้นไหม้เกรียม จากการตากแดด ทำภารกิจแต่ละครั้งต้องคลุกดินโคลน เป็นเรื่องธรรมดา เดิมทีเขานั้นเป็นคนผิวขาวคนหนึ่งเลยล่ะ ในโรงเรียนสมัยมัธยมปลายไม่มีใครไม่รู้จักหยางหมิงเฉิง เพราะเขานั้นเป็นเหมือนหนุ่มหล่อชายในฝันของสาวๆ ในโรงเรียน
" พี่หมิงเฉิงหรือ เป็นพี่จริง ๆ ด้วย ทำไมพี่เพิ่งมาละครับ ฮือๆๆ ทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้ " หลี่หานที่อัดอั้นตันใจด้วยเป็นห่วงพี่สาวของเขา เธอตัวเล็กบอบบางเพียงนั้น จะไปทนอยู่ในค่ายแบบนั้นได้อย่างไรกัน
" เกิดอะไรขึ้น เข้าบ้านก่อนเถอะ" ตาขวาหยางหมิงเฉิงกระตุก ซ้ำยังรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า อาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
" พี่ฮ่าวตูนอนอยู่ในห้องครับ พี่เขาไปที่นั่นมา ตอนนี้ถูกคุณพ่อลงโทษ " หลี่หานพูดเสียงกระซิบแล้วพาหยางหมิงเฉิงเข้าไปยังห้องนอน
" ทุกคนไปไหนกันหมด พี่สาวนายล่ะ" ระหว่างที่เดินไปยังห้องนอนของทั้งสอง หยางหมิงเฉิงใช้สายตาสำรวจสอดส่องภายในบ้านยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก พ่อของฮ่าวตูค่อนข้างมีตำแหน่งสูงเลยทีเดียว เขาทำงานยังสถานที่ราชการ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเลี้ยงลูกให้เรียนสูงได้ถึงเพียงนี้
" เข้ามาก่อนเถอะครับ พี่ใหญ่ครับ... พี่หมิงเฉิงมาหาน่ะครับ" หลี่หานหันซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นสองแม่ลูกนั้นอยู่ในบ้าน ก็รีบปิดประตูลงกลอนห้องนอนทันที
" อาฮ่าวนายเป็นอย่างไรบ้าง " หยางหมิงเฉิงเดินไปดูอาการของเพื่อน เขาน่าจะโดนลูกหลงจากการที่ไปยังสถานที่นั้นมา
" อือ... เสี่ยวหมิงหรือ ใช่นายจริง ๆ ใช่หรือไม่" หลี่ฮ่าวตูคิดว่าตัวเองคงหูแว่วเพราะฤทธิ์ไข้จึงถามเพื่อความแน่ใจ
" ฉันเอง" หยางหมิงเฉิงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เตียง
" เธอถูกส่งไปยังค่ายปัญญาชน ฉันเป็นพี่ชายที่ช่วยเหลือน้องของตัวเองไม่ได้เลย" ฮ่าวตูพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง ใช่ว่าเขาจะดีใจที่น้องสาวไปแทนตัวเอง แต่ขัดคำสั่งของพ่อไม่ได้
" ทำไมล่ะ ทำไมคุณลุงถึง" หยางหมิงเฉิงขมวดคิ้วใช้ความคิด เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น เขาผิดเองที่ไม่อธิบายให้ทุกคนเข้าใจ
" เพราะเรื่องคืนนั้น พ่อรับไม่ได้น่ะ อีกอย่างน้าหรูชิงเธอไม่ยอมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดอีกด้วย เธอบอกว่าน้องเล็กเป็นแม่ดอกบัวขาวจะป่าวประกาศทั่วทั้งปักกิ่ง และจะแจ้งความให้ทหารแดงมาจัดการ " ฮ่าวตูพูดออกไปด้วยอาการเหม่อลอย เดิมทีเขาโกรธเพื่อนเขามาก แต่พอรับรู้เรื่องราว เขาก็ตามไปเอาเรื่องกับตัวต้นเหตุอย่างสาสม
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก