LOGIN“ชิงชิง หากอยากจะได้ผ้าราคาไม่แพง ต้องไปที่ใด” ลี่เหม่ยหันไปถามสาวใช้ที่ยังจ้องมองเงินห้าตำลึงอยู่
“ร้านผ้าเหอฝูเจ้าค่ะ บ่าวไปซื้อผ้าให้ฮูหยินที่นั่นประจำ”
“เช่นนั้นเราไปที่นั่นกัน” ลี่เหม่ยเก็บเงินก้อนนั้นก่อนพยักหน้าให้สาวใช้
“ไปยังไม่ได้เจ้าค่ะ ต้องขอท่านแม่ทัพก่อน”
“เช่นนั้นก็ไปเรือนใหญ่ก่อน แล้วค่อยออกไปร้านเหอฝู”
เรือนใหญ่อยู่ท่ามกลางป่าไผ่ขนาดย่อมฝั่งตะวันตกของจวน บุปผาหลากหลายพันธุ์ขึ้นอยู่กระจัดกระจายคล้ายเป็นอีกโลกหนึ่ง
“เหตุใดเรือนใหญ่ตั้งอยู่ห่างจากเรือนอื่นขนาดนี้” บรรยากาศร่มรื่นจนน่าวังเวงนี้ทำให้ลี่เหม่ยขนลุก
“นี่คือเรือนไผ่หลิวเจ้าค่ะ เรือนใหญ่ท่านแม่ทัพไม่ชอบอยู่ ตั้งแต่บาดเจ็บก็มักเร้นกายในเรือนนี้ เหล่าคนใช้จึงถือเรือนไผ่หลิวเป็นเรือนใหญ่แทน เห็นว่าท่านแม่ทัพรักสงบจึงโปรดปรานที่นี่เป็นพิเศษ”
“อ้อ เช่นนี้เอง” ลี่เหม่ยมองไปยังภายในเรือนที่เงียบเชียบ ถึงถือวิสาสะเข้าไปสำรวจ มือบางเพียงสัมผัสประตูเรือนเสียงด้านหลังก็ดังขึ้น
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ลี่เหม่ยสะดุ้งตกใจจนหันกลับไปมองด้านหลัง แต่นางกลับต้องตาค้างเมื่อบุรุษที่ควรนั่งรถเข็นกลับยืนจ้องนางอยู่ โดยมีเจียหาวยืนคุ้มกันอยู่ด้านหลัง
“นี่! นี่ท่านเดินได้หรือ” ลี่เหม่ยชี้ไปยังขาของบุรุษเจ้าของเรือน
“ข้าบาดเจ็บไม่ได้พิการ”
“ทีนี้ก็ตอบข้ามาว่าเจ้ามายังเรือนข้าทำไม” เหยาหมิงกล่าวพลางค่อย ๆ ก้าวเดินทีละน้อย
“คือ ข้าจะมาขอท่านออกไปนอกจวน เพื่อซื้อของใช้และผ้ามาปักให้เป็นของขวัญท่านพ่อท่านแม่ของท่านด้วย” นางกล่าวเอาใจสามีในนามของตนเอง ทว่านั่นกลับทำให้ชิงชิงเบิกตากว้าง แลไอเย็นราวน้ำแข็งจากบุรุษผิวขาวซีดกลับแผ่มาถึงนางอย่างรวดเร็ว
“เจียหาว!”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” หาวเจียหน้าตาตื่นไม่แพ้ชิงชิงรีบรับคำสั่ง
“นำอนุสกุลหวงไปโบยสิบไม้ โทษฐานผิดกฎเหล็กของจวนเฉิง”
“หะ! อะไรนะ นี่! ท่านจะโบยข้าเรื่องอะไร” ลี่เหม่ยตกในจนมือไม้สั่นรีบวิ่งมาหยุดตรงหน้าเหยาหมิง ทว่ากลับถูกเจียหาวรวบตัวลากออกไป
“นี่! ปล่อยข้านะ บ้านเมืองมีขื่อมีแป หากคิดทำร้ายข้า ข้าจะฟ้องตำรวจแน่ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงร้องโวยวายของลี่เหม่ยค่อย ๆ เลือนหายไปโดยมีชิงชิงวิ่งหน้าซีดตามหลัง
มือทั้งสองข้างของเหยาหมิงยังกำแน่น ความเคียดแค้นในอดีตเมื่อห้าปีก่อนกลับมาอีกครั้ง ความสูญเสียครั้งใหญ่ของเขามาพร้อมความแค้นต่อบิดาผู้ให้กำเนิด
ตุ๊บ! ตุ๊บ!
ก้นของลี่เหม่ยถูกไม้หนาของสองสาวใช้อวบอ้วนโบยจนเนื้อแตก ทว่าเจ้าของร่างกลับเอาแต่กัดมือตัวเองแน่นไม่ยอมร้องออกมา มีเพียงน้ำตาที่หยดลงพื้นเป็นตัวบ่งบอกความเจ็บปวดของนาง
“ครบแล้วเจ้าค่ะท่านเจียหาว” หนึ่งในผู้ลงทัณฑ์รายงาน
“เช่นนั้นเจ้าพานางกลับไปได้” เจียหาวกล่าวกับชิงชิงที่ร้องห่มร้องไห้อยู่นองลานลงโทษ
“คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ็บมากหรือไม่ ฮือฮือ~” สาวใช้ข้างกายรีบพยุงนางขึ้น
“พาข้ากลับเรือนก่อน” เสียงสั่นด้วยความเจ็บดังขึ้น ก่อนจะถูกชิงชิงค่อย ๆ พยุงออกจากลานลงโทษ ร่างบางที่ดวงตาแดงก่ำอดกลั้นเสียงร้องไห้ คำอ้อนวอนแม้แต่คำเดียวกลับไม่ถูกเปล่งออกมา ทำให้เจียหาวอดนับถือนางไม่ได้
เรือนหลังสภาพผุพังแทบกันลมฝนไม่ได้ยังเป็นที่พักของสองนายบ่าว ลี่เหม่ยถูกวางให้นำคว่ำอยู่บนเตียง
“รอบ่าวเดี๋ยว บ่าวจะรีบไปตามหมอ” ชิงชิงปาดน้ำตาเตรียมออกนอกจวนหาหมอยารักษาบาดแผลของเจ้านาย
“เดี๋ยว ไม่ต้องไป” เสียงที่ดังสุดในตอนนี้ของลี่เหม่ยดังขึ้น พร้อมมือสั่นเทาคว้าแขนสาวใช้ไว้
“เหตุใดเล่าเจ้าคะ คุณหนูเจ็บขนาดนี้ต้องให้หมอรักษา”
“เงินเรามีเท่านี้เก็บไว้ยามจำเป็นเถอะ แค่นี้ข้าไม่ตายหรอก” แม้ร่างกายนี้จะบอบบาง แต่จิตใจนางแข็งแกร่งไม่ยอมตายง่าย ๆ แน่”
“โถ่~ คุณหนูแต่ปล่อยเช่นนี้ไม่ดีแน่ จะทนเจ็บทั้งคืนได้อย่างไรกันเจ้าคะ” ชิงชิงกลั้นสะอื้นอีกครั้ง
“เร็ว! เอาผ้าไปห่อหิมะข้างนอกมา ความเย็นลดปวดได้” ลี่เหม่ยเห็นหิมะด้านนอกกำลังตก จึงคิดใช้วิธีเดิมเมื่อครั้งนางเป็นเด็กเร่ร่อน มักถูกเหล่าเด็กจรจัดเช่นกันทำร้ายบ่อย ๆ ต้องใช้หิมะพรหมแผลอยู่เรื่อยแค่ทำให้ร่างกายหนาวจนชาก็ไม่เจ็บแล้ว
เรือนไผ่หลิว เหยาหมิงที่ฝึกเดินตามคำแนะนำของหมอหลวงจนเหนื่อย จึงกลับไปนั่งรถเข็นเช่นเดิม เป็นเวลาเดียวกับที่เจียหาวกลับมารายงาน
“เรียนท่านแม่ทัพ อนุตระกูลหวงรับโทษครบแล้วข้าน้อยเลยให้สาวใช้ของนางพากลับเรือน”
“อืม ให้หมอจ่ายยาเพิ่มให้นางอีกหน่อยค่อยมารับเงินเพิ่มที่ข้า” แม้เขาจะเด็ดขาดก็ใช่จะเป็นคนไร้เมตตา นางเป็นสตรีแผลเป็นเป็นเรื่องสำคัญเขาเองก็ใช่จะไร้น้ำใจ
“อนุสกุลหวงไม่ได้ตามหมอขอรับ”
“อะไรนะ? ไม่ตามหมอ แล้วจะรักษาอย่างไร” เหยาหมิงท่าทางไม่อยากเชื่อ
“เห็นพ่อบ้านบอกสาวใช้ของนางใช้ผ้าห่อหิมะก้อนใหญ่เข้าไปในเรือน เกรงว่าจะใช้ความเย็นทำให้แผลชานะขอรับ”
“บ้าหรือไร ทำเช่นนั้นยิ่งทำให้แผลหายช้าแถมยังเหน็บหนาวอีก จะทำไปเพื่ออะไร ตามหมอมาก็สิ้นเรื่อง” แม่ทัพปราบเหนือเริ่มไม่สบอารมณ์กับความสิ้นคิดของลี่เหม่ย
“ข้าน้อยคิดว่า คงไม่อยากเสียค่าหมอ” เจียหาวเคยลำบากมาก่อนที่ตระกูลเฉิงจะรับเลี้ยง จึงเข้าใจความคิดของอนุของเจ้านายอยู่บ้าง
เหยาหมิงเงียบปากไปทันทีที่ฟังเหตุผลขององครักษ์ข้างกาย
“ข้าจะให้พ่อบ้านมอบเงินเดือนละห้าตำลึงให้กับเจ้า เรื่องของเรือนหลังเจ้าจัดการเอง” คำพูดของเขาผุดขึ้นในหัวทันที
“ดูท่าจะเพราะเงินห้าตำลึงนั่น” เหยาหมิงพึมพำ
“เจียหาวเจ้าไปหาหมอหลิว พาเขามาตรวจให้นางบอกนางว่าเกรงนางจะตาย ทำให้ข้าสูญเงินพันตำลึงทองโดยเปล่าประโยชน์ จึงให้คนมาตรวจ” แม่ทัพหนุ่มคิดคำตอบให้องครักษ์หนุ่มเสร็จสรรพ
เรือนหลังลี่เหม่ยที่ได้รับความเย็นของหิมะจนเนื้อที่ก้นชาไปหมด ความรู้สึกเจ็บจึงทุเลาลงบ้าง
“ชิงชิง เหตุใดคนบ้านนั่นต้องสั่งลงโทษข้า” เสียงที่ยังเจ็บปวดถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“เกรงว่าคุณหนูจะลืมเรื่องสำคัญไปแล้ว ท่านแม่ทัพห้ามผู้ใดพูดถึงมารดาที่ล่วงลับ และบิดาหน้าเนื้อใจเสือปล่อยมารดาของท่านแม่ทัพสิ้นใจในเรือนเก่าผุพัง เพื่อเอาใจฮูหยินรองหวงหลงเหรินท่าอาของคุณหนูนั่นแหละเจ้าค่ะ ซึ่งตอนนั้นท่านแม่ทัพพึ่งเข้ากองทัพ จึงต้องเร่งเรียนรู้จากเหล่าอดีตแม่ทัพ แต่บิดาของท่านกลับแอบแต่งเมียรอง มารดาท่านแม่ทัพโกรธมากจึงประชดโดยการมาอยู่จวนทรุดโทรมหลังเรือน สุดท้ายจึงตรอมใจตายโดยที่นายท่านเว่ยไม่รู้”
“พอท่านแม่ทัพกลับมารู้ทุกเรื่อง จึงพาลโกรธตระกูลหวงค่ะ”
“เช่นนั้นเรื่องบิดามารดา จึงเป็นกฎของจวนเฉิงห้ามพูดถึงหรือ” ลี่เหม่ยพอเข้าใจเรื่องราว
“เจ้าค่ะ” ชิงชิงพยักหน้าตอบ
ฮูหยินเฒ่ามองใบหน้ามีชีวิตชีวาของหลานชาย นางเองก็พอเบาใจได้บ้าง บุตรสาวนางเฉิงอี๋นั่วจากไปเร็วทิ้งบาดแผลในใจให้เหยาหมิงมากมาย นับจากวันนั้นหญิงชราอย่างนางก็ไม่เคยเห็นใบหน้ามีชีวิตชีวาเช่นนี้อีก “เหยาหมิง ยายเหนื่อยแล้วพายายกลับจวนที” เสียงหญิงชราเรียกหลานชายที่กำลังนั่งสนทนากับลุงใหญ่ “ลี่เหม่ยอยู่พูดคุยกับเหล่าป้าใหญ่รอไปก่อนแล้วกัน” นางหันมายิ้มให้หลานสะใภ้ ก่อนปล่อยให้หลานชายพากลับเรือนนอน เรือนฮูหยินเฒ่าอยู่ถัดจากเรือนรับรองไม่ไกล เหยาหมิงพาท่านยายของตนนั่งพักในโถงเรือน ก่อนจะหันกายเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติฮูหยินเฉิง “เหยาเอ๋อร์ ไปจวนบิดามาเป็นอย่างไรบ้าง” “เช่นเดิมขอรับ หลานกับเขาไม่เคยพูดคุยกันได้ตั้งแต่ท่านแม่จากไป ครั้งนี้ก็เช่นเดิม” “อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดา หากไม่อาจอยู่ร่วมชายคาอย่างไรเสียความกตัญญูก็ควรมี หลานรู้ใช่หรือไม่” ฮูหยินเฒ่ากับชับหลานชาย “รู้ขอรับ ท่านย่าไม่ต้องกังวลหลานไม่ทำให้ใครต่อว่าตระกูลเฉิงได้แน่” เหยาหมิงตบมือท่านยายเบา ๆ “เช่นนั้นย
“อนุของข้ากล้าเอ่ยชมบุรุษอื่นต่อหน้าสามีเลยหรือ” เหยาหมิงรั้งเอวบางแนบชิดหน้าท้องแกร่ง ใบหน้ายียวนก้มมองสตรีตรงหน้าที่อ้าปากค้างร่างกายแข็งทื่อ ไม่ต่างจากเข่อซิงที่หยุดชะงักเมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายกำลังเย้าหยอกพี่สะใภ้ “ท่านทำอะไรของท่าน” ลี่เหม่ยที่ได้สติ ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันจ้องมองบุรุษฉวยโอกาสตาเขม็ง มือบางบิดเนื้อท่อนแขนอีกฝ่ายจนแดงช้ำ “โอ๊ย!! เจ็บนะ” เหยาหมิงกัดฟันตอบ ใบหน้ายียวนหายไปในทันที “ก็ทำให้เจ็บนี่ ปล่อยข้านะ” ลี่เหม่ยกระทืบเท้าอีกฝ่ายจนเจ็บแปลบ ยอมปล่อยนางแต่โดยดี เข่อซิงเห็นท่าทางสองสามีภรรยาที่บัดนี้คล้ายทะเลาะมากกว่าเย้าหยอกจึงรีบเข้าช่วยสงบศึก “คารวะท่านพี่ พี่สะใภ้” เสียงนุ่มลึกของชายหนุ่มดึงความสนใจของคนทั้งสองได้ทันที “รบกวนน้องสามีแล้ว ท่านแม่ทัพเพียงอยากแนะนำให้เรารู้จักกันน่ะ” ลี่เหม่ยยิ้มกว้างกล่าวเป็นกันเองกับอีกฝ่าย โดยไม่ต้องให้เหยาหมิงตแนะนำ “หึ! เจ้าเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจริงนะ” เหยาหมิงประชดประชัน “ข้าเข้าง่ายกับคนที่ข้าอยากเ
ลี่เหม่ยจ้องมองใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นของแม่ทัพหนุ่ม นางเผลอยิ้มให้กับความหล่อเหลาของอีกบุรุษตรงหน้าโดยมิรู้ตัว คิ้วหน้าตาคมเข้มผิวขาวราวไข่มุก ริมฝีปากอิ่มยามปิดสนิทที่ไม่เอาแต่กล่าวคำตำหนินางช่างน่ามอง “จ้องนานเช่นนี้ มีใจให้ข้าหรือ?” คำพูดไม่น่าฟังหลุดออกจากปากบุรุษตรงหน้า ทำรอยยิ้มหวานเมื่อครู่ของหญิงสาวหุบหายไปในพริบตา “โรคหลงตัวเองนี้ท่านยังไม่หาหมอมาดูอาการอีกหรือ” ลี่เหม่ยสวนกลับอีกฝ่ายในทันที เหยาหมิงที่ยังคงทาแผลให้กับนางหยุดมือทันทีเมื่ออีกฝ่ายชอบประชดประชันตนไม่หยุด “เสร็จแล้ว แผลเท่านี้ไม่ทำให้เจ้าอัปลักษณ์ไปมากกว่านี้ได้หรอก” บุรุษตรงหน้าปล่อยมือนางก่อนหันกายขึ้นรถม้าไป “เจ้าเด็กนี่หนิ ทำคนอื่นเจ็บยังมีหน้ามาว่าอีก” ลี่เหม่ยมือเสะเอวอย่างเหลืออด ก่อนจะจ้องมองแผ่นหลังชายผู้ขึ้นรถม้าไปพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “หากไม่อยากเดินไปจวนตระกูลเฉิงก็ขึ้นรถม้ามา” เสียงเย็นชาจากบุรุษในรถม้าดังตามหลัง ลี่เหม่ยทำได้เพียงกระทืบเท้าทำตามคำสั่งแม่ทัพหนุ่ม นางไม่มีอำนาจใดต่อรองได้ จำต้อ
รถม้าหยุดลงหน้าจวนตระกูลหวัง ใบหน้าหล่อเหลาของเหยาหมิงเย็นชาจนไม่น่ามอง สีหน้าไร้อารมณ์จนผู้คนคาดเดาความคิดของแม่ทัพปราบเหนือได้ยาก “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” ลี่เหม่ยถามสิ่งที่นางต้องทำเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อสามี “อยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องทำอะไร ข้าจะจัดการเอง” น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้นก่อนก้าวลงจากรถม้า โถงใหญ่ของบ้าน บุรุษวัยห้าสิบหน้าละม้ายคล้ายเหยาหมิงนั่งอยู่เก้าอี้เจ้าบ้าน มีหญิงวัยราวสี่สิบสวมอาภรณ์ผ้าไหมราคาแพงทั้งตัวเครื่องผมแสนวิจิตรประดับจนเต็มหัว ใบหน้างามแต่งแต้มจนเกินพอดีนั่งอยู่ด้านข้าง “คารวะนายท่านหวัง ฮูหยินหวง” เหยาหมิงค่อมกายเคารพผู้อาวุโสทว่าคำเรียกช่างห่างเหิน บ่งบอกถึงความไม่เกี่ยวข้อง ใบหน้าของหวังเทียนเล่ยบิดเบี้ยวด้วยไฟโทสะ ไม่ต่างหวงหลงเหรินที่บัดนี้หายใจถี่แรงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจห้าปีที่แต่งเข้ามาลูกเลี้ยงอย่างเหยาหมิงกลับไม่เคยเคารพนางเลย ลี่เหม่ยมองดูสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเบื้องหน้า แม่ทัพไม่เคารพพ่อแม่ของตนก็ไม่กล้ามีใครตำหนิ แต่หากนางเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างต้องถูกตีเนื้อแตกอีกแน่ “คา
เหยาหมิงก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปยังลานประมูล ใบหน้าคมเข้มยังคงจดจ้องใบหน้าซีดเผือดของนางไม่วางตา “ท่านแม่ทัพเฉิงนี่ ไม่ยักรู้ว่าท่านก็ชื่นชอบหญิงคณิกาด้วย” ใต้เท้าจงอยู่ในราชสำนัก จึงจดจำชายหนุ่มได้ดี “ข้าก็เพียงแค่อยากรู้ว่าจริงพรหมจรรย์ของหอร้อยบุปผาจะงดงาม เย้ายวนอารมณ์บุรุษได้เพียงใด” มือหนาลูบไล้สัมผัสใบหน้านางอย่างถือดี โดยไม่สนสายตาโกรธเกรี้ยวของลี่เหม่ย “หวงลี่เหม่ย นะ หวงลี่เหม่ย คลาดกันแค่ครึ่งชั่วยามเจ้าก็มาขายพรหมจรรย์เสียแล้ว” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูนาง “ใช่ที่ไหน ใครจะรู้เดินมาดี ๆ ดันอยู่กลางลานประมูลเสียแล้ว รีบพาข้าออกไปเร็วเถอะเจ้าค่ะ” นางจ้องมองบุรุษตรงตาด้วยแววอ้อนวอน แต่เขากลับเห็นความลำบากของนางเป็นเรื่องตลกเสียได้ “มามาข้าคิดว่าไม่มีผู้ใดประมูลแข่งข้าแล้ว เช่นนั้นข้าคงพานางไปได้สินะ” หางตาเหยาหมิงมองไปยังมามาหน้าเลือดที่ยืนยิ้มดีใจกับราคาแพงลิบที่เขาจะจ่ายให้ “ช้าก่อน! ท่านแม่ทัพเฉิงพึ่งรับอนุงามหยดย้อยเข้าจวน เช่นนั้นสตรีนางนี้ข้าขอแล้วกัน” บุรุษท่าทางเมามายไม่
“เหตุใดต้องยอมให้พวกนั้นรังแกเล่า เหตุใดไม่สู้” เหยาหมิงเผลอถามคำถามโดยไม่รู้ตัว “ไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ไม่มีความกล้ามั้ง” ลี่เหม่ยเอ่ยพลางสบตาบุรุษเบื้องหน้า “แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ข้าไม่ใช่คนสกุลหวงไม่จำเป็นตรงกลัวพวกเขาอีกต่อไป” นางยักคิ้วให้กับเหยาหมิงก่อนจะมองชมความงามของสินค้าสองข้างทาง “หึ! ร่วงจากขื่อครั้งเดียวทำให้เจ้ามีความกล้าขึ้นเยอะนี่” แม่ทัพปราบเหนือเหยียดยิ้มพลางกล่าวพึมพำก่อนเบนสายตาไม่สนใจสตรีเบื้องหน้าอีก รถม้าจอดหน้าจวนแม่ทัพ ลี่เหม่ยที่ทนแสบร้อนจากน้ำล้างชามไม่ไหวลุกพรวดขึ้นรีบออกจากรถม้า โดยไม่รอให้บุรุษอย่างเขาลงจากรถม้าก่อน จนเหยาหมิงต้องมองค้างกับท่าทางแปลกประหลาด ไม่รู้จักธรรมเนียมของนาง “ตระกูลหวงไม่เคยสอนหรือว่าต้องให้บุรุษลงจากรถม้าก่อน” ชายหนุ่มตำหนินางทันทีที่ลงจากรถม้าได้ “อาจจะเคยสอน แต่ข้าสมองน้อยไม่จำเอง” “หากท่านแม่ทัพไม่ว่าอะไร ข้าขอไปอาบน้ำก่อนแสบไปหมดแล้ว” ลี่เหม่ยไม่กล่าวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกาเนื้อตัวจนอาภรณ์เลิกขึ้นสูงมองเห็นข้อเท้าขาวนวล







