LOGIN“วันนี้ข้าเรียกเจ้ามา เพราะมีกฎที่เจ้าต้องทำตาม” เหยาหมิงระงับอารมณ์บอกกับสตรีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฮูหยินของตน
“ข้าพร้อมฟังแล้วเจ้าค่ะ!” ลี่เหม่ยท่าทางจริงจัง พลางนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้า
“ข้ากับเจ้าไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกัน ข้าจ่ายเงินซื้อเจ้าไปแล้ว เช่นนั้นหากเจ้าไม่เคารพกฎที่ข้าตั้ง ข้าก็จะขายเจ้าให้หอนางโลม” เพียงประโยคแรกก็ทำลี่เหม่ยอ้าปากค้างอยากจะโต้แย้ง แต่บุรุษบนรถเข็นกลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้ส่งเสียง
“ข้อแรกห้ามเจ้าอ้างชื่อข้าหรือตระกูลเฉิงเอื้อผลประโยชน์ให้ตระกูลหวง ข้อสองข้าจะไม่มีวันร่วมหลับนอนกับเจ้าอย่าได้ให้คนมาตอแยข้า ข้อสามข้าวของของข้าเจ้าห้ามแตะต้อง เรือนของข้าหากไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้าออกโดยพลการ สุดท้ายข้าจะให้พ่อบ้านมอบเงินเดือนละห้าตำลึงให้กับเจ้า เรื่องของเรือนหลังเจ้าจัดการเอง” เหยาหมิงร่ายกฎยาวเหยียดแทบไม่หยุดหายใจ
“เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ก็เข้าใจแหละเจ้าค่ะ แต่รายละเอียดเยอะไปหน่อยจำได้ไม่หมด ทวนอีกรอบได้หรือไม่” ลี่เหม่ยท่าทางจริงจังนางเกรงจะจดจำตกหล่น
เหยาหมิงดูท่าทีไม่รู้สึกรู้สาของลี่เหม่ยจนอดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดสตรีบอบบางเช่นนางถูกกล่าวทำร้ายจิตใจเช่นนี้กลับไม่ร้องห่มร้องไห้เล่า
“ข้าไม่พูดซ้ำเจ้าไปทบทวนเอง กลับไปได้แล้ว” เมื่อเสร็จธุระเขาก็ไม่อยากเห็นหน้าคนตระกูลหวงอีก
“แล้วอาหารบนโต๊ะ ท่านไม่ได้จะให้ข้ากินด้วยหรือ” ลี่เหม่ยมองอาหารหลายสิบอย่างบนโต๊ะ พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตั้งแต่ฟื้นจากความตายนางยังไม่ได้กินอะไรเลย
“ความจำเจ้าสั้นขนาดนี้เลยหรือ บอกแล้วเจ้ากับข้าไม่เกี่ยวข้อง”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ แต่กินอาหารแบบคนไม่เกี่ยวข้องไม่ได้หรือ นี่สายแล้วข้าหิวเจ้าค่ะ” ลี่เหม่ยส่งสายตาอ้อนวอน
“เรื่องของเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า” เหยาหมิงไม่ไยดี เขามองไปทางอื่นไม่อยากสบตานางเสียด้วยซ้ำ
“อาหารเยอะขนาดนี้ ท่านกินไม่หมดหรอกให้ข้าช่วยกินดีหรือไม่ เสียดายของ” นางไม่สนสายตาหยามเหยียดของเขา
“หากกินไม่หมดก็ให้หมูหลังจวนกิน ยังดีกว่าจะเลี้ยงคนตระกูลหวง” คำพูดไม่ไยดีนี้ กลับทำให้ลี่เหม่ยถึงกับนิ่งค้าง
ความรู้สึกสิ้นหวังตอนที่นางยังอยู่ในภพปัจจุบัน นางต้องเร่ร่อนนอนข้างทางขอเศษอาหารจากคนอื่นกินประทังชีวิต ก่อนจะได้พบกับนายจ้างแสนดี ความรู้สึกนั้นยังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ คำพูดของเหยาหมิงทำให้นางรู้สึกต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอีกครั้ง
“อือ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแม่ทัพแล้ว” ลี่เหม่ยหมุนตัวออกจากเรือนรับรองโดยไม่ตอแยอีก
‘ข้าคงไม่ได้พูดแรงไปกระมัง’ เหยาหมิงที่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหันของนางรู้สึกไม่สบายใจ
“เด็กเมื่อวานซืนคนนี้ปากร้ายไม่เบา” ลี่เหม่ยบ่นพึมพำหน้าบูดบึ้งนั่งกอดอกอยู่กลางโถงเรือน
“ใครเด็กเมื่อวานซืนเจ้าคะ” ชิงชิงที่เห็นเจ้านายกลับมารีบยกอาหารเช้ามาให้
“ก็แม่ทัพบ้านั่นไง เด็กเมื่อวานซืน” นางยังคงก่นด่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“เด็กที่ไหนกันเจ้าคะ ท่านแม่ทัพอายุยี่สิบห้าแล้ว” ชิงชิงงุนงงกับคำพูดของคุณหนู
“แล้วอย่างไร ข้าอายุสามสิบแล้วแต่เจ้าเด็กนั่นกลับไม่เคารพข้าสักนิด”
“สามสิบที่ไหนกันเจ้าคะ คุณหนูอายุยี่สิบสองปีนะเจ้าคะ” คำพูดของชิงชิงทำให้นางนึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ในร่างหญิงสาวยุคโบราณ
“ช่างเถอะไม่พูดถึงเขาแล้ว กินข้าวดีกว่า” นางก้มลงหยิบถ้วยข้าวแต่อาหารบนโต๊ะกลับมีแค่น้ำแกงถ้วยเดียว
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวไม่มีเงินจึง...” ชิงชิงก้มหน้าด้วยความละอาย
“ช่างเถิด ๆ ไม่โทษเจ้า ชิงชิงข้ามีเรื่องอยากถาม”
“เหตุใดเหยาหมิงถึงบอกว่าจ่ายเงินซื้อข้า”
“คุณหนูอย่าเรียกชื่อท่านแม่ทัพตรง ๆ เช่นนั้นอีกนะเจ้าค่ะ หากมีคนอื่นได้ยินจะหาว่าท่านไม่เคารพสามีจะถูกลงโทษเอา” ชิงชิงมองซ้ายมองขวากำชับกับลี่เหม่ย
“ได้ ข้ารู้แล้ว เจ้ารีบตอบมาเถอะ”
“ก็นายท่านเรียกร้องค่าเลี้ยงดูคุณหนูเป็นเงินพันตำลึงทอง ท่านแม่ทัพคร้านจะโต้เถียงเพราะราชโองการออกมาแล้ว จึงยอมจ่ายไปเจ้าค่ะ”
“หา! พันตำลึงทอง เขาบังคับข้าแต่งงาน เปลี่ยนตัวเจ้าสาวแล้วยังมีหน้าเรียกร้องเงินจากผู้อื่นอีก ช่างเป็นบิดาที่น่าเคารพเสียจริง!”
ลี่เหม่ยเวทนาเจ้าของร่างเดิมที่ถูกขายอย่างกับสินค้า เลือกสิ่งใดไม่ได้สักอย่างเดียว
“แล้วข้าได้สินเดิมมาเท่าไหร่ ในยุคนี้หญิงสาวแต่งงานต้องมีสินเดิมใช่หรือไม่” ลี่เหม่ยถามสาวใช้ข้างกาย
“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ ไม่มีสักอีแปะ” ชิงชิงก้มหน้าตอบน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ไม่มี! ไม่มีได้อย่างไรกัน เช่นไรข้าก็เป็นคุณหนูเก้าตระกูลหวงไม่ใช่หรือ” นางโมโหจนลืมหิว เขาได้สินสอดไปพันตำลึงทองแต่นางไม่ได้มาแม้แต่อีแปะเดียว นี่เป็นพ่อประสาอะไร
“ฮูหยินไม่ได้เป็นที่รักของนายท่าน ตอนแต่งก็เพราะชื่อเสียงหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองซูเจียงเท่านั้น ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยส่งเสริมนายท่านได้เจ้าค่ะ” ชิงชิงเมื่อต้องนึกถึงชะตากรรมของฮูหยินคนที่ชุบเลี้ยงตนมาก็อดสงสารไม่ได้ ทำให้ทุกครั้งที่พูดถึงต้องกลั้นเสียงสะอื้นไปด้วย
“เช่นนั้นหวงจิ้น... ท่านพ่อก็หลอกใช้ท่านแม่น่ะสิ” ลี่เหม่ยโกรธจนลืมตัว นางเกือบเรียกชื่อแทนเรียกท่านพ่อเสียแล้ว
“เจ้าค่ะ ชื่อเสียงฮูหยินช่วยให้เขาโดดเด่นเพราะครองใจหญิงงามได้ แต่พอได้เป็นอัครเสนาบดีแล้วนายท่านก็ละเลยฮูหยินที่กำลังตั้งท้องนับแต่นั้นมา แม้บ่าวจะไม่เห็นกับตาแต่แม่นมของฮูหยินเล่าให้ฟัง รับรองเป็นความจริงแน่เจ้าค่ะ”
“ลี่เหม่ย! นะลี่เหม่ย! ชะตาเจ้าอาภัพกว่าข้าเสียอีก” นางสังเวชเจ้าของร่างผู้ล่วงลับ
แล้วเราจะทำอย่างไรดีกันเจ้าคะ ในเมื่อท่านแม่ทัพก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ” เด็กน้อยวัยราวสิบเจ็ดสิบแปดมองไม่เห็นหนทาง
“เอาเถอะตราบใดยังหายใจอยู่ต้องมีทางออกแน่ แต่ตอนนี้เจ้ากับข้าต้องอิ่มท้องเสียก่อน” ลี่เหม่ยยกน้ำแกงที่มีเพียงหนึ่งถ้วยขึ้นดื่ม ก่อนจะยื่นให้สาวน้อยที่คอยอยู่ข้างกาย
“นี่! บ่าวมีในครัวเจ้าค่ะ คุณหนูดื่มเถอะ” ชิงชิงดันถ้วยซุปคืนให้เจ้านาย
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้าไม่มีทางเหลือให้ตัวเองแน่ ดื่มเร็วเข้าหากท้องไม่อิ่มจะช่วยงานข้าได้อย่างไร” นางออกคำสั่งกับสาวใช้ข้างกาย
หลังข้าวเช้า ลี่เหม่ยนั่งมองเงินห้าตำลึงบนโต๊ะคล้ายจะให้มันออกลูกออกหลานให้มากขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“ทำเช่นไรกับเงินจำนวนนี้เจ้าคะ อยู่จวนหวงแม้ได้จำนวนเท่ากันแต่อาศัยฝีมือปักเย็บของฮูหยินจึงพอมีเงินไว้ใช้จ่ายบ้าง แต่ตอนนี้...”
“ก็ทำเช่นกับตอนอยู่จวนหวง ในเมื่อท่านแม่ปักเย็บได้ข้าก็ทำได้” ลี่เหม่ยไม่กลัวว่าจะอดตาย ตอนอยู่ในยุคปัจจุบันแม้ไม่มีเงินติดตัวนางยังดิ้นรนเอาชีวิตรอดได้ แต่นี่มีตั้งห้าตำลึงทำไมจะทำไม่ได้
ฮูหยินเฒ่ามองใบหน้ามีชีวิตชีวาของหลานชาย นางเองก็พอเบาใจได้บ้าง บุตรสาวนางเฉิงอี๋นั่วจากไปเร็วทิ้งบาดแผลในใจให้เหยาหมิงมากมาย นับจากวันนั้นหญิงชราอย่างนางก็ไม่เคยเห็นใบหน้ามีชีวิตชีวาเช่นนี้อีก “เหยาหมิง ยายเหนื่อยแล้วพายายกลับจวนที” เสียงหญิงชราเรียกหลานชายที่กำลังนั่งสนทนากับลุงใหญ่ “ลี่เหม่ยอยู่พูดคุยกับเหล่าป้าใหญ่รอไปก่อนแล้วกัน” นางหันมายิ้มให้หลานสะใภ้ ก่อนปล่อยให้หลานชายพากลับเรือนนอน เรือนฮูหยินเฒ่าอยู่ถัดจากเรือนรับรองไม่ไกล เหยาหมิงพาท่านยายของตนนั่งพักในโถงเรือน ก่อนจะหันกายเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติฮูหยินเฉิง “เหยาเอ๋อร์ ไปจวนบิดามาเป็นอย่างไรบ้าง” “เช่นเดิมขอรับ หลานกับเขาไม่เคยพูดคุยกันได้ตั้งแต่ท่านแม่จากไป ครั้งนี้ก็เช่นเดิม” “อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดา หากไม่อาจอยู่ร่วมชายคาอย่างไรเสียความกตัญญูก็ควรมี หลานรู้ใช่หรือไม่” ฮูหยินเฒ่ากับชับหลานชาย “รู้ขอรับ ท่านย่าไม่ต้องกังวลหลานไม่ทำให้ใครต่อว่าตระกูลเฉิงได้แน่” เหยาหมิงตบมือท่านยายเบา ๆ “เช่นนั้นย
“อนุของข้ากล้าเอ่ยชมบุรุษอื่นต่อหน้าสามีเลยหรือ” เหยาหมิงรั้งเอวบางแนบชิดหน้าท้องแกร่ง ใบหน้ายียวนก้มมองสตรีตรงหน้าที่อ้าปากค้างร่างกายแข็งทื่อ ไม่ต่างจากเข่อซิงที่หยุดชะงักเมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายกำลังเย้าหยอกพี่สะใภ้ “ท่านทำอะไรของท่าน” ลี่เหม่ยที่ได้สติ ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันจ้องมองบุรุษฉวยโอกาสตาเขม็ง มือบางบิดเนื้อท่อนแขนอีกฝ่ายจนแดงช้ำ “โอ๊ย!! เจ็บนะ” เหยาหมิงกัดฟันตอบ ใบหน้ายียวนหายไปในทันที “ก็ทำให้เจ็บนี่ ปล่อยข้านะ” ลี่เหม่ยกระทืบเท้าอีกฝ่ายจนเจ็บแปลบ ยอมปล่อยนางแต่โดยดี เข่อซิงเห็นท่าทางสองสามีภรรยาที่บัดนี้คล้ายทะเลาะมากกว่าเย้าหยอกจึงรีบเข้าช่วยสงบศึก “คารวะท่านพี่ พี่สะใภ้” เสียงนุ่มลึกของชายหนุ่มดึงความสนใจของคนทั้งสองได้ทันที “รบกวนน้องสามีแล้ว ท่านแม่ทัพเพียงอยากแนะนำให้เรารู้จักกันน่ะ” ลี่เหม่ยยิ้มกว้างกล่าวเป็นกันเองกับอีกฝ่าย โดยไม่ต้องให้เหยาหมิงตแนะนำ “หึ! เจ้าเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจริงนะ” เหยาหมิงประชดประชัน “ข้าเข้าง่ายกับคนที่ข้าอยากเ
ลี่เหม่ยจ้องมองใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นของแม่ทัพหนุ่ม นางเผลอยิ้มให้กับความหล่อเหลาของอีกบุรุษตรงหน้าโดยมิรู้ตัว คิ้วหน้าตาคมเข้มผิวขาวราวไข่มุก ริมฝีปากอิ่มยามปิดสนิทที่ไม่เอาแต่กล่าวคำตำหนินางช่างน่ามอง “จ้องนานเช่นนี้ มีใจให้ข้าหรือ?” คำพูดไม่น่าฟังหลุดออกจากปากบุรุษตรงหน้า ทำรอยยิ้มหวานเมื่อครู่ของหญิงสาวหุบหายไปในพริบตา “โรคหลงตัวเองนี้ท่านยังไม่หาหมอมาดูอาการอีกหรือ” ลี่เหม่ยสวนกลับอีกฝ่ายในทันที เหยาหมิงที่ยังคงทาแผลให้กับนางหยุดมือทันทีเมื่ออีกฝ่ายชอบประชดประชันตนไม่หยุด “เสร็จแล้ว แผลเท่านี้ไม่ทำให้เจ้าอัปลักษณ์ไปมากกว่านี้ได้หรอก” บุรุษตรงหน้าปล่อยมือนางก่อนหันกายขึ้นรถม้าไป “เจ้าเด็กนี่หนิ ทำคนอื่นเจ็บยังมีหน้ามาว่าอีก” ลี่เหม่ยมือเสะเอวอย่างเหลืออด ก่อนจะจ้องมองแผ่นหลังชายผู้ขึ้นรถม้าไปพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง “หากไม่อยากเดินไปจวนตระกูลเฉิงก็ขึ้นรถม้ามา” เสียงเย็นชาจากบุรุษในรถม้าดังตามหลัง ลี่เหม่ยทำได้เพียงกระทืบเท้าทำตามคำสั่งแม่ทัพหนุ่ม นางไม่มีอำนาจใดต่อรองได้ จำต้อ
รถม้าหยุดลงหน้าจวนตระกูลหวัง ใบหน้าหล่อเหลาของเหยาหมิงเย็นชาจนไม่น่ามอง สีหน้าไร้อารมณ์จนผู้คนคาดเดาความคิดของแม่ทัพปราบเหนือได้ยาก “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” ลี่เหม่ยถามสิ่งที่นางต้องทำเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อสามี “อยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องทำอะไร ข้าจะจัดการเอง” น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้นก่อนก้าวลงจากรถม้า โถงใหญ่ของบ้าน บุรุษวัยห้าสิบหน้าละม้ายคล้ายเหยาหมิงนั่งอยู่เก้าอี้เจ้าบ้าน มีหญิงวัยราวสี่สิบสวมอาภรณ์ผ้าไหมราคาแพงทั้งตัวเครื่องผมแสนวิจิตรประดับจนเต็มหัว ใบหน้างามแต่งแต้มจนเกินพอดีนั่งอยู่ด้านข้าง “คารวะนายท่านหวัง ฮูหยินหวง” เหยาหมิงค่อมกายเคารพผู้อาวุโสทว่าคำเรียกช่างห่างเหิน บ่งบอกถึงความไม่เกี่ยวข้อง ใบหน้าของหวังเทียนเล่ยบิดเบี้ยวด้วยไฟโทสะ ไม่ต่างหวงหลงเหรินที่บัดนี้หายใจถี่แรงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจห้าปีที่แต่งเข้ามาลูกเลี้ยงอย่างเหยาหมิงกลับไม่เคยเคารพนางเลย ลี่เหม่ยมองดูสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเบื้องหน้า แม่ทัพไม่เคารพพ่อแม่ของตนก็ไม่กล้ามีใครตำหนิ แต่หากนางเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างต้องถูกตีเนื้อแตกอีกแน่ “คา
เหยาหมิงก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปยังลานประมูล ใบหน้าคมเข้มยังคงจดจ้องใบหน้าซีดเผือดของนางไม่วางตา “ท่านแม่ทัพเฉิงนี่ ไม่ยักรู้ว่าท่านก็ชื่นชอบหญิงคณิกาด้วย” ใต้เท้าจงอยู่ในราชสำนัก จึงจดจำชายหนุ่มได้ดี “ข้าก็เพียงแค่อยากรู้ว่าจริงพรหมจรรย์ของหอร้อยบุปผาจะงดงาม เย้ายวนอารมณ์บุรุษได้เพียงใด” มือหนาลูบไล้สัมผัสใบหน้านางอย่างถือดี โดยไม่สนสายตาโกรธเกรี้ยวของลี่เหม่ย “หวงลี่เหม่ย นะ หวงลี่เหม่ย คลาดกันแค่ครึ่งชั่วยามเจ้าก็มาขายพรหมจรรย์เสียแล้ว” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูนาง “ใช่ที่ไหน ใครจะรู้เดินมาดี ๆ ดันอยู่กลางลานประมูลเสียแล้ว รีบพาข้าออกไปเร็วเถอะเจ้าค่ะ” นางจ้องมองบุรุษตรงตาด้วยแววอ้อนวอน แต่เขากลับเห็นความลำบากของนางเป็นเรื่องตลกเสียได้ “มามาข้าคิดว่าไม่มีผู้ใดประมูลแข่งข้าแล้ว เช่นนั้นข้าคงพานางไปได้สินะ” หางตาเหยาหมิงมองไปยังมามาหน้าเลือดที่ยืนยิ้มดีใจกับราคาแพงลิบที่เขาจะจ่ายให้ “ช้าก่อน! ท่านแม่ทัพเฉิงพึ่งรับอนุงามหยดย้อยเข้าจวน เช่นนั้นสตรีนางนี้ข้าขอแล้วกัน” บุรุษท่าทางเมามายไม่
“เหตุใดต้องยอมให้พวกนั้นรังแกเล่า เหตุใดไม่สู้” เหยาหมิงเผลอถามคำถามโดยไม่รู้ตัว “ไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ไม่มีความกล้ามั้ง” ลี่เหม่ยเอ่ยพลางสบตาบุรุษเบื้องหน้า “แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ข้าไม่ใช่คนสกุลหวงไม่จำเป็นตรงกลัวพวกเขาอีกต่อไป” นางยักคิ้วให้กับเหยาหมิงก่อนจะมองชมความงามของสินค้าสองข้างทาง “หึ! ร่วงจากขื่อครั้งเดียวทำให้เจ้ามีความกล้าขึ้นเยอะนี่” แม่ทัพปราบเหนือเหยียดยิ้มพลางกล่าวพึมพำก่อนเบนสายตาไม่สนใจสตรีเบื้องหน้าอีก รถม้าจอดหน้าจวนแม่ทัพ ลี่เหม่ยที่ทนแสบร้อนจากน้ำล้างชามไม่ไหวลุกพรวดขึ้นรีบออกจากรถม้า โดยไม่รอให้บุรุษอย่างเขาลงจากรถม้าก่อน จนเหยาหมิงต้องมองค้างกับท่าทางแปลกประหลาด ไม่รู้จักธรรมเนียมของนาง “ตระกูลหวงไม่เคยสอนหรือว่าต้องให้บุรุษลงจากรถม้าก่อน” ชายหนุ่มตำหนินางทันทีที่ลงจากรถม้าได้ “อาจจะเคยสอน แต่ข้าสมองน้อยไม่จำเอง” “หากท่านแม่ทัพไม่ว่าอะไร ข้าขอไปอาบน้ำก่อนแสบไปหมดแล้ว” ลี่เหม่ยไม่กล่าวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกาเนื้อตัวจนอาภรณ์เลิกขึ้นสูงมองเห็นข้อเท้าขาวนวล







