เจียวซินตื่นขึ้นมาตั้งแต่ปลายยามอิ๋นให้หนิงเออร์และนางกำนัลช่วยอาบน้ำและแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าอ่อนสดใส แม้จะยังขัดเขินต่อการปรนนิบัติของ หนิงเออร์และนางกำนัล แต่เจียวซินก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของ ยุคสมัยนี้ จากที่เห็นหนิงเออร์แต่งหน้าทาปากให้วันนั้น วันนี้เจียวซินจึงขอแต่งด้วยตนเอง
“เดี๋ยวข้าจะผัดหน้า ทาปากเอง พวกเจ้าไปช่วยเตรียมเครื่องเสวยที่โรงครัวเถิด”
“พระชายาทำเป็นหรือเพคะ”
“ข้าทำได้ หากไม่เชื่อเจ้าก็อยู่ดูข้า” เสียงใสของเจียวซินกล่าวบอกคนสนิท
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าทั้งสองไปอยู่ดูที่โรงครัวก่อน ข้าจะช่วยปรนนิบัติพระชายา” หนิงเออร์กล่าวกับนางกำนัลทั้งสอง ด้านเจียวซินมิได้สนใจมากนัก หยิบจับดูเครื่องสำอางที่วางอยู่บนโต๊ะหน้ากระจกบานใหญ่ อาจจะไม่มีมากเท่าโลกก่อนที่นางอยู่ แต่ก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ ส่วนมากจะเป็นแป้งผัดหน้าและชาดทาปากหลากสี ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำมาจากพืชสมุนไพรธรรมชาติ เจียวซินเริ่มผัดแป้งสีขาวทั่วไปหน้า ไม่ให้หนาจนเกินไปและดูเป็นธรรมชาติเข้ากับผิวของนาง จากนั้นจึงใช้พู่กันแตะผงคิ้วแล้ววาดไปตามโครงคิ้ว ปรับน้ำหนักมือไม่ให้ลงผงคิ้วหนาหรือบางจนเกินไป เจียวซินจ้องมองสำรวจคิ้วทั้งสองข้าง เมื่อเห็นว่าเข้ากับรูปหน้าและคิ้วทั้งสองเท่ากันแล้ว จึงเริ่มใช้ชาดสีแดงแต่งแต้มตรงเปลือกตา เกลี่ยไล่สีเป็นสีแดงอ่อนๆ ดัดแปลงนำผงคิ้วมา กรีดตา ขั้นตอนนี้ต้องระวังเพราะผงคิ้วนั้นทำมาจากกิ่งต้นหลิวที่นำมาเผาและทำเป็นผงคิ้ว จึงต้องระวังไม่ให้ผงเข้าตา
ก็นะ อยากสวยก็ต้องทนหน่อย ฮิฮิ
ต่อมาใช้ชาดสีแดงแตะแก้มและจมูกเพียงเล็กน้อย ให้ใบหน้าดูแดงระเรื่อ
“อ่า~ คล้ายสาวเกาหลีอยู่นะเนี่ย งดงามๆ”
“งดงามนักเพคะพระชายา” หนิงเออร์มองใบหน้าผู้เป็นนายอย่างตกตะลึง
“ข้าบอกแล้วว่าข้าทำได้ เจ้านำข้าไปโรงครัวเถิด” เจียวซินลุกขึ้นจัดเครื่อง แต่งกายเล็กน้อย หนิงเออร์เห็นดังนั้นจึงนำเจียวซินไปโรงครัวทันที เมื่อถึงโรงครัวเครื่องเสวยก็ถูกเตรียมพร้อมแล้ว
“อาหารน่าทานมาก ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมากนะ” เจียวซินเปิดดูอาหาร เห็นแต่ละอย่างหน้าตาน่าทาน จึงกล่าวขอบใจเหล่าพ่อครัวแม่ครัวตามความ เคยชินในโลกก่อนที่มักกล่าวขอบคุณในโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ แต่การกล่าวขอบใจเหล่าพ่อครัวแม่ครัวของเจียวซินกลับทำให้พวกเขาตกใจอยู่ไม่น้อย บางคนถึงกับตบหน้าเรียกสติตนเอง แน่สิ! จางเจียวซินคนเดิมมีหรือกล่าวว่า “ขอบใจ” ที่เคยได้ยินคงมีเพียงคำตำหนิเท่านั้น
“ไปกันเถิด ให้ท่านอ๋องรอนานคงไม่ดีสักเท่าไหร่” หลังจากเจียวซินก้าวเดินออกจากโรงครัวตรงไปตำหนักใหญ่ของท่านอ๋องก็มีหลายเสียงดังขึ้น
“ข้าหูเพี้ยนไปแล้วหรือ” หนึ่งในแม่ครัวเอ่ยขึ้น
“นั่นสิเจ้าคะ หรือว่าพระชายากลายเป็นคนความจำหดหายดังที่เขาว่ากัน”
“เปลี่ยนไปมิเหมือนเดิมเลยสักน้อย ทั้งการแต่งกาย การผัดหน้า ทั้งการพูด ดูงดงามขึ้นด้วยนะเจ้าคะ”
“จะเป็นเช่นนี้ได้สักกี่วันมินานคงกลับไปเป็นเช่นเดิม” เสียงดูถูกดูแคลนดังขึ้นจากคนสนิทของพระชายารองของท่านอ๋อง อันอ้ายฉิง
“เอาเถิดๆ เจ้ามารับเครื่องเสวยชายารองอันใช่หรือไม่ มาเอาเถิด” พ่อครัวใหญ่ขัดขึ้น
ด้านเจียวซินหลังจากออกจากโรงครัวก็มาถึงตำหนักใหญ่ในไม่ช้า
“นี่หรือตำหนักของท่านอ๋อง ข้าต้องทำอย่างไรต่อหนิงเออร์”
“พระชายาต้องนำเครื่องเสวยไปให้ท่านอ๋องในห้องโถงก่อน จากนั้นจึงขออยู่ร่วมรับสำรับเช้าด้วยเพคะ”
“อืม ไม่ได้ยาก” กล่าวเสร็จเจียวซินก็มุ่งหน้าไปหาทหารที่เฝ้าอยู่หน้าห้องโถงที่ท่านอ๋องประทับอยู่
“ข้านำเครื่องเสวยมาให้ท่านอ๋อง”
“พ่ะย่ะค่ะ” นายทหารผู้นั้นหายเข้าไปในห้องโถงสักพักก็ออกมา
“ท่านอ๋องทูลเชิญพระชายาให้เข้าไปด้านในพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยเสร็จก็เปิดประตูให้เจียวซินเดินเข้าไป
“ขอบใจเจ้ามาก” เจียวซินเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหนิงเออร์ที่ยกเครื่องเสวยตามเข้ามา พบกับท่านอ๋องที่นั่งรอเครื่องเสวยอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ด้านข้าง มีขันทีวัยกลางคนและองค์รักษ์บืนอยู่ด้วย
“หม่อมฉันนำเครื่องเสวยมาถวายเพคะ และจะขออยู่รับสำรับเช้าด้วยเพคะ” เจียวซินเอ่ยขอตามที่หนิงเออร์แนะนำ
“อืม” เฟยเทียนตอบเพียงเท่านั้น เจียวซินจึงนั่งลงฝั่งตรงข้าม หนิงเออร์ก็วางเครื่องเสวยลงบนโต๊ะ ขันทีจิ้นหนาน ทำหน้าที่ทดสอบพิษด้วยเข็มเงินในอาหารทุกจาน เมื่อแล้วเสร็จจึงก้าวถอยไปอยู่ด้านหลัง เฟยเทียนและเจียวซินรับสำรับเช้าด้วยกันอย่างเงียบๆ จนหมด ทั้งสองวางตะเกียบลงก่อนเจียวซินจะพูดขึ้น
“หม่อมฉันขออยู่พูดคุยกับท่านอ๋องตามลำพังได้หรือไม่เพคะ”
“มีอันใดก็พูดออกมา”
“หม่อมฉันต้องการพูดคุยเรื่องหย่า จึงอยากจะขอพูดคุยกับพระองค์เพียงลำพังเพคะ”
“มากเรื่องเสียจริง พวกเจ้าออกไปให้หมด” เฟยเทียนเอ่ยสั่งให้ผู้อื่นออกไป บัดนี้จึงเหลือเพียงสองสามีภรรยาที่อยู่กันตามลำพัง
“เรื่องหย่า หม่อมฉันคิดว่าเรามาตกลงร่วมกันอีกทีดีหรือไม่เพคะ” เจียวซิน พยายามใช้น้ำเสียงอ่อนหวานราวพูดคุยกับเด็กน้อยเพื่อหว่านล้อมเฟยเทียน
“ไม่” คำเดียว...แต่คำนั่นกลับทำให้เจียวซินหายใจติดขัดขึ้นมาทันที ยังไม่ทันฟังข้อเสนอของนางเลยด้วยซ้ำกลับเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง
เหอะ เผด็จการเกินไปแล้ว
“ยึ้ย! นี่มันอันใดกัน! ใครถ่ายหนักแล้วเอามาเช็ดตรงนี้ แหวะ!” ไฉ่หงรีบเช็ดมือเข้ากับบานประตูแล้วรีบออกมาทันที เพราะกลัวว่าจะมีผู้ใช้ห้องสุขาต่อและคิดว่าตนเองเป็นคนทำ แต่ทว่าเด็กน้อยมิทันได้ระวังจึงเหยียบเข้ากับน้ำมะม่วงที่สองแฝดเทเอาไว้จนรองเท้าหรูเปรอะเปื้อนไปหมด“อ่าว! ไฉ่หงอยู่นี่เอง ข้าอยากขอโทษที่ต่อว่าเจ้าเมื่อวันก่อน ยกโทษให้ข้านะ” ซินอี๋ทำทีว่าบังเอิญเจอไฉ่หงที่หน้าห้องสุขา เขาแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับว่าเรื่องวันก่อนเขาได้ทำผิดไป“อะ เอ่อ ข้ายกโทษให้ แต่เจ้าอย่าได้มาขึ้นเสียงกับข้าอีกเล่า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หึ!”“ขอบใจเจ้ามากนะไฉ่หง น้องข้าก็เอาแต่ใจเช่นนี้ มิได้ความเสียจริง” หย่งเล่อที่จู่ก็โผล่มาเกาะไหล่ไฉ่หงจากด้านหลัง มือเล็กของหย่งเล่อลูบไปทั่วแผ่นหลังและบั้นท้ายของไฉ่หง“อืม ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็สั่งสอนน้องเจ้าให้ดีด้วยเล่า” ว่าแล้วไฉ่หงก็เดินกลับเข้าห้องเรียนของตนทันทีหย่งเล่อและซินอี๋ที่มองไฉ่หงจากด้านหลังก็ยิ้มกริ่มพอใจกับผลงานตนเอง เพราะอาภรณ์ด้านหลังของไฉ่หงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมะม่วงสุกที่หย่งเล่อลงทุนใช้มือตนเองป้ายลงไป“ข้าว่าเจ้าไปล้างมือก่อนเถิด ข้าเหม
“หย่งเล่อเจ้าว่าน้องของเราจะเป็นหญิงหยือชาย” ซินอี๋และหย่งเล่อกำลัง ยืนเกาะขอบประตูห้องทำคลอด ที่บัดนี้ด้านในกำลังทำคลอดให้มารดาของพวกเขาอยู่หลังจากที่บิดาของพวกเขาให้คำมั่นว่าจะมีน้องชายน้องสาวมาให้พวกเขาเลี้ยงมานานนับหลายปีจนตอนนี้พวกเขาอายุได้สี่หนาวย่างเข้าห้าหนาวแล้วมารดาพวกเขาถึงได้ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด มิเหมือนกับท่านลุงซีห่าวกับท่านน้าเฟยเฟิ่งที่บัดนี้มีทั้งน้องชายวัยสองหนาว ทั้งท่านน้าเฟยเฟิ่งยังตั้งครรภ์ได้กว่าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ช่างเถิด อย่างไรเสด็จพ่อก็ทำตามสัญญาแม้จะช้าไปหลายปีก็เถอะนะ…“ไม่รู้” หย่งเล่อจดจ้องอยู่ที่ประตูตาไม่กระพริบ เด็กน้อยกำลังกังวลว่าเสด็จแม่และน้องจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ปากเล็กก็ยังเอ่ยตอบน้องชาย“แล้วเจ้าว่าน้องจะหน้าตาเหมือนผู้ใด เสด็จพ่อหยือเสด็จแม่”“ไม่รู้”“แต่ข้าว่าให้น้องเหมือนข้าน่าจะเข้าท่า เพราะข้าเป็นชายหนุ่มที่หย่อเหยาที่สุดในแคว้นเฉินแห่งนี้” ซินอี๋ใช้มือเล็กๆ ลูบคางของตนเองไปมา ดึงท่าทีคล้ายต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองนั้นหล่อเหลาเพียงใด สองแฝดคู่นี้แม้หน้าตา จะเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่ทว่านิสัยใจคอกลับแตกต่างกับลิบลับ คนหนึ่งนิ่งข
“อ๊ะ อื้ออออ”จุ๊บ! จ๊วบ! ปากหนาเลื่อนไปครอบยอดถันสีแดงก่ำ ทั้งไล่เลีย ทั้งดูดดึงดั่งทารกที่หิวโหย เฟยเฟิ่งที่พึ่งเคยถูกสัมผัสที่ลึกซึ้งถึงกับตัวอ่อนระทวย ปล่อยให้ร่างหนารุกเร้าอยู่อย่างนั้น ปากบางถูกเจ้าของขบกัดจนแดงก่ำ สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายอันกำยำของสามีอย่างหลงไหล“ทะ ท่านพี่ ของ ของท่านมัน-” ร่างกายเปลือยเปล่าบดเบียดแนบชิดกันจนเฟยเฟิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของนางอยู่“อะฮึ่ม! มันคงอยากมาเล่นกับเจ้ากระมัง มาเถิด ทำให้พี่ดูว่าที่เจ้าเล่าเรียนมานั้นจะใช้ได้จริงหรือไม่” ซีห่าวผละกายออกจากเฟยเฟิ่งพลางถอยไปพิงอ่าง สองแขนแกร่งยกขึ้นพาดขอบอ่างดั่งคุณชายเจ้าสำราญที่รอรับการปรนนิบัติ เฟยเฟิ่งที่ถูกทวงถามก็รีบเค้นบทเรียนที่เล่าเรียนมาปรนนิบัติให้สามีประทับใจ“อึก! ของท่านดูเหมือนจะใหญ่กว่าแท่งหยกที่เสด็จแม่นำมาสอน” เฟยเฟิ่งเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะแท่งทวนของสามีที่อยู่ใต้น้ำ มือบางชักรูดเบาๆ พลางวนนิ้วโป้งบนปลายหยัก“อืมมมม ดี มือเจ้านุ่มเหลือเกิน ซี๊ดดด” ซีห่าวแหงนหน้าสูดลมเข้าปากด้วยความเสียวซ่าน เฟยเฟิ่งเห็นท่าทีของสามีก็ได้ใจรีบรูดรั้งแท่งทวนช้าบ้างเร็วบ้างหวังให้สา
“เป็นอย่างไรบ้าง มาให้แม่ดูเสียหน่อยว่าเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮองเฮาหลี่เดินเข้ามาจัดชุดพิธีการสีแดงปักดิ้นทองที่เฟยเฟิ่งใส่อยู่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น มือบางลูบไล้จัดแต่งเรือนผมของบุตรีพลางย้อนนึกถึงตอนที่เฟยเฟิ่งยังเป็นเด็กซุกซนวิ่งเล่นอยู่ในตำหนัก แต่มาบัดนี้เด็กน้อยแสนซนผู้นั้นกำลังจะได้ตบแต่งออกไปมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว“ลูกงดงามหรือไม่เพคะ” เฟยเฟิ่งที่เห็นว่ามารดานิ่งเงียบไป จึงเอ่ยถามขึ้น“งดงาม แต่คงมิเท่าแม่ หึๆ”“โถ่! วันนี้เป็นวันสมรสของลูก เสด็จแม่จะมิยอมให้ลูกงดงามที่สุดบ้างเลยหรือเพคะ”“ฮ่าๆ ได้ๆ วันนี้แม่ให้เจ้างดงามที่สุด…เฟิ่งเออร์ แม้ตบแต่งออกไปแล้วแต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรของแม่และเสด็จพ่อ หากว่าซีห่าวทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจขอเพียงเข้าบอกแม่ แม่จะให้เสด็จพ่อจัดการกับเขาเอง” ฮองเฮาหลี่อดเป็นห่วงบุตรีของตนมิได้ ด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาเฟยเฟิ่งมิเคยห่างจากอกบิดามารดาเลยสักครา“หึ อย่างซีห่าวนะหรือจะทำให้เฟิ่งเออร์เจ็บซ้ำน้ำใจ คงจะมีแต่คนของเรามากกว่าที่จะทำให้เขาปวดหัว” ฮ่องเต้เฟยหลงที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยเย้าบุตรของตน“โถ่ เสด็จพ่อละก็ ลูกมิได้ซุกซนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย อีก
“อืม…แค่กๆ” เฟยฉีรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ตาคมมองไปรอบๆ ก็พบว่าตะเกียงในห้องของเขาถูกจุดสว่างไสว ความทรงจำสุดท้ายคือเขารู้สึกตาพร่ามัว ทั้งยังเจ็บปวดไปทุกส่วน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป“องค์รัชทายาท ได้สติแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเยว่ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงได้ ไม่นานก็ได้เสียงไอของคนบนเตียงเขาจึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา จิเยว่รีบเดินไปรินน้ำอุ่นมาให้เฟยฉีทันที ร่างบางพยายามประคองร่างสูงให้ดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยการขับพิษในครั้งนี้เฟยฉีเสียเลือดไปมาก“แค่กๆ จินเยว่” ปากหนาเอ่ยเรียกคนรักด้วยเสียงออดอ้อน ยังดีที่เฟยเทียนสั่งให้นางกำนัลเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทม ภายในห้องจึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น“พ่ะย่ะค่ะ”“จินเยว่”“อึก! พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมีสิ่งใดจะรับสั่งกับกระหม่อมหรือ” ดวงใจน้อยๆ ของจินเยว่ถึงกับกระตุกเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของคนรัก“เยว่เยว่ เยว่เยว่”“ว่าอย่างไร”“ข้าเจ็บไปทั้งตัวเลย ฮึก! ใจข้าก็เจ็บ” ร่างสูงโถมกายเข้าซุกซบกับอกของ จินเยว่จนล้มหงายหลัง“ชะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปนำยามาให้ องค์รัชทายาทปล่อยกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ หากข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็จะหนีไป”“กระห
"ซี๊ดดดดด ตัวเล็กกระจิดริดเหตุใดจึงกัดเจ็บถึงเพียงนี้นะ”จินเยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหู ใบหน้าแสนน่ารักหันไปหันมาเพื่อสำรวจหาต้นเสียง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยินสุดท้ายก็พบเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังก้มๆ เงยๆ ล้างเลือดออกจากแผลบนมือ จินเยว่ขมวดคิ้วแน่นคิดไม่ตกว่าควรเข้าไปช่วยดีหรือไม่ หากเข้าไปช่วยจะเกิดเหตุการณ์ดังเช่นครั้งก่อนหรือไม่“เจ็บๆ หากรู้ว่ากัดเจ็บถึงเพียงนี้ อย่าหวังว่าข้าจะช่วย ข้าจะปล่อยเจ้าแห้งตายอยู่ในกับดักโง่ๆ นั่น ฮึ่ย!” เสียงบ่นกับตนเองของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นทำให้จินเยว่อดยิ้มขำออกมามิได้ หากให้เขาคาดเดาชายหนุ่มผู้นี้คงจะช่วยสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักแต่ดันถูกสัตว์ตัวนั้นกัดมาเป็นแน่จึงได้มานั่งบ่นอยู่เช่นนี้น่าสงสารเสียจริง…“คิกๆ” จินเยว่หยุดหัวเราะออกมาโดยมิรู้ตัว“ใครน่ะ” แย่แน่แล้ว!!! จินเยว่รีบหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ร่างบางตัวสั่นเทา ใจหนึ่งก็นึกกลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารชายหนุ่มผู้นั้นมิได้ หากชายหนุ่มถูกสัตว์มีพิษกัดเข้าเล่าจะทำเช่นไร“ข้าถามว่าใคร ออกมา! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามาร้าย” จินเยว่ได้ยินเสียงเข้มเอ่ยดังนั้นจ