LOGINนางจ้องมองใบหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่สั่นจากความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
“เหตุใด...เหตุใดเจ้าจึงต้องดีกับข้าเพียงนี้...”
คำถามนั้นมิใช่เพียงการสงสัยในความหวังดีของเขา
หากแต่เป็นการถามถึงโชคชะตาที่ทำให้นางได้พบคนอย่างหานเจ๋อ
หานเจ๋อชะงัก เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะเอ่ยถาม
เขาหลบสายตาหญิงสาว แล้วเอ่ย
“เจ้าคงจำข้าไม่ได้...เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าประมาณแปดขวบ เกือบถูกรถม้าของเจ้าชน..คนขับรถตำหนิที่ข้าไม่ดูทางให้ดี เป็นเจ้าที่ออกปากปกป้องแล้วยังแบ่งขนมจากหอชิวอี้ให้ข้า”
หว่านเหยาเริ่มจำได้ลาง ๆ ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เหตุการณ์นั้นมีอยู่จริง
ภาพเด็กชายตัวเล็กที่ล้มอยู่กลางถนน เสียงรถม้าที่หยุดกระทันหัน และขนมที่ถูกยื่นให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน... ล้วนผุดขึ้นมาในใจอย่างช้า ๆ
นางเข้าใจในทันที
สำหรับเขา เด็กชายในวันนั้น คงเป็นครั้งแรกที่หัวใจสั่นไหว
“รักแรกพบ...” นางพึมพำในใจอย่างแผ่วเบา
นับแต่นั้น หานเจ๋อคงเฝ้ามองนางมาโดยตลอด แม้ระยะทางระหว่างชนชั้นจะไกลเพียงใด เขาก็ยังเก็บภาพนั้นไว้ในใจ
...ไม่เคยลืมเลยแม้เพียงวันเดียว
เป็นรักที่อบอุ่นจริงๆ เสียดายสตรีผู้นั้นหาได้เห็นค่า
หานเจ๋อเห็นหว่านเหยาเงียบไปนาน ใบหน้าเรียบนิ่งจนยากจะคาดเดาความคิด เขารีบเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ้าไม่ต้องห่วง...หากวันหนึ่งคุณชายถังจะมารับตัวเจ้ากลับ ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้เด็ดขาด ขอเพียงเจ้าได้มีความสุข...ข้าก็สุขด้วยเช่นกัน”
หว่านเหยายิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนใจ ดวงตาคล้ายจะสั่นวูบนางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงเย้ยหยัน “ข้าแต่งเป็นภรรยาของเจ้ามาแล้ว...ถึงแม้คุณชายถังจะอยากรับข้าเข้าจวน แต่คนในตระกูลของเขา...ไม่มีวันยินยอมแน่”
คำพูดนั้นเรียบง่าย
ทว่าแฝงทั้งความขมขื่นและความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หานเจ๋อนั่งนิ่งไป ก่อนจะหลุบตาลง “ข้าทำให้เจ้าเดือดร้อนหรือ”
หานเจ๋อเอ่ยถามเสียงเบา แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
หว่านเหยาส่ายหน้าเบา ๆ “ท่านช่วยไถ่ข้าจากหอนางโลม จะกล่าวว่าท่านทำให้ข้าเดือดร้อนได้อย่างไร”
นางหยุดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วลง “ตรงกันข้ามต่างหาก...เป็นข้าที่ทำให้ท่านต้องลำบาก”
หานเจ๋อส่ายหน้าทันที “ไม่เลย เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าเดือดร้อนสักนิด เจ้าทำให้ข้ามีความสุขมากกว่าเสียอีก เจ้าอย่าได้ตำหนิตนเองเช่นนั้นเด็ดขาด”
หว่านเหยามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคล้ายจะสั่นไหว ก่อนพยักหน้ารับเบา ๆ “ฮืม…ท่านรีบกินเถอะน้ำแกงจะเย็นแล้ว”
หลังมื้อเย็นเสร็จ หานเจ๋อก็รีบเก็บถ้วยชามไปล้างเช่นทุกครั้ง
เขาทำอย่างคล่องแคล้วกับการดูแลทุกสิ่งในเรือนเล็กนี้ เมื่อเสร็จแล้ว เขาจึงไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นจึงปูที่นอนของตนไว้บนตั่งไม้ด้านนอก
เขาจัดเตียงให้ในห้องด้านในตามเดิม
แสงตะเกียงสลัว ๆ ส่องให้เห็นเพียงแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังจัดหมอนอย่างเรียบร้อย “เจ้าเข้าเรือนไปเถอะ เย็นแล้วลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบาย” เขาเอ่ยเสียงแผ่วแต่จริงใจ
มู่หว่านเหยาเพียงพยักหน้ารับ ไม่เอ่ยคำใดเพิ่ม เพียงมองเงาแผ่นหลังนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับเข้าห้องไปอย่างเงียบงัน
เช้าวันถัดมา มู่หว่านเหยาเดินสำรวจรอบเรือน
ในใจนางครุ่นคิดว่าจะเริ่มต้นทำสิ่งใดดี พื้นที่รอบเรือนแม้มีอยู่หนึ่งหมู่เต็มพื้นที่ไม่มากไม่น้อยพอเหมาะสำหรับการปลูกเรือน
หานเจ๋อช่วงนี้ออกไปรับจ้างช่วยเก็บเกี่ยวอยู่ที่หมู่บ้านข้างเคียง ด้วยแรงกายที่มากกว่าคนทั่วไป เขาจึงทำงานได้รวดเร็วและหนักแน่น
ยามว่างก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ป่าเพื่อนำมาแลกข้าวสารหรือเก็บไว้กิน
ชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและเหน็ดเหนื่อยเช่นนั้นทุกวัน
ทว่า..หากวันใดล้มป่วยลงมา...ทุกอย่างในเรือนนี้คงลำบากแน่นอน จะปล่อยให้อีกคนรับภาระคนเดียวไม่ได้
หว่านเหยาเดินเข้าไปในโรงเก็บฟืนเก่าหลังเรือน กลิ่นไม้แห้งผสมกลิ่นดินคละคลุ้งอยู่ทั่ว นางกวาดตามองหาจอบหรือเสียมสักอัน
ไม่นานก็พบจอบด้ามไม้เก่าที่วางพิงผนังอยู่ นางหยิบมันขึ้นมา ปัดฝุ่นออกเบา ๆ ก่อนเดินออกไปยังลานกว้างด้านหลังเรือน
ลมยามสายพัดผ่าน
ระหว่างก้าวเท้าลงบนดิน หว่านเหยาก็คิดในใจ บิดาและญาติพี่น้องของมู่หว่านเหยาต่างแตกกระเซ็นไปคนละทิศทาง หลังเหตุการณ์ตระกูลถูกลงโทษ บ้างถูกเนรเทศ บ้างหนีหายไร้ร่องรอย นางไม่รู้แม้กระทั่งว่าผู้ใดยังมีชีวิตอยู่บ้าง
สำหรับนางแล้ว เรื่องพวกนั้นให้มันจบสิ้นไปพร้อมชะตาในชาติของมู่หว่านเหยาตัวจริง คงไม่มีเรื่องให้ล้างแค้นหรือทวงคืนสิ่งใด
สิ่งเดียวที่นางทำ... คือใช้ชีวิตของตนเองให้เรียบง่ายและสงบสุข
ส่วนเรื่องแต่งงานนั้น...
ในเมื่อแต่งแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เคยทำให้นางลำบากใจ
ก็ช่างเถิด จะฝืนปฏิเสธไปไย ในเมื่อโชคชะตานำพามาเพียงนี้แล้ว
มู่หว่านเหยาเพียงยิ้มจาง ๆ ให้กับความคิดนั้น ก่อนจะก้มลงฝังจอบลงบนผืนดิน
เสียง ฉึก... ฉึก... ดังเป็นจังหวะท่ามกลางลมอุ่น
เม็ดเหงื่อเริ่มซึมบนหน้าผาก
อย่างน้อย...ในร่างใหม่นี้ นางก็ไม่ต้องทนเหงาเหมือนในชาติเดิม
หากวันหนึ่งชีวิตร่วมมิอาจราบรื่น
ก็แค่หย่าขาดจากกันเท่านั้น เรื่องก็จบ
มู่หว่านเหยาลงมือขุดดินอย่างไม่รีบร้อน
นางจัดพื้นที่หลังเรือนให้เป็นแนวสี่เหลี่ยม แบ่งเป็นแปลงเล็ก ๆ เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ดินแห้งแข็งในตอนแรกค่อย ๆ นุ่มขึ้นเมื่อจอบกระทบซ้ำ ๆ จนกลิ่นดินสดชื้นฟุ้งขึ้นมาแตะจมูก
เพียงไม่นาน เหงื่อกายก็เปียกชุ่มทั่วแผ่นหลัง นางกลับรู้สึกโล่งใจราวกับได้ปลดบางสิ่งในใจลงกับดินทุกครั้งที่ยกจอบ
พอแปลงดินเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง นางก็วางจอบพิงไว้ข้างรั้วไม้ไผ่
ทอดสายตามองผลงานตรงหน้าแล้วพึมพำเบา ๆ
“เมล็ดพันธุ์ยังต้องรอ...แต่แค่นี้ก็นับว่าเริ่มได้แล้ว”
ตอนที่ 8 เสียศักดิ์ศรีไม่ได้ บรรยากาศหลังมื้อค่ำยังอุ่นอบอวลด้วยกลิ่นไม้สดจากกองฟืนที่หานเจ๋อกำลังผ่าดัง พั่ก…พั่ก เป็นจังหวะสม่ำเสมอมู่หว่านเหยานั่งอยู่บนตั๋งเล็ก ๆ มือรองคางสายตาของนางจับจ้องไปยัง กล้ามอกกว้างที่ขยับตามแรงฟันฟืนแผ่นหลังแข็งแรงกำยำลำแขนที่เต็มไปด้วยพลังจากการทำงานหนักทั้งวันสายตาของนางไล่ลงต่ำอย่างเผลอตัวหยุดอยู่ตรง “ช่วงท้องแข็งแกร่ง” ที่โผล่พ้นสาบเสื้อออกมานิด ๆแน่น…และคงหนักหน่วงไม่น้อยเวลาถูกกอดรัดความคิดนั้นแล่นวาบขึ้นมาจนลำคอหว่านเหยาร้อนผ่าวนางต้องลอบกลืนน้ำลายเบา ๆปลายหูแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวบุรุษผู้นี้ไม่เพียงหน้าตาดียังซื่อสัตย์ อ่อนโยน รักมั่น…บุรุษดีถึงเพียงนี้ มันควรต้องได้ครอบครองเขาไว้กับตัวและพอนางได้พรข้อนั้น นางจะเลี้ยงดูเขาเองเขาจะต้องกลายเป็นของนาง อ่า...แต่จะให้โถมใส่ตรง ๆ ก็ดูไม่งามสำหรับสตรีเสียศักดิ์ศรีแย่มู่หว่านเหยากัดริมฝีปากเบา ๆสายตาหรี่ลงอย่างนึกหาวิธี“จะเริ่มอย่างไรดีนะ…”นางเอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับคิดแผนร้ายที่หอมหวานรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากยิ้มแบบสตรีที่ตั้งใจจะ “ล่อลวง”สามีของตนเองให้หลงจนหมด
ตอนที่ 7 ญาณพิเศษ หานเจ๋อวางถาดอาหารลงบนโต๊ะไม้เก่าอย่างเบามือ แต่หญิงสาวบนตั่งกลับยังมองออกไปนอกหน้าต่างราวสติล่องลอยอยู่ที่อื่นเขาจึงเอ่ยเสียงทุ้มอ่อน“คิดอะไรอยู่หรือ”มู่หว่านเหยากระพริบตา ดึงความคิดกลับมาจากห้วงลึกนางหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนตอบอย่างเก้อเขิน “คิดเพลินไปหน่อย…ท่านทำมื้อเย็นเสร็จแล้วหรือ ข้าแย่จริง ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”หานเจ๋อส่ายหน้าเบา ๆน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยจนอบอุ่นคล้ายผ้าห่มในฤดูหนาว “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเท่านี้ข้าทำได้ เจ้าพึ่งหายป่วย ออกไปตลาดทั้งวันแล้วยังช่วยเด็กคนนั้นอีก”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยช้า ๆ เน้นทุกคำด้วยความใส่ใจ“เจ้าควรพัก…พักให้มาก ๆ ด้วยซ้ำ”เขาผลักถ้วยอาหารเข้าหานาง “มากินข้าวเถอะ จะได้รีบพักผ่อน” คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงความอ่อนโยนของหานเจ๋อทำให้มู่หว่านเหยาหลุบตาลงความวุ่นวายทั้งวันที่พัดพาเข้ามาเหมือนลมแรง ค่อย ๆ สงบลงราวกับถูกมืออบอุ่นปลอบประโลมให้เงียบเสียงอนาคตของนางกับบุรุษผู้นี้…จะเป็นเช่นไรนะความคิดผุดวาบขึ้นมาราวควันบาง ตีวงในอกนางเบา ๆพลันความทรงจำจากชาติเดิมก็แล่นเข้ามาหากเป็นเมื่อก่อน…นางคงโทรหามินตริตา ชวนก
ตอนที่ 6 ชดเชยเพียงสบตากันในเสี้ยวลมหายใจนั้นบุรุษผู้นั้น ก็รับรู้ได้ทันทีว่า นางรู้จักเขามือเรียวยาวสะบัดเล็กน้อยจากนั้นโลกทั้งใบคล้ายหยุดเคลื่อนไหว เสียงลม เสียงน้ำ เสียงผู้คน... ล้วนเงียบหายไปหยุดห้วงเวลาเหลือเพียงดวงตาสองคู่ที่ประสานกันกลางหมอกแดดราง ๆแววตาของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึงและระแวดระวังส่วนแววตาของเขา... เย็นเยียบและลึกล้ำจนยากหยั่งถึงคล้ายรอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนมุมปาก แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเย็นวูบลงอย่างประหลาดบุรุษผู้นั้นก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นเมื่อระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่ก้าว เขาหยุดตรงหน้ามู่หว่านเหยา“เจ้าเป็นผู้ใด... เหตุใดรู้จักข้า” เสียงของเขาดังขึ้นต่ำและชัดเจน ราวกับเสียงสะท้อนจากก้นบึ้งแห่งหุบเหวคำถามนั้นแฝงแรงอำนาจจนแม้เพียงลมหายใจก็คล้ายหยุดไหลเวียนแต่ทั้งที่เอ่ยถาม ชายหนุ่มกลับไม่รอคำตอบจากนางเลยปลายนิ้วเรียวยาวของเขาเพียงสะบัดเบา ๆ —แรงลมอันเย็นวาบพุ่งเข้าหามู่หว่านเหยาอย่างรวดเร็วก่อนที่นางจะทันรู้ตัวสติของนางดับวูบ ร่างทั้งร่างทรุดลงราวสายลมถูกสูบออกจากอกชายหนุ่มยื่นมือข้างหนึ่งแตะลงกล
ตอนที่ 5 นินทารุ่งเช้าแสงแดดยังอ่อนจัดจ้าผ่านม่านหมอกบาง ๆ ที่คลี่คลุมท้องนาเสียงไก่ขันแว่วจากเรือนใกล้ ๆ ตามด้วยเสียงควายลากไถจากทางหมู่บ้าน มู่หว่านเหยาเก็บตะกร้าหวายใบเล็กใส่เหรียญเงินที่หานเจ๋อมอบให้เมื่อคืน แล้วคลุมผ้าบางสีอ่อนคล้ายแพรทอมือเมื่อออกมาหน้าเรือน หานเจ๋อก็ยืนรออยู่ก่อนแล้วเขายิ้มบาง ๆ หว่านเหยายิ้มตอบกล่าว “ไปกันเถอะ”น้ำเสียงของนางนุ่มนวลขึ้นกว่าทุกวันจนหานเจ๋อสติแทบจะล่องลอยทั้งสองเดินเคียงกันไปตามทางดินเลียบคันนาหยาดน้ำค้างเกาะบนยอดหญ้าเป็นประกาย สายลมเช้าเย็นสบายจนผมของหญิงสาวปลิวระเริง เสียงล้อเกวียนจากระยะไกลดังเอื่อย ๆ ประสานกับเสียงพูดคุยของชาวบ้านที่พากันมุ่งหน้าไปตลาดเช่นเดียวกันตลาดหมู่บ้านตั้งอยู่กลางลานกว้าง มีทั้งแม่ค้าขายผัก ผลไม้ ไข่เป็ดไข่ไก่ รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาและผ้าทอมือกลิ่นขนมถั่วบดและแป้งทอดลอยคลุ้งชวนให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้านแม้ มู่หว่านเหยา จะแต่งกายเรียบง่าย ผ้าฝ้ายสีอ่อนทอด้วยมือ ผมถักเปียม้วนขึ้นอย่างเรียบร้อย ทว่ากิริยาท่าทางของนางกลับแฝงความอ่อนช้อยสง่างามอย่างยากจะปิดบังได้แต่ละก้าวเดินของนางมีระเบียบ เรียบละเมียด เป็น
ตอนที่ 4 รับไมตรีหานเจ๋อกลับมาถึงเรือนยามเย็นพอเห็นมู่หว่านเหยากำลังขุดแปลงดินอยู่ด้านหลัง ก็รีบวางของในมือลงแล้วก้าวเข้าไปหา“เจ้าทำอะไรน่ะ ทำไมไม่รอข้า”เขาเอ่ยเสียงเต็มไปด้วยความตกใจและเป็นห่วงมู่หว่านเหยาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พลางยิ้มบาง “ข้าแค่อยากเตรียมแปลงไว้ก่อน จะได้ปลูกพืชทันฝนหน้า”นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ “แต่ตอนนี้...ข้ายังไม่มีเมล็ดพันธุ์ หากท่านพอมีเงินสักเล็กน้อย ข้าขอไว้ซื้อหรือแลกเมล็ดปลูกได้หรือไม่”หานเจ๋อชะงักไปทันที ดวงตาเบิกเล็กน้อย ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้“ข้าไม่รอบคอบเอง...”เขาพูดพลางรีบเดินเข้าเรือน ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมถุงผ้าขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในช่องไม้ตรงมุมผนังเขาวางมันลงบนมือของนางอย่างไม่ลังเล“นี่คือเงินทั้งหมดที่ข้ามี เจ้าอยากใช้ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ใจจะซื้อเมล็ดพันธุ์หรือของจำเป็นอื่น ๆ ก็ได้ทั้งนั้น ข้าเชื่อเจ้า”มู่หว่านเหยาชะงักไปเล็กน้อย มองถุงเงินในมืออยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกบางอย่างแผ่วผ่านในอก ทั้งซาบซึ้งทั้งเกรงใจหานเจ๋อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปจึงเอ่ยเสียงนุ่ม“เจ้าไปนั่งพักเถอะ ตรงนี้ข้าจะทำต่อเอง”น้ำเสียงนั้นเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอ
ตอนที่ 3 โชคชะตานำพานางจ้องมองใบหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่สั่นจากความรู้สึกที่บอกไม่ถูก“เหตุใด...เหตุใดเจ้าจึงต้องดีกับข้าเพียงนี้...”คำถามนั้นมิใช่เพียงการสงสัยในความหวังดีของเขาหากแต่เป็นการถามถึงโชคชะตาที่ทำให้นางได้พบคนอย่างหานเจ๋อหานเจ๋อชะงัก เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะเอ่ยถามเขาหลบสายตาหญิงสาว แล้วเอ่ย“เจ้าคงจำข้าไม่ได้...เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าประมาณแปดขวบ เกือบถูกรถม้าของเจ้าชน..คนขับรถตำหนิที่ข้าไม่ดูทางให้ดี เป็นเจ้าที่ออกปากปกป้องแล้วยังแบ่งขนมจากหอชิวอี้ให้ข้า” หว่านเหยาเริ่มจำได้ลาง ๆ ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เหตุการณ์นั้นมีอยู่จริงภาพเด็กชายตัวเล็กที่ล้มอยู่กลางถนน เสียงรถม้าที่หยุดกระทันหัน และขนมที่ถูกยื่นให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน... ล้วนผุดขึ้นมาในใจอย่างช้า ๆนางเข้าใจในทันทีสำหรับเขา เด็กชายในวันนั้น คงเป็นครั้งแรกที่หัวใจสั่นไหว“รักแรกพบ...” นางพึมพำในใจอย่างแผ่วเบานับแต่นั้น หานเจ๋อคงเฝ้ามองนางมาโดยตลอด แม้ระยะทางระหว่างชนชั้นจะไกลเพียงใด เขาก็ยังเก็บภาพนั้นไว้ในใจ...ไม่เคยลืมเลยแม้เพียงวันเดียวเป็นรักที่อบอุ่นจริงๆ เสียดายสตรีผู้น







